เสวนา “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบทหารเมียนมา: สถานการณ์และผลกระทบต่อไทย” ที่คณะรัฐศาสตร์ฯ มช. ผศ.ดร.ณัฐพล ตันตระกูลทรัพย์ สำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ฯ มช. ชวนมองจากมุมกองทัพพม่าที่จัดการเลือกตั้งไม่ได้มุ่งสร้างความชอบธรรมหรือสันติภาพ หากเร่งจัดการแรงบีบคั้นที่พุ่งตรงมาที่กองทัพ “เป็นการเมืองของการเปลี่ยนผ่านอำนาจ เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงอำนาจของผู้นำกองทัพราบรื่นที่สุด โดยไม่ส่งผลลบกับ “มินอ่องหล่าย”
เห็นความพยายามรักษาอำนาจดั้งเดิมของ “มินอ่องหล่าย” ผ่านการตั้ง “เด็กในคาถา” ไปกุมตำแหน่งสำคัญ การเลือกตั้งที่มุ่งกำหนดผลลัพธ์ล่วงหน้า เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาลพลเรือนภายใต้การกำกับของกองทัพ ทำให้แรงกดดันจากประชาคมโลกและภายในประเทศwุ่งไปที่รัฐบาลพลเรือนแทนกองทัพ และช่วยทำให้กองทัพมีพื้นที่ฟื้นตัวและรักษาเสถียรภาพภายใน

(จากซ้ายไปขวา) อาจารย์ ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท, อาจารย์.ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ, ผศ.ดร.ณัฐพล ตันตระกูลทรัพย์
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2568 สำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบทหารเมียนมา: สถานการณ์และผลกระทบต่อไทย” โดยช่วงหนึ่งเป็นการนำเสนอของ ผศ.ดร.ณัฐพล ตันตระกูลทรัพย์ สำนักวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในประเด็น “การเลือกตั้งผ่านมุมมองกองทัพพม่า” โดยเป็นการสำรวจสภาพแวดล้อมทางการเมืองก่อนเลือกตั้ง โดยประเมินผ่านการเปรียบเทียบการเลือกตั้งปัจจุบัน กับช่วงที่รัฐบาลทหารพม่าจัดเลือกตั้งในปี 2010
ผศ.ดร.ณัฐพล เริ่มต้นนำเสนอว่า พม่าอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพมาเกือบ 50 ปี (ตั้งแต่ พล.อ.เนวิน ทำรัฐประหารปี 1962) ก่อนจะมีรัฐบาลพลเรือนในปี 2011 ต่อเนื่องจนถึงปี 2020 ก่อนเกิดรัฐประหารในปี 2021 และยาวมาจนถึงปัจจุบัน ช่วงเวลาที่มีการปกครองโดยพลเรือนจึงมีเพียงประมาณ 10 ปีเท่านั้น นอกจากนี้ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ก็ปกครองผ่านรัฐบาลทหาร SAC/SSPC ยาวนานมา 5 ปี
การเลือกตั้งครั้งนี้ เราควรทำความเข้าใจทั้งในบริบทของการเมืองพม่าเอง และบริบทของประเทศไทยที่มีพรมแดนติดกับพม่า โดยส่วนของพม่านับว่าประสบความลำบากในทางเศรษฐกิจ ประชาชนจำนวนมากต้องเดินทางออกไปหางานหรือศึกษาต่อในประเทศเพื่อนบ้าน ในประเทศไทยมีนักศึกษาพม่ามาศึกษาต่อ มีแรงงานจากพม่าเข้ามาทำงาน เพราะประเทศของเขามีปัญหาทางการเมือง จึงส่งผลกระทบต่อชีวิตในหลายด้าน และเมื่อไทยมีพรมแดนติดกับพม่า สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าย่อมส่งผลต่อไทยโดยตรง หากแรงงานต้องย้ายกลับประเทศ ก็อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผศ.ณัฐพลกล่าวถึงท่อนหนึ่งที่อาจารย์ศิรดานำเสนอว่า “ภาพที่ศิรดาฉายให้เห็นคือ เลือกตั้งแล้วก็ไม่รู้จะเลือกทำไม เลือกตั้งไปแล้วก็รบกันต่อ กองทัพก็คุมต่อ” ซึ่งสะท้อนคำถามว่าการเลือกตั้งภายใต้สงครามกลางเมืองจะมีความหมายเพียงใด เพราะสิ่งที่คนทั่วไปมองนั้นคือการเลือกตั้งอัปยศหรือ “disgrace election” แต่คำถามคือ เราสามารถมองมุมอื่นได้หรือไม่ เพราะระบอบทหารคงไม่ทำอะไรที่ไร้ประโยชน์ขนาดนั้น จึงเสนอมุมการศึกษาจากมุมมองของกองทัพเอง ว่าทำไมถึงจัดเลือกตั้ง และการเลือกตั้งให้ประโยชน์อะไรแก่กองทัพ
วิธีทำความเข้าใจกองทัพ คือการเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งปี 2010 ซึ่งเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลทหารมาสู่รัฐบาลพลเรือนเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี แต่สถานการณ์ในปี 2010 และปี 2025 มีทั้งความเหมือนและความต่างอย่างมาก
