ยูเครนและนานาชาติต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ปูตินหยุดทำสงครามในยูเครน ?

ที่มาของภาพ : BBC/reuters

Article Data
    • Creator, เจมส์ แลนเดล
    • Role, ผู้สื่อข่าวการทูต บีบีซี

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน อาจมีชื่อเสียงในทัศนะของบางคนว่าเป็นเผด็จการผู้โหดเหี้ยม และเป็นจอมบงการตัวใหญ่บนเวทีนานาชาติ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ประธานาธิบดีรัสเซียไม่มีคือ ความสามารถในการการปกปิดสีหน้า

นายจอห์น แมคเคน อดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เคยพูดติดตลกว่า เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของปูติน เขาเห็นสามสิ่ง คือ “ตัว Okay ตัว G และตัว B” ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงชีวิตในอดีตของปูตินในฐานะเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองโซเวียต

ผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาขณะที่กำลังดูฟุตภาพวิดีโอของผู้นำรัสเซีย ซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับคณะทูตอเมริกันในที่ทำการรัฐบาลเครมลิน เขาไม่อาจหลบซ่อนอารมณ์ไว้ได้เลย และแสดงถึงกลิ่นอายของความมั่นใจอันสูงสุดออกมา

สำหรับประธานาธิบดีปูตินแล้ว เขาเชื่อว่าสถานการณ์ทางการทูตพลิกผันไปในทางที่ดีขึ้นสำหรับเขา จากการมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอเมริกาและการยึดพื้นที่ได้เพิ่มในสนามรบ

นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า ปูตินไม่มีแรงจูงใจที่จะยอมถอยจากข้อเรียกร้องต่าง ๆ ได้แก่ การให้ยูเครนยอมสละดินแดนของภูมิภาคโดเนตสก์ 20% สุดท้ายที่ยูเครนยังถือครองอยู่ การทำให้ดินแดนที่รัสเซียยึดครองได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นของรัสเซีย รวมถึงการทำให้กองทัพยูเครนต้องถูกลดทอนลงจนไร้ประสิทธิภาพ และการทำให้ยูเครนถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นสมาชิกนาโตตลอดไป

จากสถานการณ์ในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้อยู่สองสามฉากทัศน์ ทางแรกคือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อาจพยายามบีบให้ยูเครนยอมหยุดยิvภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวยูเครน ซึ่งเป็นการยอมเสียดินแดนและขาดหลักประกันด้านความมั่นคงที่เพียงพอที่จะยับยั้งการรุกรานของรัสเซียในอนาคต

หากยูเครนไม่เห็นด้วยและรัสเซียคัดค้าน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้บอกเป็นนัยแล้วว่าเขาอาจล้างมือจากการยุ่งเกี่ยวกับสงครามนี้ โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ทรัมป์กล่าวว่า “บางครั้งคุณต้องปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง”

ที่มาของภาพ : AFP thru Getty Pictures

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติยุทธศาสตร์ใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ คือการกระตุ้นให้สหรัฐฯ “ฟื้นฟูเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์” กับรัสเซีย

ทรัมป์ยังสามารถตัดขาดข้อมูลข่าวกรองที่สำคัญจากสหรัฐฯ ซึ่งจำเป็นต่อยูเครนสำหรับการตรวจจับโดรนรัสเซียที่ล่วงล้ำเข้ามาและการเล็งเป้าหมายไปที่ระบบพลังงานของรัสเซีย

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

อีกความเป็นไปได้หนึ่งคือ สงครามอาจดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่กองกำลังรัสเซียยังคงรุกคืบอย่างช้า ๆ ในภาคตะวันออกของยูเครน

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติยุทธศาสตร์ใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ สื่อนัยว่ารัสเซียไม่ได้มี “สถานะเป็นภัยคุกคาม” ต่อสหรัฐฯ อีกต่อไป และกระตุ้นให้สหรัฐฯ “ฟื้นฟูเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์” กับรัสเซีย

ดังนั้น ในเมื่อการสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อยูเครนกำลังตกอยู่ในความไม่แน่นอนอย่างมาก อะไรบ้างที่จะสามารถเปลี่ยนใจปูตินได้ และยูเครน ยุโรป และแม้แต่จีน จะสามารถทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมได้บ้าง

ยุโรปทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่ ?

