
คุณประโยชน์ที่ถูกมองข้ามของ “ต้นคริสต์มาส” ที่มาจากต้นสนจริง

ที่มาของภาพ : Getty Photography
- Creator, โจเซลีน ทิมเพอร์ลีย์
- Operate, บีบีซี ฟิวเจอร์
เมื่อปีค.ศ. 1800 สมเด็จพระราชินีชาร์ล็อตต์แห่งสหราชอาณาจักร พระมเหสีเชื้อสายเยอรมันในพระเจ้าจอร์จที่สาม ทรงเป็นผู้ริเริ่มติดตั้งและประดับประดาต้นคริสต์มาสต้นแรกของอังกฤษ ที่พระตำหนักควีนส์ลอดจ์ ภายในเขตพระราชวังวินด์เซอร์
แต่อันที่จริงแล้ว ต้นคริสต์มาสมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานก่อนหน้านั้น โดยเป็นธรรมเนียมปฏิบัติพื้นบ้านที่แพร่หลายในประเทศเยอรมนีมาก่อน แต่การบุกเบิกริเริ่มของ “ควีนชาร์ล็อตต์” ได้กลายเป็นจุดกำเนิดของบทบาทสำคัญ ที่ต้นคริสต์มาสมีต่อการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสตสมภพ ในหมู่ชนชั้นสูงชาวอังกฤษ จนต่อมาในช่วงทศวรรษ 1850 ต้นคริสต์มาสก็ได้กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในสหราชอาณาจักร
ส่วนที่สหรัฐฯ ผู้อพยพชาวเยอรมันที่โยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่นั่น ก็ได้ช่วยเผยแพร่ธรรมเนียมการตั้งต้นคริสต์มาสในบ้าน และประดับด้วยของตกแต่งที่ทำเอง มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1830 แล้ว
สองร้อยปีต่อมา ธรรมเนียมการนำต้นสนที่เพิ่งตัดมาใหม่ ๆ เข้ามาวางตั้งตรงกลางห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งประดับด้วยดวงไฟหลากสีและลูกบอลที่สะท้อนแสงแวววาว ยังคงได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในครัวเรือนทั่วทุกมุมโลก มีตัวเลขประมาณการว่า ยอดขายต้นคริสต์มาสที่เป็นต้นสนของจริงนั้น สูงถึง 25-30 ล้านต้นต่อปีในสหรัฐฯ และสูงถึง 5 ล้านต้นต่อปีในสหราชอาณาจักรเลยทีเดียว
การใช้ต้นสนจริงยังหวนกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยผลสำรวจในปี 2019 พบว่า ชาวอเมริกันที่เกิดในช่วงใกล้ขึ้นสหัสวรรษใหม่ ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า “มิลเลนเนียล” หรือ “เจนวาย” นั้น มีแนวโน้มจะซื้อต้นสนจริงไปเป็นต้นคริสต์มาส มากกว่าคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ซึ่งเป็นพ่อแม่ของตนถึง 82%
ในฐานะที่ผู้เขียนบทความก็เป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ตนเองก็เข้าข่ายที่จะคล้อยตามกระแสความนิยมนี้ เพราะรู้สึกชื่นชอบต้นสนจริงจากธรรมชาติ ทั้งยังได้ผ่านการถกเถียงกับผู้อื่นและตนเองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เกี่ยวกับปัญหาคาใจด้านสิ่งแวดล้อมที่ว่า การตัดต้นสนมาทำต้นคริสต์มาส ถือเป็นการตัดไม้ทำลายป่าและใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองตามอำเภอใจหรือไม่ หรือว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งจำเป็นที่จะขาดเสียมิได้ตามธรรมเนียมดั้งเดิม ซึ่งในท้ายที่สุดก็ไม่ได้ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเท่าใดนัก
