
สำรวจอาวุธในคลังแสงกัมพูชา ชนิดใดบ้างที่สร้างความเสียหายให้พื้นที่พลเรือนไทย

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Images
- Writer, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
- Role, ผู้สื่อข่าว.
การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาระลอกสองในเดือนนี้ สร้างความสูญเสียให้ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนใกล้กับแนวสู้รบ
ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลของแต่ละประเทศต่างออกมาประณามการใช้อาวุธหนักโจมตีเป้าหมายพลเรือน
ล่าสุด สำนักข่าวแขมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาออกแถลงการณ์ประณาม “การรุกรานของไทยต่อกัมพูชา” รวมถึงการใช้เครื่องบินขับไล่เอฟ-16 (F-16) โจมตีหลายพื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ ของกัมพูชาที่อยู่ตามแนวชายแดน
ในแถลงการณ์ยังระบุด้วยว่าการโจมตีทางอากาศของไทย และการใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 ในดินแดนกัมพูชานั้น “ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต ประชาชนกว่า 4 แสนคนต้องพลัดถิ่น และเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง”
ขณะเดียวกัน ทางรัฐบาลไทยก็ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรนต่อ “การกระทำอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม” อันเนื่องมาจากการใช้อาวุธหนัก “โจมตีเป้าหมายพลเรือนภายในอาณาเขตประเทศของประเทศไทย” ส่งผลให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียอวัยวะ ทรัพย์สินเสียหาย และก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อความปลอดภัยในชีวิตประชาชน
“ประเทศไทยขอยืนยันว่าพลเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารใด ๆ และการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือนเช่นนี้ไม่อาจยอมรับได้ภายใต้หลักสากล” แถลงการณ์ของรัฐบาลไทย ระบุ
.พูดคุยกับนายอนาลโย กอสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารและความมั่นคง เพื่อวิเคราะห์ว่าอาวุธของฝ่ายกัมพูชาที่สร้างความเสียหายต่อเป้าหมายพลเรือนในไทยมีอะไรบ้าง และกัมพูชาตั้งใจโจมตีเป้าหมายทางพลเรือนของไทยหรือไม่
อาวุธที่สร้างความเสียหายให้กับเป้าพลเรือนในไทยมีอะไรบ้าง
จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นโดย. พบว่ามีอาวุธหลัก ๆ 2 ชนิดที่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในฝั่งไทย ได้แก่ จรวดบีเอ็ม-21 (BM-21) และปืนใหญ่อัตตาจรเอสเอช-1 (SH-1)
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมสูงสุด
นายอนาลโยอธิบายว่า BM-21 เป็นจรวดหลายลำกล้องที่ผลิตโดยรัสเซียตั้งแต่สมัยโซเวียต สามารถยิvจรวดขนาด 122 มิลลิเมตร (มม.) ได้หลาย ๆ อันในเวลาเดียวกัน
นอกจากอาวุธชนิดนี้แล้ว เขาบอกด้วยว่าทางกัมพูชายังมีจรวดหลายลำกล้องชนิดอื่น ๆ ในครอบครองด้วย ได้แก่ อาร์เอ็ม-70 (RM-70) ซึ่งผลิตในสมัยที่ยังมีสาธารณรัฐเชโกสโลวาเกีย รวมถึงระบบยิvจรวดหลายลำกล้องไทป์ 81 (Form 81) และ ไทป์ 90B (Form 90B) ซึ่งทางจีนเพิ่งพัฒนาและผลิตขายในช่วงหลัง โดยทั้งหมดสามารถยิvจรวดขนาด 122 มม. ได้เช่นกัน

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Images