หากสหรัฐฯ ไม่ให้การสนับสนุนทางการทหารแก่ยูเครนอีกต่อไปแล้ว แล้วยุโรปจะสามารถให้การสนับสนุนเพิ่มด้วยตัวเองได้หรือไม่ ?

ณ ปัจจุบัน ยุโรปกำลังเตรียมตัวสู่การหยุดยิv ภายใต้ชื่อกลุ่ม “พันธมิตรที่เต็มใจ (coalition of the willing)” ยุโรปกำลังเตรียมการกองกำลังทหารนานาชาติเพื่อช่วยเหลือยูเครนต้านทานการรุกรานของรัสเซีย ควบคู่ไปกับการสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยฟื้นฟูประเทศยูเครนที่เสียหายจากสงคราม

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่บางคนแนะว่ายุโรปควรจะเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่อาจยืดเยื้อต่อไปมากกว่า พวกเขาต้องการช่วยยูเครนไม่เพียงแต่เพื่อ “เอาชนะในการต่อสู้ชั่วคืนนี้เท่านั้น” จากการสนับสนุนโดรนและเงินทุนมากขึ้น แต่ต้องให้การสนับสนุนในระยะยาวซึ่งรวมถึงการเตรียมการสำหรับสงครามกับรัสเซียที่อาจยาวนานได้ถึง 15 ถึง 20 ปีด้วย

ยุโรปอาจทำได้มากกว่านี้ในการช่วยปกป้องน่านฟ้าของยูเครนจากโดรนและขีปนาวุธ ซึ่งแผนการดังกล่าวมีอยู่แล้วในชื่อว่า ความริเริ่มป้องกันน่านฟ้ายุโรป (European Sky Defend Initiative) โดยอาจขยายข้อบังคับการอนุญาตให้การป้องกันทางอากาศของยุโรปสามารถป้องกันไปได้ถึงน่านฟ้าแถบตะวันตกของยูเครนด้วย

นอกจากนี้ บางฝ่ายยังโต้แย้งด้วยว่ากองกำลังทหารของชาติยุโรปอาจถูกส่งไปยังภาคตะวันตกของยูเครนเพื่อลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนได้ด้วยเช่นกัน เพื่อปลดล็อกให้ทหารยูเครนเน้นไปที่การสู้รบในแนวหน้าเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอส่วนมากเช่นข้อเสนอนี้ได้ถูกตีตกไปเนื่องจากความหวาดกลัวว่าอาจจะเป็นการยั่วยุต่อรัสเซียหรือเป็นการยกระดับความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้น

เคียร์ ไจลส์ นักวิจัยอาวุโสที่ปรึกษาโครงการรัสเซียและยูเรเซียแห่งสถาบันคลังสมอง ชาแธม เฮาส์ กล่าวว่าความกลัวเหล่านี้เป็น “เรื่องไร้สาระ” เพราะกองทหารของชาติตะวันตกได้ถูกส่งไปในพื้นที่อยู่แล้ว และการปกป้องน่านฟ้าก็อาจทำได้ในเขตตะวันตกของยูเครนเพราะมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดการปะทะกับอากาศยานของรัสเซีย

ในทัศนะของเขามองว่า เหล่าผู้นำชาติยุโรปต้อง “เข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในลักษณะที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง”

ที่มาของภาพ : WPA Pool/Getty Pictures

ผู้นำชาติยุโรป เรียงตามลำดับซ้ายไปขวา ได้แก่ เคียร์ สตาร์เมอร์ (นายกฯ สหราชอาณาจักร), โวโลดีมีร์ เซเลนสกี (ประธานาธิบดียูเครน), เอ็มมานูเอล มาครง (ประธานาธิบดีฝรั่งเศส), ฟรีดริช แมร์ซ (นายกฯ เยอรมนี) และโดนัลด์ ทัสค์ (นายกฯ โปแลนด์)

