บีบีซีเปิดโปงขบวนการ “โกงเงินบริจาค” ลวงให้ความหวังครอบครัวเด็กป่วยมะเร็งทั่วโลก

ที่มาของภาพ : Probability Letivka

Article Knowledge
    • Creator, ซีมี โจเลาโซ,
    • Creator, แจ็ก กูดแมน,
    • Creator, ซาราห์ บักลีย์,
    • Role, บีบีซี อาย อินเวสทิเกชัน

คำเตือน: รายงานข่าวต่อไปนี้มีเนื้อหาที่อาจรบกวนจิตใจผู้อ่านได้

เด็กชายคนหนึ่งมองมาที่กล้อง ผิวของเขาซีดเผือด ศีรษะปราศจากเส้นผม เด็กน้อยผู้น่าสงสารยังกล่าวว่า “หนูอายุเจ็ดขวบและป่วยเป็นโรคมะเร็ง ได้โปรดช่วยชีวิตหนูด้วย…ช่วยด้วย”

หนูน้อยคนที่อยู่ในภาพนิ่งซึ่งนำมาจากคลิปวิดีโออีกที คือเด็กชาย “คาลิล” ชาวฟิลิปปินส์ แม่ของเขาชื่อ “อัลญิน” บอกว่าลูกไม่ได้อยากจะถ่ายโฆษณาขอรับบริจาคเงินช่วยเหลือนี้เลย แต่ทีมงานถ่ายทำกลับขอให้เธอโกนผมลูกชายออกให้หมด จากนั้นพวกเขามาที่โรงพยาบาล แล้วจัดฉากติดสายให้น้ำเกลือปลอม ๆ กับเด็กชายคาลิล พร้อมทั้งขอให้ครอบครัวแสร้งทำเป็นว่านี่คือวันเกิดของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ทีมถ่ายทำยังให้หนูน้อยฝึกท่องบทเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย

นางอัลญินผู้เป็นแม่เน้นย้ำว่า ลูกของเธอไม่ชอบการถ่ายทำโฆษณานี้เอาเสียเลย เพราะระหว่างนั้นมีการนำหัวหอมสับกลิ่นฉุนมาวางไว้ใกล้ตัวเด็กชาย ทั้งใช้ยาหม่องน้ำทาใต้ตาของเขา เพื่อทำให้น้ำตาไหลเหมือนกำลังร้องไห้

อัลญินจำยอมให้คนแปลกหน้าทำกับลูกแบบนี้ เพราะถึงแม้การถ่ายทำโฆษณาจะเป็นการจัดฉากปลอม ๆ แต่ลูกของเธอนั้นป่วยด้วยโรคมะเร็งจริง พวกเขาบอกกับเธอว่า โฆษณานี้จะช่วยหาเงินบริจาคทางออนไลน์จากสาธารณชนจำนวนมาก เพื่อนำมาสมทบเป็นค่ารักษาพยาบาล และนำไปซื้อยาดีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นให้กับลูกได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทีมข่าวบีบีซีพบว่า มีคนใจดีทั่วโลกบริจาคเงินให้เด็กชายคาลิลถึง 27,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 850,000 บาท)

แต่ในความเป็นจริงอันโหดร้าย บุคคลที่เป็นตัวกลางในการเผยแพร่โฆษณาและขอรับบริจาค กลับบอกกับอัลญินว่าความพยายามหาเงินช่วยชีวิตคาลิลนั้นล้มเหลว และแทบจะไม่มีใครบริจาคเลย ครอบครัวของคาลิลจึงได้รับเพียงเงินค่าตัว 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 22,000 บาท) ในวันที่ถ่ายทำโฆษณาดังกล่าว และหนึ่งปีต่อมาคาลิลก็ได้เสียชีวิตลง