เมื่อได้ไตร่ตรองประเด็นนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นไปอีก ผู้เขียนกลับพบว่าข้อเสียด้านสิ่งแวดล้อมของการตัดต้นสน อาจไม่ได้ส่งผลกระทบทางลบอย่างชัดเจนเหมือนที่คนทั่วไปมักคิดกัน ที่ผ่านมาการอภิปรายถกเถียงมักมุ่งให้ความสนใจต่อการสร้าง “รอยเท้าคาร์บอน” (carbon footprint) ว่าต้นสนของจริงหรือต้นไม้เทียมที่ทำจากพลาสติก อย่างไหนจะปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากกว่ากัน ทว่านักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญต่างชี้แจงว่า การพิจารณาเลือกใช้ต้นสนแบบใดและข้อดีของเสียของมันนั้น ต้องคิดทบทวนให้รอบด้านและกว้างไกลกว่าประเด็นที่เพ่งเล็งกันอยู่ตอนนี้
ดร.อเล็กซานดรา โคซิบา นักนิเวศวิทยาป่าไม้จากคณะวิทยพัฒน์ (extension faculty) ของมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ในสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า “ฉันคิดว่าประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อน เกินกว่าจะสามารถชี้ถูกผิดแบบฟันธงลงไปได้ว่า โอ้…เรากำลังตัดต้นไม้ต้นหนึ่ง ดังนั้นมันจึงเป็นการทำลายธรรมชาติ”
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดEnd of ได้รับความนิยมสูงสุด
อย่างน้อยก่อนที่ต้นสนจะถูกตัดโค่นไปทำต้นคริสต์มาสนั้น ก็ได้มีการปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งบนผืนดิน ทั้งที่ผืนดินนั้นอาจจะถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่ดีกว่าหรือแย่กว่าต่อสิ่งแวดล้อมก็ได้ ดร.โคซิบายังบอกว่า การเพาะปลูกสวนสนเพื่อตัดขายเป็นต้นคริสต์มาส ช่วยค้ำจุนระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นของรัฐเวอร์มอนต์ และช่วยรักษาภูมิทัศน์ที่เขียวขจีในแถบชนบทให้คงอยู่ตามเดิมอีกด้วย
การใช้ประโยชน์จากที่ดินได้กลายเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกกำลังเผชิญปัญหาเร่งด่วน ซึ่งเป็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมสองประการที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งการบริหารจัดการป่าไม้นั้น มีส่วนสำคัญใหญ่หลวงในการวางแผนใช้ประโยชน์จากที่ดินโดยรวม
“ป่าไม้ที่ได้รับการบริหารจัดการเป็นอย่างดี มีบทบาทสำคัญใหญ่หลวงต่อการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศ” แอนดี ฟินตัน ผู้อำนวยการด้านอนุรักษ์ภูมิทัศน์ขององค์กรไม่แสวงผลกำไร Nature Conservancy กล่าว “ต้นไม้ทุกชนิดช่วยดึงคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศมากักเก็บไว้ จึงช่วยลดมลภาวะจากคาร์บอนส่วนเกิน และช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ”

ที่มาของภาพ : Getty Photography
การเพาะปลูกสวนสนเพื่อตัดขายเป็นต้นคริสต์มาสนั้น ไม่ถือว่าเป็นการใช้ที่ดินแบบกินพื้นที่ในธรรมชาติอย่างมหาศาล และก็ไม่ได้มีบทบาทใหญ่ในวงจรคาร์บอนของโลกมากนัก เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมการทำไม้ซุง หรือการเพาะปลูกพืชผลการเกษตรอย่างข้าวโพดและข้าวสาลี ทว่าแนวคิดที่จะส่งเสริมการเพาะปลูกต้นคริสต์มาสนั้นก็น่าสนใจ เพราะมนุษย์มีความใกล้ชิดและสัมพันธ์เกี่ยวข้องโดยตรงกับต้นสน ยิ่งกว่าผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ชนิดอื่น ๆ
“มีคนจำนวนมากที่ไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติเลย” ดร.โคซิบากล่าว “มันเจ๋งมากทีเดียว เมื่อลองคิดดูว่าคนเหล่านี้จะนำต้นไม้เข้าบ้านไปชื่นชมบูชา” การชื่นชมต้นไม้ในเทศกาลสำคัญนี้ อาจเป็นโอกาสอันดีในการเปิดทางให้ผู้คนรู้สึกรักต้นไม้ชนิดอื่น ๆ รวมทั้งคิดถึงการปลูกต้นไม้มากขึ้นด้วย