ไจลส์กล่าวว่า “สิ่งเดียวที่จะหยุดการรุกรานของรัสเซียอย่างที่จะโต้แย้งหรือปฏิเสธไม่ได้คือการปรากฏตัวของกองกําลังชาติตะวันตกที่แข็งแกร่งเพียงพอในพื้นที่ที่รัสเซียต้องการโจมตี และการแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงและความมุ่งมั่นว่าจะใช้กองกำลังเหล่านั้นในการป้องกันตนเอง”

แน่นอนว่ายุทธศาสตร์นี้จะมาพร้อมกับความยากลำบากในทางการเมืองอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนของประเทศในยุโรปอาจไม่ต้องการที่จะเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์ไม่กี่คนเท่านั้นที่คาดหวังว่ายูเครนจะพลิกสถานการณ์และกลับมาได้เปรียบในสงครามได้ด้วยตัวเอง

จากการที่ได้ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในยูเครนเมื่อไม่นานมานี้ ผมไม่ได้ยินการกล่าวถึงการบุกในฤดูใบไม้ผลิเลย มีแต่การพูดถึงความจำเป็นในการชะลอการรุกคืบของรัสเซียและเพิ่มราคาที่รัสเซียต้องจ่ายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

นักการทูตตะวันตกบางคนอ้างว่านายพลของรัสเซียกําลังโกหกประธานาธิบดีรัสเซียโดยแสร้งว่าสถานการณ์ภาคพื้นดินดีกว่าความเป็นจริง ซึ่งนักการทูตกลุ่มนี้เห็นว่าเป็นกลยุทธ์ที่จงใจจะทำให้รัสเซียได้เปรียบเกินจริง เพื่อชี้ให้เห็นว่ายูเครนกำลังเสียเปรียบและควรเป็นฝ่ายขอเจรจาสันติภาพ

ตามข้อมูลของ โทมัส เกรแฮม ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ ระบุว่า ปีนี้รัสเซียเข้ายึดดินแดนของยูเครนได้เพียง 1% เท่านั้น โดยมีต้นทุนที่ต้องแลกคือการบาดเจ็บและเสียชีวิตของทหารไปกว่า 2 แสนนาย

ที่มาของภาพ : AFP thru Getty Pictures

“เป็นเรื่องน่าทึ่งที่พวกเขา (ยูเครน) สามารถต้านทานมาได้นานขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้โดยมีมือข้างหนึ่งอยู่ด้านหลัง” ฟิโอนา ฮิลล์ กล่าว

ฟิโอนา ฮิลล์ นักวิจัยอาวุโสประจำศูนย์ศึกษาสหรัฐอเมริกาและยุโรป สถาบันบรูคกิงส์ ซึ่งเคยทำงานให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก กล่าวว่าเรื่องใหญ่ที่สุดที่ปูตินมีและส่งผลดีต่อเขาคือการที่คนจำนวนมากเชื่อว่ายูเครนกำลังพ่ายแพ้

“ทุกคนต่างพูดถึงยูเครนว่าเป็นผู้แพ้ ทั้งที่ตอนนี้ยูเครนมีกองทัพที่ทรงศักยภาพที่สุดในยุโรป” เธอกล่าว

“เพียงแค่คิดว่าพวกเขาได้ทำอะไรไปบ้างกับรัสเซีย เป็นเรื่องน่าทึ่งที่พวกเขา (ยูเครน) สามารถต้านทานมาได้นานขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้โดยมีมือข้างหนึ่งอยู่ด้านหลัง”

การค้า การคว่ำบาตร และเศรษฐกิจของรัสเซีย

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการคว่ำบาตร อีกทั้งตอนนี้เศรษฐกิจรัสเซียก็กำลังเผชิญความยากลำบาก เห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นไปที่ 8% อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 16% อัตราการเจริญเติบโตชะลอตัวลง การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้แท้จริงตกลงอย่างมาก และภาษีผู้บริโภคก็เพิ่มสูงขึ้น