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้บอกว่าสำหรับ BM-21 ที่มีรายงานตกใส่พื้นที่พลเรือนของไทยนั้น มีระยะยิvอยู่ที่ 40 กิโลเมตร และมันถูกออกแบบมาเพื่อทำลายพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ค่ายทหารขนาดใหญ่ สนามบิน ยอดเขา เนินเขา เป็นต้น
“ค่ายทหารใหญ่ ๆ ถ้าเขาอยากทำลายทั้งค่ายก็ต้องใช้วิธีนี้ เพราะมันเป็นที่รวมพล ทหารก็มาจอดรถกันในที่เดียวกัน หรือทหารมาชุมนุมในที่เดียวกัน จรวดชนิดนี้ก็อาจใช้ในกรอบนี้ได้”
“สำหรับรอบนี้ กัมพูชาใช้จรวดชนิดนี้แทนปืนใหญ่ โดยใช้วิธียิvทีละ 5-6 นัด คล้ายๆ กับการยิvปืนใหญ่” เขากล่าว และเสริมว่าแต่จรวดชนิดนี้มีปัญหาเรื่องความแม่นยำอย่างมาก เนื่องจากไม่มีระบบนำวิถี ทำให้เมื่อยิvจรวดออกไป มันจึงมีโอกาสกระจายออกจากเป้าหมายได้
ทว่าการที่กัมพูชาใช้จรวดชนิดนี้เป็นจำนวนมาก ก็สะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชามีเงินทุนหนาพอสมควร เนื่องจากจรวดลูกหนึ่งมีราคาที่ราว 1-2 แสนบาท จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Images
สำหรับปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 เป็นอาวุธที่ผลิตโดยจีน สามารถยิvกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และมีความแม่นยำมากกว่า BM-21 หากอธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ มันคือปืนใหญ่ที่เคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยการลากจูง
นายอนาลโยคิดว่าเหตุผลที่กัมพูชาเลือกใช้อาวุธชนิดนี้เป็นเพราะ “มันหนีได้ไว ลักษณะการใช้งานไม่ต่างจาก BM-21 ตรงที่ยิvแล้วหนีได้ ดังนั้นโอกาสถูกโต้ตอบกลับจึงยาก”
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 มีความสามารถทำลายพื้นที่ขนาดใหญ่คล้าย ๆ กับที่ศักยภาพของ BM-21 ทำได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่อาวุธชนิดนี้จะถูกใช้เพื่อทำลายจุดใดจุดหนึ่งเป็นการเฉพาะมากกว่า เนื่องจากมันมีความแม่นยำในระดับหนึ่ง เช่น ใช้เพื่อทำลายฐานทหารหรือบังเกอร์ เป็นต้น
นายอนาลโยระบุว่า สำหรับปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 มีระยะยิvอยู่ที่ 20-23 กิโลเมตร แต่หากใช้ลูกแบบต่อระยะจะสามารถยิvได้ประมาณ 40-50 กิโลเมตร และลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. มีราคาอยู่ที่ราว 4-5 หมื่นบาทต่อลูก
พื้นที่พลเรือนของไทยจุดได้บ้าง ที่ได้รับความสูญเสียจากอาวุธฝ่ายกัมพูชา
ในการปะทะ 2 ระลอกระหว่างไทยกับกัมพูชา นำมาซึ่งความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย .รวบรวมบางเหตุการณ์ที่มีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ว่าทรัพย์สินหรือชีวิตของพลเรือนไทยได้รับความเสียหายจากอาวุธหนักของกัมพูชา ดังรายละเอียดต่อไปนี้
แนวรบแนวชายแดน จ.ศรีสะเกษ
มี 3 อำเภอของศรีสะเกษที่มีอาณาเขตติดกับ จ.พระวิหาร ของกัมพูชา และ อ.กันทรลักษ์ คือหนึ่งในนั้น
พื้นที่นี้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา อันเนื่องมาจากข้อพิพาทเขตแดนหลายช่วงด้วยกัน เช่นในห้วงปี 2551-2554 เกิดการสู้รบบริเวณทิวเขาพนมดงรักใกล้ชายแดนกันทรลักษ์ เพราะทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทกรณีพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหาร
ทว่า ความรุนแรงกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งในปีนี้ และพื้นที่สู้รบขยายแนวเขตไปมากกว่าพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารซึ่งเคยมีข้อพิพาทกัน