โดยทั่วไปแล้วต้นคริสต์มาสมักเป็นต้นสนสปรูซ (tremendous) หรือต้นไม้ในวงศ์สนเขาอย่างต้นสนไพน์ (pine) และต้นสนเฟอร์ (fir) ที่อายุยังน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ตัดมาจากแปลงเพาะปลูกในสวนสน ดังนั้นผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการนี้ จึงขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกปลูกพืชบนผืนดินเป็นสำคัญ แน่นอนว่าผืนดินที่ทรงคุณค่าต่อระบบนิเวศ อย่างเช่นป่าพรุและป่าไม้อายุเก่าแก่ หรือที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าประจำถิ่น ไม่ควรนำมาเป็นสถานที่เพาะปลูกต้นคริสต์มาสอย่างเด็ดขาด
สำหรับสวนสนเชิงพาณิชย์แล้ว จะมีการเพาะปลูกต้นสนเป็นเวลานานถึง 10 ปี ก่อนจะสามารถตัดหรือเก็บเกี่ยวไปขายได้ ดังนั้นเมื่อมีต้นคริสต์มาสถูกตัดไปหนึ่งต้น ก็จะยังคงมีต้นสนอีก 9 ต้น หลงเหลืออยู่ในแปลงเพาะปลูกต่อไป “นี่ถือว่าเป็นวิธีถนอมรักษาแมกไม้ที่ค่อนข้างดีทีเดียว เพราะคุณจะต้องการปลูกต้นไม้ต้นใหม่อยู่เสมอ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวในปีต่อ ๆ ไป” จอห์น เคเซอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกใบรับรองรอยเท้าคาร์บอน (CFC) จาก The Carbon Belief องค์กรที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของสหราชอาณาจักรกล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้นสนคริสต์มาสนั้นไม่ได้รวมอยู่ในบรรดาต้นไม้ที่สหภาพยุโรป (อียู) ให้คำมั่นจะปลูกเพิ่มให้ครบ 3,000 ล้านต้น ภายในปี 2030 เพราะถือว่าเป็นต้นไม้ที่มีอายุสั้น “ต้นสนคริสต์มาสถูกตัดโค่นบ่อยกว่าไม้ซุง หรือไม้ยืนต้นที่เติบโตตามธรรมชาติในป่าอายุเก่าแก่” พอล แคปแพลต นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัย Queen's College Belfast ของไอร์แลนด์เหนือกล่าว “ด้วยเหตุที่ต้นสนมีอายุสั้น จึงไม่มีเวลามากพอที่จะเอื้ออำนวยให้ความหลากหลายทางชีวภาพ และการเพิ่มจำนวนประชากรสัตว์ป่าเกิดขึ้น”
อย่างไรก็ตามมีผลการวิจัยที่พบว่า การเพาะปลูกต้นสนคริสต์มาสช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพได้ในระดับหนึ่ง โดยสามารถเป็นสถานที่ทำรังที่ปลอดภัยของนกหลายชนิด และอาจกลายเป็นที่พักพิงแห่งใหม่ของนกในพื้นที่การเกษตร ซึ่งจำนวนประชากรกำลังลดลงเพราะมนุษย์เร่งทำการเกษตรอย่างหนัก
สวนสนยังมีโครงสร้างเป็นที่อยู่อาศัยแบบเปิดสำหรับสัตว์ป่า พื้นดินของสวนสนนั้นมีหน้าดินที่เปิดโล่ง ปราศจากสิ่งปกคลุมที่เป็นอุปสรรคต่อการคุ้ยเขี่ยหาอาหาร นอกจากนี้ ต้นสนยังมีลักษณะที่เหมาะต่อการทำรังของนกในพื้นที่การเกษตร เพราะจะไม่ถูกตัดแต่งกิ่งก้านหรือฉีดพ่นสารเคมี มากเท่ากับต้นไม้ในสวนอื่น ๆ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำให้สวนสนมีแหล่งอาหารของสัตว์ป่ามากกว่า ส่วนการล้อมรั้วสวนสนก็ช่วยป้องกันการรบกวนจากมนุษย์และสุนัขได้ด้วย
“สัตว์ป่าชนิดพันธุ์ที่เคยดำรงชีวิตอยู่ได้ในพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ในอดีต แต่ตอนนี้กำลังขาดแคลนทรัพยากรเพราะมนุษย์เร่งทำการเพาะปลูกหนักหน่วงขึ้น จะสามารถเข้าอยู่อาศัยและได้รับทรัพยากรที่พวกมันต้องการ จากสวนสนที่เพาะปลูกต้นคริสต์มาส” แคปแพลตกล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photography