รายงานจากหน่วยเก็บบันทึกหลักฐานเพื่อสันติภาพและการแก้ไขความขัดแย้ง (Peace and Warfare Resolution Proof Platform) ระบุว่า เวลาทำสงครามของรัสเซียกำลังจะหมดลงแล้ว “เศรษฐกิจรัสเซียมีความสามารถในการสนับสนุนทางการเงินแก่สงครามลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้นสงครามในปี 2022” ผู้เขียนรายงานกล่าว

แต่จนถึงขณะนี้ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะไม่ได้เปลี่ยนความคิดของรัฐบาลเครมลินมากเท่าใดนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาคธุรกิจหาวิธีหลีกเลี่ยงข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ เช่นการขนส่งน้ำมันไปขายผ่านเรือเถื่อนที่ไม่ได้จดทะเบียน

ที่มาของภาพ : Sputnik/Alexander Kazakov/Pool thru Reuters

ในปีนี้ปีเดียว รัสเซียยึดดินแดนยูเครนได้เพียง 1% เท่านั้น แต่ต้องแลกด้วยกำลังทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมกว่า 2 แสนนาย

ทอม คีติงจ์ ผู้อำนวยการศูนย์การเงินและความมั่นคงแห่งสถาบันรูซี (Rusi) กล่าวว่า การสื่อสารของชาติตะวันตกเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรมีความซับซ้อน และกฎก็มีช่องโหว่มากเกินไป

เขากล่าวว่า รัสเซียจะหาทางหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ดำเนินการกับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียสองแห่ง คือ ลุคออย (Lukoil) และรอสเนฟต์ (Rosneft) ได้ โดยการติดฉลากน้ำมันที่ส่งออกใหม่ให้ระบุว่ามาจากบริษัทที่ไม่ถูกคว่ำบาตร

คีติงจ์ กล่าวว่าหากชาติตะวันตกต้องการที่จะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสงครามของรัสเซียจริง ๆ มาตรการที่ใช้ต้องเป็นการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียทั้งหมด และบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรทางอ้อมอย่างเต็มรูปแบบกับประเทศที่ยังคงซื้อน้ำมันรัสเซียอยู่ “เราต้องเลิกเล่นตลกแล้วใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างเต็มรูปแบบเสียที” เขากล่าว

“เราต้องดำเนินการมาตรการคว่ำบาตรให้จริงจังเท่ากับที่รัสเซียหาทางหลีกเลี่ยง”

ในทางทฤษฎี การคว่ำบาตรอาจมีผลต่อความคิดเห็นของประชาชนชาวรัสเซีย เมื่อเดือน ต.ค. ผลสำรวจจากศูนย์สำรวจความคิดเห็นที่ดำเนินการโดยรัฐ (Public Notion Analysis Centre -VCIOM) พบว่า 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขารู้สึก “เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก” กับความขัดแย้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 47% ของความคิดเห็นเมื่อปีก่อนหน้า

ที่มาของภาพ : Reuters

สหภาพยุโรปอาจตกลงที่จะใช้เงินประมาณ 2 แสนล้านยูโร (ประมาณ 7.4 ล้านล้านบาท) จากสินทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ เพื่อระดมทุนที่เรียกว่า “เงินกู้ชดเชย” สำหรับยูเครน โดยข้อเสนอล่าสุดของคณะกรรมาธิการยุโรปคือการระดมเงิน 90,000 ล้านยูโร (ประมาณ 3.33 ล้านล้านบาท) ในระยะเวลาสองปี

ด้านรัฐบาลยูเครนคาดหวังว่าจะได้รับเงินสดก้อนดังกล่าว แต่สหภาพยุโรปยังคงลังเลอยู่

เบลเยียม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของรัสเซียมีความเกรงกลัวว่าจะถูกรัสเซียฟ้องร้องมาระยะหนึ่งแล้ว และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางรัสเซียได้ประกาศดำเนินการทางกฎหมายต่อธนาคารยูโรเคลียร์ของเบลเยียมในศาลมอสโก