เป้าหมายพลเรือนในพื้นที่ อ.กัณทรลักษ์ ถูกโจมตีด้วยจรวดวิถีโค้ง BM-21 และปืนใหญ่หลายแห่งด้วยกัน รายละเอียดดังต่อไปนี้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
- ปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์
ในวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่ากระสุน BM-21 จากฝ่ายกัมพูชาตกลงมายังร้านสะดวกซื้อภายในปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 15 ราย
เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก เนื่องจากหนึ่งในผู้เสียชีวิตคือเด็ก
หากลากเส้นตรงมาจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีการเปิด 3 แนวรบ ได้แก่ แนวรบพระวิหาร (ช่องซำแต-โดนตวล-ภูผี-สัตตะโสม-พนมประสิทธิโส-ช่องตาเฒ่า), แนวรบพระวิหาร (ปราสาทพระวิหาร-ผามออีแดง-ห้วยตามาเรีย), และแนวรบภูมะเขือ-ช่องโดนเอาว์-พลาญยาว-พลาญหินแปดก้อน)
เมื่อดูจากแผนที่ก็จะเห็นว่าที่ตั้งของร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันแห่งนี้อยู่ห่างจากแนวรบราว 20 กิโลเมตร และปั๊มดังกล่าวก็อยู่ใกล้กับเป้าหมายทางทหารเช่นกัน
ถัดจากปั๊มน้ำมันไปราว 1 กิโลเมตร คือที่ตั้งของกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ 224 และถัดจากที่ตั้ง ตชด. แห่งนี้ไปอีกราว 1 กิโลเมตร คือที่ตั้งหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารที่ 23 ซึ่งสถานที่ทั้งสามแห่งตั้งเรียงกันอยู่บนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 221 (สายศรีสะเกษ-เชิงบันไดเขาพระวิหาร)

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
- ตำบลเสาธงชัย อ.กันทรลักษ์
“หมู่บ้านกระสุนตก” อาจบรรยายบรรยากาศwื้นที่ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แห่งนี้ได้
ในห้วงการปะทะระลอกแรกของปี ตำบลนี้มีทั้งกระสุนปืนใหญ่และจรวดวิถีโค้งตกลงมาในชุมชน ส่งผลกระทบต่อทั้งทรัพย์สินและชีวิตของผู้คน
วันที่ 26 ก.ค. พบลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ตกลงมายังอาคารของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซำเม็ง หมู่ 3 ต.เสาธงชัย แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากอพยพผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ไปยังสถานที่ปลอดภัยแล้ว นับตั้งแต่เกิดการสู้รบขึ้นในวันที่ 24 ก.ค.
ต่อมาวันที่ 27 ก.ค. มีเหตุกระสุนปืนใหญ่ตกลงในพื้นที่บ้านหนองเม็ก หมู่ 4 ต.เสาธงชัย ทำให้บ้านเรือนเสียหาย และมีผู้เสียชีวิตเป็นชายวัย 59 ปี จำนวน 1 ราย รวมถึงมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย
จากนั้นในการสู้รบระลอกสอง เกิดเหตุลูกกระสุนจรวด BM-21 ตกใส่พื้นที่เดียวกันในวันที่ 14 ธ.ค. ทำให้ชายวัย 63 ปี เสียชีวิต คาดว่าถูกสะเก็ดsะเบิด รวมถึงมีบ้านจำนวนหลายหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้เนื่องจากsะเบิด และได้รับความเสียหายจากสะเก็ดsะเบิด
ส่วนบ้านเสาธงชัย หมู่ 1 ต.เสาธงชัย มีรายงานพบกระสุนsะเบิด BM-21 ตกลงในพื้นที่ชุมชนเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่าน ทำให้บ้านเรือนอย่างน้อย 2 หลังเกิดไฟไหม้และได้รับความเสียหายจากสะเก็ดsะเบิด รวมถึงมีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 6 รายด้วยกัน
หากดูจากแผนที่ จะเห็นได้ว่าชุมชนทั้ง 3 แห่งของ ต.เสาธงชัย อยู่ห่างจากแนวรบพระวิหารทั้งสองแนวราว 3-7 กิโลเมตรเท่านั้น

ที่มาของภาพ : กองทัพภาคที่ 2