ผลการศึกษาโดยทีมนักวิจัยชาวเยอรมัน ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2022 ชี้ว่าสวนที่เพาะปลูกต้นสนคริสต์มาส สามารถจะเป็นแหล่งพักพิงให้กับนกในบริเวณที่มนุษย์ทำการเกษตรอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกสายพันธุ์ที่จำนวนประชากรกำลังลดลง อย่างเช่นนกหัวขวานสีเหลือง (yellowhammer) และนกจาบ (total linnet) นอกจากนี้ ผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในปี 2018 ซึ่งศึกษาพื้นที่แถบเนินเขา “เซาเออร์แลนด์” (Sauerland) ของเยอรมนี ยังพบว่าสวนที่เพาะปลูกต้นสนคริสต์มาส ได้กลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของบรรดานกจาบฝน (woodlark) ไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนผลการศึกษาพื้นที่การเกษตรในเบลเยียม ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2019 ชี้ว่าพบความหลากหลายทางชีวภาพของแมลงเต่าทองในสวนสน ในระดับที่สูงกว่าพื้นที่ไร่ข้าวโพดมาก ทั้งยังพบแมลงเต่าทองชนิดพันธุ์ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ในสวนสนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายทางชีวภาพของแมลงชนิดนี้ในสวนสนที่ใช้ทำต้นคริสต์มาส ยังไม่อาจเทียบได้กับที่พบในสวนสนสปรูซ ซึ่งเพาะปลูกเพื่อตัดไปทำไม้สำหรับการก่อสร้าง เนื่องจากสวนสนประเภทหลังนี้ต้องใช้เวลาเพาะปลูกนานหลายปีกว่า ทั้งยังมีการใส่ปุ๋ยเคมีและฉีดพ่นยาฆ่-าแมลงน้อยกว่าด้วย
สวนสนที่เพาะปลูกต้นคริสต์มาสซึ่งอยู่ในพื้นที่ป่าธรรมชาติ อย่างเช่นแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ยังมีต้นหญ้าหลากชนิดและแมลงหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งในที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นอาหารและทรัพยากร ที่ช่วยสนับสนุนการดำรงชีวิตของนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่งในวงจรชีวิตของพวกมัน
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสวนเพาะปลูกต้นสนคริสต์มาสนั้น เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าที่ใหญ่กว่า ซึ่งมีที่อยู่อาศัยของสัตว์หลายรูปแบบปะปนกัน ทั้งยังมีสภาพเป็นป่าสมบูรณ์ที่มีอายุพอสมควร ในกรณีนี้สวนสนถือเป็นระบบนิเวศย่อย ๆ ที่ช่วยเติมเต็มระบบนิเวศของป่าใหญ่ได้อย่างแท้จริง” ฟินตันกล่าว
แต่ถึงกระนั้น แคปแพลตได้กล่าวเตือนว่าการเพาะปลูกต้นสนคริสต์มาส ยังคงต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่-าแมลงในปริมาณมากอยู่ เพื่อบำรุงรักษารูปทรงของต้นสนให้มีความสวยงาม ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากผลการศึกษาในปี 2021 ของดร.แมร์เล ชไทรต์แบร์เกอร์ และคณะนักวิจัยด้านนิเวศวิทยาของมหาวิทยาลัยออสนาบรุกในเยอรมนี ซึ่งพบว่าสวนสนต้นคริสต์มาสที่เพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิก มีสภาพเชิงโครงสร้างเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าได้ดีกว่า ทั้งยังมีความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพรรณในระดับสูงกว่า เมื่อเทียบกับการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม ทีมผู้วิจัยยังแนะนำให้ลดการใช้ยากำจัดวัชพืชในสวนสนลงอีกด้วย