เบลเยียมกล่าวว่าจะไม่เห็นชอบกับการให้เงินกู้ เว้นแต่จะมีการแบ่งปันความเสี่ยงทางกฎหมายและการเงินอย่างชัดเจนกับสมาชิกสหภาพยุโรปอื่น ๆ ส่วนฝรั่งเศสมีความกังวลเนื่องจากภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลของประเทศ และเกรงว่าการนำสินทรัพย์ที่ถูกอายัดออกไปใช้ประโยชน์อาจบั่นทอนเสถียรภาพของยูโรโซน

ผู้นำสหภาพยุโรปจะพยายามอีกครั้งเพื่อบรรลุข้อตกลงในการประชุมร่วมกันที่กรุงบรัสเซลส์ในวันที่ 18 ธ.ค. นี้ ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดครั้งสุดท้ายก่อนวันคริสต์มาส แต่บรรดานักการทูตกล่าวว่าไม่มีการรับประกันว่าจะประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ ยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับการใช้เงินสดส่วนนี้ ว่าจะนำไปรักษาเสถียรภาพทางการเงินของรัฐบาลยูเครนในขณะนี้ หรือจะจ่ายเงินเพื่อการฟื้นฟูยูเครนหลังสงคราม

คำถามเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารของยูเครน

ยูเครนสามารถระดมกำลังทหารได้มากขึ้น และถึงแม้ว่าจะเป็นกองทัพที่ใหญ่เป็นอันดับสองในยุโรป (รองจากรัสเซีย) และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด แต่กองทัพยูเครนก็ยังคงประสบปัญหาในการป้องกันแนวรบที่ยาว 800 ไมล์

หลังจากสงครามดำเนินไปเกือบ 4 ปี ทหารจำนวนมากของยูเครนมีความเหนื่อยล้า และอัตราการหนีทัพก็เพิ่มสูงขึ้น

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสรรหากำลังพลพบว่าการเติมเต็มช่องว่างทำได้ยากขึ้น เนื่องจากชายหนุ่มบางคนหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหารหรือหนีออกนอกประเทศ แต่ยูเครนอาจขยายกฎหมายเกณฑ์ทหาร จากปัจจุบันที่กำหนดเฉพาะชายอายุ 25-60 ปีเท่านั้นที่สามารถถูกเกณฑ์ทหารไปรบได้ นี่เป็นกลยุทธ์ที่รัฐบาลยูเครนตั้งใจใช้เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านประชากร ประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำและมีประชากรหลายล้านคนอาศัยอยู่ต่างประเทศแห่งนี้ไม่สามารถสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า “บิดาแห่งอนาคต” ได้

แต่สิ่งนี้ทำให้คนภายนอกเกิดความสงสัย “ผมรู้สึกเหลือเชื่อที่ยูเครนไม่ได้ระดมพลคนหนุ่มสาวของตัวเอง” เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของสหราชอาณาจักรคนหนึ่งบอกกับผม

“ผมคิดว่ายูเครนน่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในประวัติศาสตร์ที่เผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำรงอยู่ แต่กลับไม่ส่งคนหนุ่มวัย 20 ปีที่บ้าคลั่งไปสู้รบ”

ฟิโอนา ฮิลล์ กล่าวว่า ยูเครนได้เรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์และผลกระทบอันร้ายแรงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่มีต่อจักรวรรดิยุโรปในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเสื่อมถอยลงหลังจากล้มเหลวในการฟื้นฟูการเติบโตของประชากรที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของพวกเขา

“ยูเครนกำลังคิดถึงอนาคตด้านประชากรศาสตร์ของตนเอง”

การโจมตี การทูต และทรัมป์

หากยูเครนสามารถนำเข้าและผลิตขีปนาวุธวิถีไกลได้มากขึ้น ยูเครนจะสามารถโจมตีรัสเซียได้หนักขึ้นและลึกยิ่งกว่าเดิม