แนวรบแนวชายแดน จ.สุรินทร์
จ.สุรินทร์ มีอาณาเขตติดต่อกับ จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา และจากข้อมูลของกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าในจังหวัดนี้มีทั้งหมด 5 แนวรบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ แนวรบช่องจอม-ช่องเปรอ-ช่องระยี, แนวรบปราสาทคนา, แนวรบปราสาทตาควาย, แนวรบช่องกร่าง, และแนวรบปราสาทตาเมือนธม
- อ.กาบเชิง
ในการปะทะระลอกแรกพื้นที่ อ.กาบเชิง ได้รับผลกระทบจากจรวด BM-21 ด้วยเช่นกัน โดยพบว่าในวันที่ 24 ก.ค. มีจรวดตกใส่ในพื้นที่ชุมชนศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน ต.กาบเชิง อ.กาบเชิง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 3 ราย รวมถึงพบกระสุน BM-21 ตกใส่พื้นที่ชุนชนบ้านโจรก หมู่ 2 ต.ด่าน อ.กาบเชิง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย หนึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุ 8 ขวบ 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย
บ้านโจรกอยู่ห่างจากแนวชายที่เกิดเหตุสู้รบประมาณ 10 กิโลเมตร ส่วนชุมชนศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดนอยู่ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 5-8 กิโลเมตร และตั้งอยู่ระหว่างแนวชายแดนกับกรมทหารราบเฉพาะกิจที่ 8 จ.สุรินทร์ รวมถึงหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 ซึ่งทั้งสองหน่วยตั้งอยู่ห่างจากแนวชายแดนด้านนี้ประมาณ 25-30 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ยังพบหลุมsะเบิดในพื้นที่ต่าง ๆ ของ อ.กาบเชิง อีกมากกว่า 10 หลุม ซึ่งมีทั้งจากกระสุนsะเบิด BM-21 และกระสุนลูกปืนใหญ่
เมื่อเกิดการปะทะรอบสอบในวันที่ 9 ธ.ค. ยังพบกระสุนปืนใหญ่ตกใส่บ้านชาวบ้านในหมู่ 8 ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง ทำให้บ้านเสียหายทั้งหลัง และสะเก็ดsะเบิดกระเด็นไปยังบ้านใกล้เคียง แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ เนื่องจากเจ้าของบ้านอพยพไปยังศูนย์พักพิงก่อนเกิดเหตุได้ 1 วัน
ทั้งนี้ หากเฉพาะเจาะจงแค่ใน อ.กาบเชิง แนวรบสำคัญ ๆ ของพื้นที่นี้ คือพื้นที่ปราสาทตาควายและพื้นที่ช่องคนา

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
- อ.พนมดงรัก
ในวันที่ 24 ก.ค. โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ถูกจรวด BM-21 ตกใส่อาคารหลายหลังด้วยกัน มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า forty five ล้านบาท ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดsะเบิด และทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ไปในที่ที่ปลอดภัย
ต่อมาเมื่อเกิดการปะทะระลอกสอง ก็พบว่าในวันที่ 10 ธ.ค. มี BM-21 ตกห่างจากโรงพยาบาลแห่งนี้ราว 500 เมตร ทางกองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่ามีความเสี่ยง จึงสั่งอพยพบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยเข้าไปยังที่ปลอดภัย
ส่วนพื้นที่รอบ ๆ รพ.พนมดงรักฯ เป็นศูนย์ราชการของ อ.พนมดงรัก ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการ อ.พนมดงรัก, สำนักงานสาธารณสุข อ.พนมดงรัก, และสถานีตำรวจภูธร (สภ.) พนมดงรัก โดยสถานพยาบาลประจำอำเภอแห่งนี้อยู่ห่างจากแนวชายแดนซึ่งมีการสู้รบประมาณ 10 กิโลเมตร