ในทางการเมืองเปรียบเทียบ ระบอบที่ปกครองโดยกองทัพเป็นระบอบที่ “อ่อนไหวที่สุด” เมื่อเทียบกับระบอบอำนาจนิยมรูปแบบอื่น ระบอบทหารเปราะบางและพร้อมล่มสลายได้ง่าย มีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ปกครองโดยกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ ระบอบนี้เผชิญแรงกดดันเชิงโครงสร้างอย่างน้อยสามด้าน ได้แก่
หนึ่ง แรงบีบคั้นด้านความชอบธรรม เพราะรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากเสียงประชาชนย่อมถูกตั้งคำถามตลอดเวลา ในรัฐบาลพลเรือน แรงกดดันตกที่รัฐบาล แต่ในระบอบทหาร แรงกดดันตกที่กองทัพโดยตรง
สอง แรงบีบคั้นจากภายนอกประเทศ เนื่องจากไม่มีประเทศใดอยากคุยกับผู้นำรัฐบาลทหารสูงสุด ทำให้ผู้นำกองทัพขาดพื้นที่ทางการทูตในเวทีโลก เราจึงแทบไม่เห็นภาพ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ในเวทีระหว่างประเทศ
และสาม แรงบีบคั้นภายในกองทัพเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การแตกแยกในกองทัพ
คำถามสำคัญคือ การเลือกตั้งสามารถผ่อนคลายแรงบีบคั้นเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะกองทัพพม่าสูญเสียสถานะผูกขาดการใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นแหล่งอำนาจสำคัญของระบอบทหาร ในอดีตประเทศwม่าอยู่ภายใต้การควบคุมเบ็ดเสร็จของกองทัพ แต่ในปี 2024–2025 รัฐบาลทหารควบคุมพื้นที่ได้เพียง 21% ของประเทศ ขณะที่อีก 42% อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ และส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่ช่วงชิงกันกับกองกำลังฝ่ายต่อต้านฯ
เมื่อเป็นแบบนี้ คนในกองทัพจะรู้สึกอย่างไร จะเกิดแรงกระเพื่อมภายในกองทัพหรือไม่ เกิดแน่นอน สถานการณ์นี้นำไปสู่แรงบีบคั้นที่รุนแรงมาก เพราะกองทัพพม่าอ้างอิงความชอบธรรมในฐานะผู้พิทักษ์ของรัฐ อธิบายกับประชาชนมาโดยตลอดว่า ถ้ากองทัพไม่ปกครอง ประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ แน่นอน แต่ทุกวันนี้ กองทัพปกครองอยู่ แต่ประเทศก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว ความชอบธรรมที่อ้างก็สูญเสียมาเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์และกองกำลังพิทักษ์ประชาชนพม่า (PDF) ก็ขยายพื้นที่อิทธิพลเพิ่มขึ้น เช่น ยึดบริเวณชายแดนจีน–พม่า ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเชื่อมโยงกับการจัดโครงสร้างอำนาจหลายประการ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่ายกระชับอำนาจผ่านการโยกย้ายนายพลที่มีอิทธิพล ฟื้นฟูหน่วยข่าวกรอง “Save of dwelling of job of the Chief of Defense power Security Affairs” (OCMSA หรือ ซะยะพะ) เพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหวของนายทหารในกองทัพพม่า ควบคุมการเคลื่อนย้ายกำลังอย่างใกล้ชิด เพราะเกรงการแตกแยกภายในกองทัพ


นอกจากนี้ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่ายยังควบรวมอำนาจเอาไว้กับตัวอยู่มาก เช่น เป็นทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประธาน SSPC รักษาการประธานาธิบดี ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีอำนาจตั้งคณะรัฐมนตรีเฉพาะกิจ และตั้งนายกรัฐมนตรี โญซอ (Nyo Noticed) ซึ่งทำหน้าที่บริหารงานทั่วไป ก่อนรายงานกลับมาให้มินอ่องหล่ายอีกชั้นหนึ่ง
นี่คือรูปแบบเครือข่ายอำนาจที่ต่างจากปี 2010 อย่างชัดเจน เพราะในเวลานั้น พล.อ.อาวุโส ตานฉ่วย ประธาน SPDC ยังมิได้รวบอำนาจไว้คนเดียว แต่รัฐบาลทหาร SPDC ประกอบไปด้วยนายพล 5–6 คน ร่วมตัดสินใจในการปกครองประเทศ
ส่วนการเลือกตั้งพม่าปลายปี 2025 เป็นการรวบอำนาจของคนๆ เดียวคือ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย โดยมีการเตรียมการสืบทอดอำนาจจาก “สภาบริหารแห่งรัฐ” หรือ SAC พอสิ้นสุดภาวะฉุกเฉินก็เปลี่ยนเป็น “คณะกรรมการความมั่นคงและสันติภาพแห่งรัฐ” หรือ SSPC มีประธานคือ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย
ส่วนการสืบทอดอำนาจนั้นเห็นได้จากหลายการแต่งตั้ง เช่น พล.อ.จ่อซวาลิน (Kyaw Swar Lin) เสนาธิการร่วมสามเหล่าทัพของกองทัพพม่า ซึ่งเติบโตเร็วมากและคาดว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพพม่าเป็นลำดับต่อไป เช่นเดียวกับที่ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ที่เคยดำรงตำแหน่งเสนาธิการร่วมฯ มาก่อน พล.อ.จ่อซวาลิน เป็นนายทหารที่คุมงบประมาณกองทัพ ไม่มีฐานกำลังของตนเอง จึงไม่สามารถท้าทายอำนาจของ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่ายได้ แต่มีบทบาทคุมท่อน้ำเลี้ยงของกองทัพ ทำให้มีความสำคัญในโครงสร้างใหม่ของกลุ่มผู้นำ
ส่วนฝ่ายการเมือง มีการตั้ง โญซอ อดีตนายทหารที่ไม่ได้คุมกำลังขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ควบคุมได้ง่าย กรณีนี้ก็คล้ายกับสมัยที่อดีตนายทหารอย่างเต็งเส่ง เคยเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนขึ้นเป็นประธานาธิบดีในยุคก่อน ทำให้ต้องจับตาว่าเนียว ซอจะถูกผลักดันขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่
ส่วนพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ USDP ซึ่งใกล้ชิดกับกองทัพพม่าก็มีการปรับโครงสร้างก่อนการเลือกตั้ง เช่น ตั้งหัวหน้าพรรค ขิ่นญี (Khin Yi) ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจที่รับผิดชอบงานระดมมวลชน อีกทั้งยังมีการโยกย้ายนายพลที่ถูกปลด ให้ไปร่วมพรรค USDP ในฐานะนักการเมือง ซึ่งเป็นวิธีการลดอำนาจของนายพลที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อผู้นำ
เมื่อมองจากมุมมองกองทัพพม่า การเลือกตั้งครั้งนี้ กองทัพไม่ได้อยากสร้างความชอบธรรม หรือสันติภาพ หากแต่ต้องการจะจัดการกับแรงบีบคั้นที่เกิดขึ้น ที่พุ่งตรงมาที่กองทัพ เราอาจมองว่ามันเป็น “succession politics” หรือการเมืองของการเปลี่ยนผ่านอำนาจ เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงอำนาจของผู้นำกองทัพราบรื่นที่สุด โดยไม่ส่งผลลบกับพล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย
เราจึงเห็นความพยายามรักษาอำนาจดั้งเดิมของ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่ายผ่านตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ มีการตั้ง “เด็กในคาถา” เข้าไปกุมตำแหน่งสำคัญ การควบคุมการเลือกตั้งที่มุ่งกำหนดผลลัพธ์ล่วงหน้า เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาลพลเรือนภายใต้การกำกับของกองทัพ ทำให้แรงกดดันจากประชาคมโลกและในประเทศwุ่งไปที่รัฐบาลพลเรือนแทนกองทัพ และช่วยทำให้กองทัพมีพื้นที่ฟื้นตัวและรักษาเสถียรภาพภายในได้
การโยกย้ายนายพลที่มีศักยภาพท้าทายอำนาจให้ไปอยู่ในพรรคการเมือง การโยกย้ายตำแหน่ง เอาคนมีบารมีไปอยู่ในจุดสำคัญ ทั้งหมดเป็นการลดแรงบีบคั้นเชิงโครงสร้างในระบบการเมืองที่กองทัพพม่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ
อย่างไรก็ตาม แม้การเลือกตั้งและการจัดวางอำนาจจะช่วยลดแรงกดดันเฉพาะหน้า แต่แรงบีบคั้นระยะยาวไม่หายไปไหน โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มชาติพันธุ์เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่กองทัพพม่าอ่อนแรงลง ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับไปในปี 2010 กองทัพผูกขาดความรุนแรงและร่ำรวยจากการขายทรัพยากรธรรมชาติจนสามารถสร้างเมืองหลวงใหม่เนปิดอว์ได้ แต่วันนี้กองทัพเองแหล่งท่อน้ำเลี้ยงก็น้อย เศรษฐกิจก็ตกต่ำ ไม่ว่าจะมองยังไงกองทัพก็อ่อนแอลง ส่วนกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์เข้าถึงแหล่งทรัพยากรสำคัญมากขึ้นทั้งหยกและป่าไม้ แถมบางกลุ่มมีท่อน้ำเลี้ยงจากสแกมเมอร์ ในอนาคตยากที่เสถียรภาพทางการเมืองในพม่าจะกลับมาเหมือนเดิมได้ เราจึงต้องจับตาในฐานะประเทศที่ติดกันและได้รับผลกระทบโดยตรง