ปีนี้ยูเครนได้ยกระดับการโจมตีทางอากาศไปยังทั้งดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดครองและในดินแดนของรัสเซียเอง เมื่อต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ผู้บัญชาการทหารยูเครนเปิดเผยกับสถานีวิทยุเรดิโอ ลิเบอร์ตีว่า พวกเขาได้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านการทหารและพลังงานของรัสเซียกว่า 50 แห่ง ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

อเล็กซานเดอร์ กาบูเอฟ ผู้อำนวยการศูนย์คาร์เนกีรัสเซีย-ยูเรเซีย กล่าวว่า ชาวรัสเซียบางส่วนประสบปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงเมื่อต้นปีนี้ “ภายในช่วงปลายเดือน ต.ค. โดรนของยูเครนได้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียมากกว่าครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 38 แห่ง อย่างน้อยแห่งละหนึ่งครั้ง”

“การหยุดชะงักของการผลิตเกิดขึ้นในหลายภูมิภาค และสถานีบริการน้ำมันบางแห่งในรัสเซียเริ่มจำกัดปริมาณการขายน้ำมัน”

แต่การโจมตีรัสเซียอย่างหนักหน่วงเพิ่มเติมจะส่งผลกระทบหรือไม่ ในเมื่อทั้งเครมลินและชาวรัสเซียดูเหมือนจะไม่สนใจ

ที่มาของภาพ : AFP thru Getty Pictures

ควบคู่ไปกับการป้องกันดินแดนที่ถูกยึดครอง ยูเครนยกระดับการโจมตีทางอากาศเข้าไปยังดินแดนของรัสเซียด้วย

มิก ไรอัน อดีตนายพลชาวออสเตรเลีย และปัจจุบันเป็นนักวิจัยของศูนย์เพื่อการศึกษาเชิงยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ กล่าวว่า การโจมตีระยะไกลไม่ใช่ยาวิเศษ

“มันเป็นปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่ไม่เพียงพอที่จะบีบบังคับให้ปูตินมาเจรจา หรือชนะในสงครามได้”

ดร.สิทธารถ เกาชาล นักวิจัยอาวุโสด้านวิทยาศาสตร์การทหารจากสถาบันวิจัยรูซี (Royal United Services Institute-Rusi) กล่าวว่า การโจมตีระยะไกลเพิ่มเติมจะสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและการทหารของรัสเซียอย่างแน่นอน รวมถึงทำให้ขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียถูกกำจัดไป แต่เขาเตือนว่ายุทธวิธีนี้อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี

“มันอาจตอกย้ำข้อโต้แย้งของผู้นำรัสเซียที่ว่า ยูเครนที่เป็นอิสระก่อให้เกิดภัยคุกคามทางทหารอย่างใหญ่หลวง” เขากล่าว

นอกจากนี้ยังมีหนทางทางการทูตอีกช่องทางหนึ่ง

นักวิเคราะห์บางคนแย้งว่าหากปูตินได้รับข้อเสนอทางออกใหม่ของสงคราม เขาก็อาจจะเลือกทางนั้น

ทฤษฎีที่ว่านี้คือ ข้อตกลงที่ได้รับการเห็นชอบร่วมกันให้สองฝ่ายอ้างชัยชนะได้ ยกตัวอย่างเช่น การหยุดยิvตามแนวปะทะ การปลดอาวุธในบางพื้นที่ การไม่ยอมรับดินแดนอย่างเป็นทางการ การอนุญาตให้กองทัพของยูเครนมีขนาดใหญ่พอที่จะปกป้องพรมแดนของตน การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในขณะที่การเป็นสมาชิกนาโตยังคลุมเครือ ทั้งหมดนี้เป็นการประนีประนอมกันทุกฝ่าย

แต่ข้อตกลงนี้จะต้องการให้สหรัฐฯ เข้าไปเจรจากับรัสเซียอย่างจริงจัง โดยจัดตั้งคณะเจรจา และใช้พลังอำนาจของตนเพื่อผลักดันให้เกิดข้อตกลง