ทว่า หากพยายามมองหาเป้าหมายทางทหารที่สำคัญ ในแผนที่ระบุว่ามีค่ายทหาร 1 แห่งเท่านั้น แต่ก็อยู่ห่างจากโรงพยาบาลมากอยู่ดี นั่นคือกรมทหารราบเฉพาะกิจที่ 8 จ.สุรินทร์ โดยตำแหน่งของค่ายทหารดังกล่าวห่างออกมาจากตัวโรงพยาบาลไปมากกว่า 20 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากชายแดนแถว รพ.พนมดงรักฯ มากกว่า 30 กิโลเมตร

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
นอกจากนี้ ทางกองทัพภาคที่ 2 ยังบอกด้วยว่าฝ่ายกัมพูชาระดมยิv BM-21 มากกว่า 50 ลูก ครอบคลุม 3 พื้นที่ของ อ.พนมดงรัก ได้แก่ ต.ตาเมียง, ต.บักได, และ ต.จีกแดก ซึ่งทั้งหมดเป็นชุมชนที่อยู่ไม่ห่างจาก รพ.พนมดงรักฯ
ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวห่างจากแนวชายแดนที่เกิดเหตุสู้รบตั้งแต่ 5-15 กิโลเมตร
ส่วนแนบรบสำคัญด้าน อ.พนมดงรัก คือพื้นที่ปราสาทตาเมือน
แนวรบแนวชายแดน จ.บุรีรัมย์
จ.บุรีรัมย์ มีแนวชายแดนติดกับ จ.อุดรมีชัย และ จ.บันทายมีชัย ของกัมพูชา จากข้อมูลของกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่ามี 1 แนวรบในจังหวัดนี้ ได้แก่ แนวรบช่องสายตะกู ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.บ้านกรวด
ในวันที่ 24 ก.ค. เกิดเหตุกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาตกลงบ้านชาวบ้านในบ้านสายโท หมู่ 8 ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
วันเดียวกันยังมีsะเบิดจากจรวด BM-21 ตกลงในพื้นที่หมู่ 3, 5, 6 และ 13 ต.บ้านกรวด อ.บ้านกรวด แต่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ
ด้านกองทัพภาคที่ 2 รายงานด้วยว่าวันที่ 27 ก.ค. เพียงวันเดียว มีกระสุนปืนใหญ่และ BM-21 ตกรวมกัน 28 ลูกในหลายหมู่บ้านของ ต.จันทบเพชร และ ต.บ้านกรวด ทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ในการสู้รบระลอกสองช่วงเดือน ธ.ค. ทางกองทัพภาคที่ 2 ยังรายงานด้วยว่ามี BM-21 ตกลงบ้านประชาชนในบ้านสายโท 10 ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด แต่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ
ทว่าทางกองทัพบกตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดจึงมีจรวดตกลงพื้นที่บ้านสายโท 10 ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นsะเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นsะเบิดแห่งชาติ หรือ ศทช. ตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. 2568 ถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ หมู่บ้านต่าง ๆ ในอำเภอบ้านกรวดที่ได้รับผลกระทบจากกระสุนปืนใหญ่และ BM -21 ล้วนอยู่ใกล้กับแนวชายแดนที่มีการสู้รบประมาณ 5-12 กิโลเมตร
แนวรบชายแดน จ.อุบลราชธานี
จ.อุบลราชธานี มีอาณาเขตติดต่อกับ จ.พระวิหาร ของกัมพูชา ข้อมูลของกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าในจังหวัดนี้มี 2 แนวรบ ได้แก่ แนวรบช่องบก และแนวรบช่องอานม้า
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. มีกระสุนจรวด BM-21 ตกลงในพื้นที่บ้านเรือนชาวบ้านหมู่ 5 ต.สีวิเชียร อ.น้ำยืน ทำให้บ้านเรือน 3 หลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
หมู่บ้านดังกล่าวอยู่ห่างจากช่องบกประมาณ 20-25 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากช่องอานม้าประมาณ 10-15 กิโลเมตร

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
กัมพูชาตั้งใจโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทยหรือไม่ ?