แม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่แคปแพลตแสดงความเห็นว่า หากเราไม่ใช้พื้นที่บางส่วนเพาะปลูกต้นสนคริสต์มาส ที่ดินผืนนั้นก็มีแนวโน้มจะถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งกว่าการทำสวนสน ตัวอย่างเช่นพื้นที่สีเขียวบริเวณชานเมือง อาจกลายเป็นลานจอดรถไปก็เป็นได้
ด้านดร.โคซิบาก็เห็นด้วยว่า ในแถบชนบทเช่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ มักต้องสูญเสียผืนป่าให้กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นการเพาะปลูกต้นสนคริสต์มาสจะช่วยให้เจ้าของที่ดินแถบชายป่า มีทางเลือกอื่นในการหารายได้เสริม “มันช่วยให้คนท้องถิ่นยังคงอยู่อาศัยในบ้านเดิมได้ต่อไป ทั้งได้รับโอกาสบริหารจัดการที่ดิน และสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพในที่ดินของตนเอง” ดร.โคซิบากล่าว
ฟินตันยังกล่าวสรุปว่า หากเจ้าของที่ดินในชนบทมีสวนสนต้นคริสต์มาสที่ทำประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ พวกเขาก็จะมีแรงจูงใจในการเก็บรักษาที่ดินนั้นไว้ “โดยปล่อยให้มันอยู่ในสภาพเปิดโล่งตามธรรมชาติ และจะไม่ขายที่เพื่อให้นายทุนนำไปสร้างห้างสรรพสินค้า, หมู่บ้านจัดสรร, หรือแบ่งขายที่ดินเป็นผืนย่อย ๆ”

ที่มาของภาพ : Getty Photography
ส่วนประเด็นที่ถกเถียงกัน ในเรื่องความสามารถด้านและกักเก็บคาร์บอนของสวนสนต้นคริสต์มาสนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกใบรับรองรอยเท้าคาร์บอน (CFC) อย่างเคเซอร์ ให้คำอธิบายว่า “แม้ต้นสนจะช่วยดึงคาร์บอนจากบรรยากาศ มากักเก็บไว้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่มันกำลังเติบโต ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี แต่คาร์บอนนั้นก็จะถูกปลดปล่อยกลับออกไปอีกครั้ง เมื่อต้นสนถูกตัดและเสียชีวิตลง ดังนั้นโดยรวมแล้ว สวนสนที่เพาะปลูกต้นคริสต์มาสจึงไม่ช่วยลดคาร์บอนในชั้นบรรยากาศโลกเลย”
องค์กร The Carbon Belief ประมาณการว่า ต้นคริสต์มาสที่สูงราว 2 เมตร เมื่อถูกเผาทิ้งหลังใช้งานเสร็จสิ้นแล้ว จะปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่เทียบเท่ากับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2e) 3.5 กิโลกรัม ซึ่งคิดเป็นเพียง 0.2% ของการปล่อยคาร์บอนจากเที่ยวบินลอนดอน-นิวยอร์ก ในขากลับเท่านั้น ส่วนต้นคริสต์มาสขนาดเดียวกันที่ถูกนำไปถมดินหลังใช้งานเสร็จสิ้น สร้างรอยเท้าคาร์บอนตามหน่วยวัด CO2e เพียง 16 กิโลกรัม คิดเป็น 1% ของการปล่อยคาร์บอนจากเที่ยวบินเดียวกัน หรือเทียบเท่ากับการผลิตแฮมเบอร์เกอร์ 2 ชิ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดของการเพาะปลูกและจำหน่ายต้นสนคริสต์มาส คือวิธีการที่ผู้คนเลือกกำจัดมันทิ้ง หลังเทศกาลคริสตสมภพผ่านพ้นไป กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือการนำต้นสนไปถมดิน เพราะภาวะไร้ออกซิเจนจะทำให้เกิดการเน่าเปื่อยของไม้สน ในแบบที่เกิดก๊าซมีเทนขึ้นแทนที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามปกติ ซึ่งเมื่อก๊าซมีเทนถูกปลดปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ มันจะกลายเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า ในช่วงระยะเวลา 20 ปีแรก ดังนั้นองค์กร The Carbon Belief จึงประมาณการว่า ต้นสนคริสต์มาสที่ถูกนำไปถมดิน จะสร้างรอยเท้าคาร์บอนตามหน่วยวัด CO2e มากกว่าต้นสนที่ถูกกำจัดด้วยวิธีอื่น 4-5 เท่า