“สหรัฐฯ…จำเป็นต้องใช้พลังอำนาจทางจิตวิทยาอันมหาศาลที่ตนมีเหนือรัสเซีย” โทมัส เกรแฮม กล่าว “ใครก็ตามไม่อาจมองข้ามบทบาทของสหรัฐฯ และตัวของทรัมป์เอง ในการรับรองรัสเซียในฐานะมหาอำนาจและปูตินในฐานะผู้นำระดับโลกได้”

ใช้อิทธิพลจากจีน

ไพ่ใบสำคัญก็คือจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นหนึ่งในผู้นำโลกไม่กี่คนที่ปูตินฟัง ก่อนหน้านี้ที่สี จิ้นผิง ได้เตือนในช่วงต้น ๆ ของความขัดแย้งว่าไม่ให้รัสเซียขู่ว่าจะใช้sะเบิดนิวเคลียร์ รัฐบาลเครมลินก็ยอมตามอย่างรวดเร็ว

เครื่องจักรสงครามของรัสเซียยังต้องพึ่งพิงสินค้าที่ใช้ได้สำหรับวัตถุประสงค์สองด้าน (การใช้ด้านพลเรือน และการทหาร) จากจีนอย่างมาก เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องจักรกลที่สามารถใช้ได้ทั้งวัตถุประสงค์ด้านพลเรือนและทางการทหาร

ดังนั้น หากรัฐบาลปักกิ่งตัดสินใจว่าการให้สงครามดำเนินต่อไปจะไม่เป็นประโยชน์กับจีนอีกต่อไป รัฐบาลกรุงปักกิ่งก็จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดของรัสเซีย

ในขณะนี้ สหรัฐฯ ยังไม่มีท่าทีว่าจะสนับสนุนหรือบีบบังคับให้จีนกดดันรัฐบาลกรุงมอสโก ดังนั้น คำถามก็คือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะเต็มใจที่จะใช้มาตรการกดดันด้วยตนเองหรือไม่

ที่มาของภาพ : SPUTNIK/KREMLIN POOL/POOL/EPA/Shutterstock

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นหนึ่งในผู้นำโลกไม่กี่คนที่ปูตินรับฟัง

ในขณะนี้ดูเหมือนว่าจีนจะพอใจที่สหรัฐฯ ถูกเบี่ยงเบนความสนใจออกไป พันธมิตรในแถบแอตแลนติกแตกแยก และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมองจีนเป็นแหล่งที่มาของเสถียรภาพ แต่หากรัสเซียยกระดับการรุกรานยิ่งขึ้น ตลาดโลกถูกทำลาย และสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางอ้อมต่อจีนเพื่อลงโทษการบริโภคพลังงานราคาถูกจากรัสเซีย ความคิดของจีนอาจเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ปูตินเชื่อว่าเขายังอยู่ในจุดที่ดีโดยมีเวลาอยู่ข้างเขา นักวิเคราะห์กล่าวว่า ยิ่งความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อออกไปนานเท่าใด ขวัญกำลังใจของยูเครนก็จะยิ่งตกต่ำลง พันธมิตรของพวกเขาก็จะยิ่งแตกแยกมากขึ้น และรัสเซียก็จะยิ่งได้ดินแดนในภูมิภาคโดเนตสก์มากขึ้น

“เราต้องปลดปล่อยดินแดนเหล่านี้ด้วยกำลังอาวุธ หรือไม่ก็กองทัพยูเครนต้องถอนตัวออกจากดินแดนส่วนนี้” ปูตินกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

“ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งแห่งหนของเขาได้” ฟิโอนา ฮิลล์ กล่าวกับบีบีซี

“เว้นแต่ว่าเขาจะถอนตัวออกไป ปูตินกำลังเดิมพันอยู่ตอนนี้ว่า เขาสามารถยืดสถานการณ์นี้ออกไปได้นานพอ จนกระทั่งทุกอย่างเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อเขา”