ในความเห็นของนายอนาลโยซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ มองว่าในเมื่อจรวด BM-21 มีความแม่นยำต่ำ ก็เป็นไปได้ว่าเป้าหมายที่จรวดเข้าไปทำลายอาจไม่ใช่เป้าหมายที่ทางฝ่ายกัมพูชาเล็ง อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติก็มีข้อห้ามการใช้อาวุธกำหนดไว้ชัดเจนเลยว่าห้ามใช้จรวดที่ไม่มีระบบนำวิถีในเขตใกล้แหล่งชุมชน เนื่องจากมันมีโอกาสสูงที่จะพลาดเป้า
“ดังนั้นการใช้อาวุธชนิดนี้ของฝ่ายกัมพูชาในตอนนี้อาจไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไร” นายอนาลโย กล่าว
ทว่าหากจะดูว่าอีกฝ่ายตั้งใจยิvใส่เป้าพลเรือนหรือไม่นั้น นายอนาลโยบอกว่าสามารถดูได้ที่จรวดตกเป็นกลุ่มเป็นก้อนในบริเวณเดียวกันมากเกินไปหรือไม่ เช่นในปี 2554 มีรายงานว่ากัมพูชาใช้ BM-21 ยิvเข้ามาในทุกที่ที่มีเสาธงชาติไทย เนื่องจากไม่ทราบว่ามีอะไรตั้งอยู่ตามจุดบ้าง ๆ แต่พออนุมานได้ว่าพื้นที่ที่มีเสาธงคือศูนย์ราชการของไทย
“หากมีsะเบิดตกเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 5-6 นัด ผมจะอนุมานว่าอันนี้ตั้งใจยิv”
แม้เหตุการณ์จรวด BM-21 ที่ตกใส่ปั๊มน้ำมันบ้านผือใน อ.กันทรลักษ์ มีหลายฝ่ายมองว่าเป็นการยิvพลาดของฝ่ายกัมพูชาที่ต้องการทำลายค่ายทหารและหน่วย ตชด. ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1-2 กิโลเมตร แต่นายอนาลโยกลับมองว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรตัดตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งออกไป
“ผมเห็นว่าจรวดจำนวนหนึ่งมันพุ่งมาที่ปั๊มโดยตรงเป็นกลุ่มเป็นก้อน มันมีโอกาสที่ตั้งใจเล็งเป้าหมายนี้ก็ได้ ไม่ก็เกิดจากการตั้งยิvผิดพลาด ผมไม่อยากให้ตัดข้อใดข้อหนึ่งออกไป” เขากล่าว
เมื่อ.สอบถามว่าในเมื่อปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 มีความแม่นยำกว่า BM-21 แต่เหตุใดยังพบกระสุนปืนชนิดนี้ตกใส่เป้าหมายพลเรือนในฝั่งไทย เช่น รพ.สต.ซำเม็ง
เช่นเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธผู้นี้บอกว่าหากกัมพูชาไม่ตั้งใจเล็งเป้าพลเรือน ก็อาจเกิดจากการยิvกระสุนปืนใหญ่นัดแรกที่มีโอกาสคลาดเคลื่อนจากเป้าหมายได้
“ส่วนใหญ่นัดแรกมีโอกาสพลาดอยู่แล้ว แม้มีการคำนวณการยิvมาอย่างไรก็ตาม หลังจากยิvนัดแรก เขาต้องปรับการยิvปืนใหญ่ให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น ก่อนที่จะยิvเพื่อทำลายจริง ๆ ซึ่งมันไม่ใช่พลาดจากความไม่แม่น แต่พลาดจากการปรับระยะการยิvปืนใหญ่”
อย่างไรก็ตาม เขาบอกด้วยว่าทั้งไทยและกัมพูชาไม่มีระบบต่อต้านจรวดหลายลำกล้องและกระสุนปืนใหญ่ ดังนั้น “ต้องภาวนาอย่างเดียว เมื่อมีการยิvออกมา”
ระบบป้องกันภัยทางอากาศและภาคพื้นดินที่เรียกว่าระบบสกัดกั้นลูกจรวด ปืนใหญ่ และปืนครก หรือ C-RAM (Counter-Rocket, Artillery, and Mortar) เท่านั้น ที่ใช้ต่อต้านและสกัดกั้นอาวุธหนักของกัมพูชาที่ยิvข้ามแดนมาได้ ระบบนี้มีการทำงานคล้าย ๆ กับระบบไอเอิร์นโดม (Iron Dome) ของอิสราเอลซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาสูงมาก
“ไม่เห็นความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์เลย หากไทยจะติดตั้งระบบนี้ตลอดแนวชายแดน” นายอนาลโย กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Images
นายอนาลโยระบุว่า อีกระบบหนึ่งที่ไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้ คือระบบเรดาร์ติดตามอาวุธ (Counter-battery Radar) ซึ่งสามารถตรวจจับจรวดหรือปืนใหญ่ที่ยิvมา จากนั้นนำมาคำนวณย้อนกลับว่ายิvมาจากตอนไหน แต่ระบบนี้ก็ยังถือว่าช้าสำหรับการแจ้งเตือน
นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมว่าทั้ง BM-21 และปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 นั้นมีความคล่องตัวอย่างมาก และสามารถเคลื่อนย้ายหนีได้ทันทีหลังยิvกระสุนออกมา
“ผมคิดว่าอันนี้เป็นปัญหา ผมเชื่อว่ากองทัพไทยทำลาย BM-21 ได้น้อยลงเยอะมาก เพราะเขายิvปุ๊บแล้วหนีเลย”
อย่างไรก็ตาม นายอนาลโยกล่าวเสริมด้วยว่าการใช้อาวุธในการสู้รบถูกกำกับดูแลด้วยกฎการปะทะ (Rule of Engagement) ซึ่งเป็นกฎที่กองทัพแต่ละแห่งกำหนดขึ้นมาใช้เอง และกฎเหล่านี้มักจะถูกร่างโดยอ้างอิงจากอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ตกลงกัน เช่น อนุสัญญาเจนีวา
กฎการปะทะมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการใช้อาวุธ เนื่องจากมักมีข้อกำหนดว่าหากเป้าหมายที่โจมตีมีความเสี่ยงต่อพลเรือน กองทัพจะต้องพิจารณาเลือกใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง และแม้จะใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูงแล้ว แต่หากยังอาจมีผลกระทบข้างเคียง (collateral anguish) ต่อพื้นที่พลเรือน ทางกองทัพก็อาจต้องพิจารณาไม่ทำลายเป้าหมายนั้น
เขากล่าวต่อว่า เมื่อการใช้อาวุธหนักทำให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนและมีการนำประเด็นไปสู่การพิจารณาในเวทีระหว่างประเทศ เช่น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) หากฝ่ายที่ถูกกล่าวหาอ้างว่าการปฏิบัติการของตนเป็นไปตามกฎการปะทะที่กองทัพตนเองกำหนดก็จะถือว่ารอดตัวไปแล้วครึ่งหนึ่ง เนื่องจากกฎการปะทะมักร่างโดยอ้างอิงอนุสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ ดังที่อธิบายมาข้างต้น
ส่วนการเรียกร้องค่าชดใช้ความเสียหายจากสงคราม เขามีความเห็นว่าเกิดขึ้นได้ยากมากเช่นกัน เนื่องจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยังไม่ถูกเรียกว่าเป็นสงครามอย่างเป็นทางการ
เมื่อเกิดการปะทะระลอกแรกในเดือน ก.ค. ปีนี้ รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ บอกกับ.ว่าเมื่อเกิดการขัดกันของอาวุธ (arm battle) ขึ้น ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มยิvก่อน แต่หากมีหลักฐานว่ายิvเป้าหมายพลเรือน เช่น บ้านเรือนประชาชน หรือโรงพยาบาล สามารถถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม และไทยสามารถยื่นเรื่องนี้ไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (Global Criminal Court – ICC) ได้ แม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม
อย่างไรก็ตาม พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา กล่าวว่าในการสู้รบรอบสองซึ่งปะทุขึ้นเดือนนี้ การโจมตีของฝ่ายไทยคร่าชีวิตพลเรือน รวมถึงเด็ก ทางกัมพูชาซึ่งเป็นภาคีรัฐธรรมนูญกรุงโรม จึงกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นคำร้องไปยัง ICC
นายอนาลโยมองว่ามีความเป็นไปได้ยากมาก ๆ ที่เรื่องการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของแต่ละฝ่ายจะไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ
“ถ้าขึ้น ICC กรณีมันจะต้องรุนแรงพอ หรือไม่ก็คือถ้าผลออกมาบอกว่าทำลายพลเรือนทั้งคู่ เผลอ ๆ จะออกหมายจับคู่ก็เป็นไปได้ เหมือนกับการออกหมายจับทั้งเนทันยาฮูกับฮามาส อะไรแบบนั้น” เขากล่าวกับ.