วิธีจัดการกับต้นคริสต์มาสใช้แล้วที่ดีที่สุดก็คือ การนำต้นสนที่มีรากติดมาและยังมีชีวิตอยู่ กลับไปปลูกลงดินใหม่อีกครั้ง ทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง คือพยายามบริหารจัดการให้การปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ เป็นไปอย่างช้า ๆ ทีละเล็กละน้อย ด้วยวิธีฟันหรือสับไม้ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปโรยบนพื้นให้แผ่กระจายอยู่ในสวนของบ้านหรือสวนสาธารณะ หรืออาจนำไปหมักเป็นปุ๋ยในสภาพที่มีออกซิเจนเข้าถึงได้
แต่หากเรานำต้นสนคริสต์มาสไปเผา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปลดปล่อยออกมา จะกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศโดยตรงได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรตรวจสอบก่อนซื้อว่า ร้านที่จำหน่ายต้นสนคริสต์มาสมีบริการกำจัดขยะที่เหมาะสมหรือไม่ โดยควรจะให้บริการนำต้นสนที่ใช้แล้วไปสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำกลับไปโปรยบนที่ดินที่มันเคยเติบโตขึ้นมา
บางคนเสนอว่าต้นสนคริสต์มาสที่ใช้แล้ว สามารถนำไปทำเขื่อนกันตลิ่งพังตามริมแม่น้ำหรือชายหาดได้ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสภาพที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเคยต้องสูญเสียไปเพราะการกัดเซาะของสายน้ำ ดร.โคซิบายังบอกว่า ในรัฐเวอร์มอนต์ที่เธออาศัยอยู่นั้น นอกจากจะนำต้นสนคริสต์มาสที่ใช้แล้วไปแปรรูปเป็นอาหารแพะ รวมทั้งนำไปเผาเพื่อเป็นพลังงานในการผลิตไฟฟ้าแล้ว “ยังมีชาวบ้านนำมันไปบูรณะฟื้นฟูสายน้ำ เพราะมันช่วยดักจับตะกอนและเศษวัสดุต่าง ๆ ได้ดี ทำให้เกิดฝายหรือเขื่อนขนาดเล็ก ที่ช่วยกั้นน้ำจนเกิดเป็นแอ่งให้ปลาวางไข่ แท้จริงแล้วนี่ก็เป็นการเลียนแบบพฤติกรรมของตัวบีเวอร์นั่นเอง”
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเพาะปลูกต้นสนคริสต์มาส คือการใช้ปุ๋ยที่ผลิตจากกระบวนการที่ต้องเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล จนได้ก๊าซไนตรัสออกไซด์หรือก๊าซหัวเราะ (N2O) ที่เป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดรุนแรงออกมา การบริหารจัดการสวนสนยังต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก รวมทั้งการขนส่งต้นคริสต์มาสไปยังจุดหมายปลายทางด้วยรถยนต์ ก็ใช้เชื้อเพลิงไม่น้อยเลย

ที่มาของภาพ : Getty Photography
แคปแพลตและผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ เสนอทางออกในเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันมีธุรกิจแนวใหม่ที่ให้บริการเช่าต้นคริสต์มาสซึ่งเพาะปลูกในกระถาง เพื่อนำไปตั้งที่บ้านในช่วง 2-3 สัปดาห์ระหว่างเทศกาลคริสต์มาส ก่อนจะส่งคืนบริษัทผู้ให้เช่า วิธีนี้ไม่ทำให้เกิดขยะเหลือทิ้ง “แล้วยังสอดคล้องกับแนวทางสู่ความยั่งยืน ซึ่งมุ่งลดการใช้ทรัพยากร เน้นการใช้ซ้ำ ก่อนนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิล” แคปแพลตกล่าว
สำหรับคนที่พอจะมีพื้นที่สำหรับการปลูกต้นไม้ในบ้าน ฟินตันแนะนำว่าอาจเลือกซื้อต้นคริสต์มาสเล็ก ๆ ที่ปลูกในกระถาง เพื่อนำมาวางไว้ในบ้านในช่วงเทศกาล หลังจากนั้นให้ย้ายกระถางดังกล่าวไปเลี้ยงไว้ในสวน เพื่อนำมาใช้เป็นต้นคริสต์มาสได้อีกในปีถัดไป และอาจจะปลูกลงดินไปเลยก็ได้เมื่อต้นสนเริ่มโตเกินไป “เราไม่อาจคิดหาวิธีไหนที่ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว” ฟินตันกล่าว เขายังแนะนำว่าให้หาต้นสนสายพันธุ์ท้องถิ่น ซึ่งจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่คุณอยู่ และให้รดน้ำต้นสนในกระถางอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ เมื่อมันถูกนำมาวางไว้ในบ้านด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจอยากตัดปัญหา ด้วยการซื้อต้นสนเทียมที่ทำจากพลาสติกมาใช้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ยังลังเลเพราะสารเคมีเหล่านี้ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลาย หากขยะจากต้นสนเทียมถูกนำไปถมดิน อย่างไรก็ตาม องค์กร The Carbon Belief ประมาณการว่า หากมีการใช้ต้นสนคริสต์มาสเทียมซ้ำหลายครั้ง จะช่วยลดการสร้างรอยเท้าคาร์บอนโดยรวม ได้มากกว่าการสั่งซื้อต้นสนจริงต้นใหม่มาใช้ทุกปี
แม้ต้นสนพลาสติกจะปล่อยคาร์บอนมากกว่าต้นสนจริง 7-20 เท่า (ขึ้นอยู่กับวิธีการขนส่งและวิธีกำจัดขยะว่า ได้นำต้นสนจริงไปฝังดินหรือไม่) แต่เคเซอร์แนะนำว่าให้ใช้ต้นสนเทียมซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เป็นเวลานานหลายปี โดยพยายามยืดเวลาการใช้ซ้ำออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
กล่าวโดยสรุปแล้ว ต้นคริสต์มาสที่เป็นต้นสนจริงไม่ใช่เรื่องต้องห้ามสำหรับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังให้ประโยชน์ต่อระบบนิเวศในบางเรื่องด้วยซ้ำ ทว่าเราจำเป็นจะต้องบริหารจัดการวิธีเพาะปลูกและจำหน่าย ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เช่นลดหรือเลิกการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่-าแมลง (ผู้บริโภคเองก็ควรยอมรับต้นสนรูปทรงแปลก ๆ ที่ไม่สมบูรณ์แบบให้ได้ด้วย)
นอกจากนี้ควรต้องกำหนดให้สวนสนได้การรับรอง ว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานในการทำป่าไม้ เช่นได้ใบรับรองจาก Forest Stewardship Council หรือสภาผู้กำกับดูแลป่า ซึ่งรับรองผลิตภัณฑ์ป่าไม้ว่ามีที่มาจากแหล่งผลิตที่มีความยั่งยืน ส่วนรัฐบาลก็อาจส่งเสริมให้เพาะปลูกสวนสนคริสต์มาสใกล้เขตเมือง เพื่อป้องกันการนำที่ดินไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมหนักกว่า
สำหรับประชาชนทั่วไป สิ่งที่ทำได้ด้วยตัวเองอาจเป็นการเลือกซื้อต้นสนจริงที่ปลูกในกระถาง เพื่อนำมาใช้ซ้ำอีกในปีถัดไป และปลูกลงดินอย่างถาวรในที่สุด เราอาจพิจารณาซื้อต้นสนจากแหล่งผลิตในท้องถิ่น เพื่อลดคาร์บอนจากการขนส่ง และตรวจสอบให้มั่นใจว่า ต้นสนคริสต์มาสที่ทิ้งแล้วจะไม่ถูกนำไปถมดิน
“มาตรการทั้งหมดนี้เป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร แต่น้ำทุกหยดก็มีคุณค่า ในแง่ของการเป็นแบบอย่างว่าเราควรจะจัดการสิ่งต่าง ๆ อย่างไร” แคปแพลตกล่าวทิ้งท้าย