ทั่วโลกมีพ่อแม่ที่กำลังสิ้นหวังและต้องการความช่วยเหลือทางการเงินจำนวนมาก เพราะลูกของพวกเขาป่วยเรื้อรังหรือไม่ก็ป่วยหนักใกล้เสียชีวิตเต็มที ซึ่งทีมข่าวบีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส พบว่าคนกลุ่มนี้ถูกลวงใช้และเอารัดเอาเปรียบ โดยขบวนการลวงรับบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กป่วยทางออนไลน์ สาธารณชนจำนวนมากหลงเชื่อและหยิบยื่นเงินให้กับแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ เพราะมีการโฆษณาอวดอ้างว่ากำลังระดมทุนให้กับผู้ป่วยเด็ก เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น และมีโอกาสรอดชีวิต

ทีมข่าวบีบีซีพบว่ามีครอบครัวของผู้ป่วยเด็กถึง 15 ครอบครัว ที่ได้รับเงินเพียงน้อยนิดหรือไม่ได้อะไรเลย แม้การขอรับบริจาคนั้นจะทำเงินได้มหาศาลก็ตาม ครอบครัวของผู้ป่วยเด็กยังไม่เคยได้รับทราบด้วยซ้ำว่า โฆษณาขอรับบริจาคที่ลูกต้องทนลำบากลำบนนานหลายชั่วโมงเพื่อการถ่ายทำนั้น ได้ถูกนำไปเผยแพร่จริงหรือไม่

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

มี 9 ครอบครัวในจำนวนนี้ ตกเป็นเหยื่อของขบวนการลวงขอเงินบริจาคในเครือข่ายเดียวกัน พวกเขาบอกว่าไม่เคยได้รับส่วนแบ่งเงินบริจาคเลยแม้แต่บาทเดียว แม้การอ้างชื่อลูก ๆ ที่น่าสงสารของพวกเขา จะสามารถระดมเงินบริจาคทางออนไลน์ได้รวมกันถึง 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 126 ล้านบาท) ก็ตาม

คนในของเครือข่ายลวงรับเงินบริจาค ซึ่งยินยอมแจ้งเบาะแสกับบีบีซีบอกว่า พวกเขามักจะมองหา “เด็กหน้าตาน่ารัก” ซึ่งจะต้อง “มีอายุสามถึงเก้าขวบ และหัวล้านไม่มีผมสักเส้น”

ทีมข่าวบีบีซียังสามารถระบุตัวการใหญ่ ที่เป็นอาชญากรผู้มีบทบาทสำคัญในขบวนการนี้ ซึ่งก็คือนายเอเรซ ฮาดารี ชายชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในแคนาดา

ทีมข่าวบีบีซีเริ่มทำการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2023 เมื่อได้เห็นโฆษณาหนึ่งในเว็บไซต์ยูทิวบ์ที่ดูสะดุดตา ในคลิปวิดีโอนั้นเด็กหญิงชาวกานาชื่อว่าอเล็กซานดรา ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางบอกว่า “หนูยังไม่อยากเสียชีวิต แต่ค่ารักษาพยาบาลมันแพงมาก”

การรณรงค์ขอรับบริจาคเงินจากสาธารณชนทางออนไลน์หรือ “คราวด์ฟันดิง” (crowdfunding) ของอเล็กซานดรา ดูเหมือนว่าจะรวบรวมเงินจากผู้มีจิตเมตตาได้ถึงเกือบ 700,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 22 ล้านบาท) หลังจากนั้นทีมข่าวของบีบีซียังได้เห็นโฆษณาลักษณะเดียวกันอีกมากมาย ทั้งหมดเป็นคลิปวิดีโอของเด็กป่วยจากทั่วโลก ที่ถูกผลิตขึ้นอย่างแนบเนียน โดยส่งสารขอความเมตตาอย่างร้อนรนเร่งด่วน และใช้ข้อความกระตุ้นเร้าอารมณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะช่วยระดมเงินบริจาคได้เป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว

เมื่อทำการสืบสวนต่อไปก็พบว่า การขอรับบริจาคในวงกว้างที่ครอบคลุมถึงระดับนานาชาติมากที่สุด อยู่ในนามขององค์กรการกุศล “แชนซ์ เลทีกวา” (Probability Letikva) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษและฮีบรูที่หมายความว่า “โอกาสเพื่อความหวัง” โดยมีการจดทะเบียนทั้งในสหรัฐฯ และอิสราเอล

การติดตามค้นหาตัวเด็กป่วยในคลิปโฆษณาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในที่สุดด้วยการใช้เทคนิคการระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์, การสืบค้นข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์, และซอฟต์แวร์จดจำใบหน้า ทีมข่าวบีบีซีก็ได้พบกับครอบครัวของเด็กเหล่านั้นในหลายประเทศทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่โคลอมเบียไปจนถึงฟิลิปปินส์

ที่มาของภาพ : Probability Letikva

โครงการระดมทุนขององค์กร “แชนซ์ เลทีกวา” ให้กับ “อานา” ในโคลอมเบีย กล่าวอ้างอย่างผิด ๆ ว่าเธอเหลือเวลาใช้ชีวิตอยู่อีกแค่สองเดือนเท่านั้น

เราไม่อาจจะทราบได้อย่างแน่ชัดว่า ยอดเงินบริจาคที่รายงานไว้ในเว็บไซต์นั้นเป็นของจริงหรือไม่ ทีมข่าวบีบีซีจึงลองบริจาคเงินจำนวนเล็กน้อยให้เด็กป่วยสองราย และได้เห็นว่ายอดเงินบริจาคล่าสุดในเว็บไซต์ เพิ่มขึ้นตามจำนวนที่เราได้ทดลองบริจาคไป

ผู้บริจาครายหนึ่งที่ทีมข่าวบีบีซีได้มีโอกาสพูดคุยด้วย บอกว่าหลังจากที่เธอบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้เด็กหญิงอเล็กซานดราไปถึง 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5,700 บาท) เธอก็ได้รับอีเมลอีกหลายฉบับ ที่เฝ้ารบเร้าขอเงินบริจาคเพิ่มไม่หยุดหย่อน โดยข้อความในอีเมลเหล่านั้นดูเหมือนว่า เขียนขึ้นโดยหนูน้อยและพ่อของเธอเอง

ส่วนที่ฟิลิปปินส์ อัลญิน ทาบาซา แม่ของเด็กชายคาลิลที่เสียชีวิตไปแล้ว บอกว่าลูกของเธอเริ่มล้มป่วยหลังมีอายุครบเจ็ดขวบได้ไม่นาน “เมื่อเราได้รู้ว่าลูกเป็นมะเร็ง มันเหมือนกับทั้งโลกแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ” อัลญินกล่าว เธอบอกว่าการรักษาที่โรงพยาบาลท้องถิ่นในเมืองเซบูเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทำให้เธอต้องส่งข้อความติดต่อคนรู้จักทั้งหมดเพื่อขอความช่วยเหลือ จนในที่สุดก็มีคนผู้หนึ่งแนะนำให้เธอรู้จักกับนายรอเย อินเซียร์โต นักธุรกิจในท้องถิ่น ซึ่งได้ขอตัวอย่างคลิปวิดีโอของคาลิลกับแม่ของเขา เมื่อมาย้อนคิดไปอัลญินจึงนึกได้ว่า แท้จริงแล้วมันคือการคัดตัวนักแสดงหรือออดิชันนั่นเอง

ต่อมาในเดือนธันวาคม ปี 2022 มีชายอีกคนหนึ่งเดินทางมาจากแคนาดา เพื่อมาพบอัลญินกับลูกถึงที่ฟิลิปปินส์ เขาแนะนำตัวว่าชื่อ “เอเรซ” และได้จ่ายค่าตัวเพื่อการถ่ายทำโฆษณาขอรับบริจาคให้เธอก่อนทันที และให้สัญญาว่าจะจ่ายให้อีก 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 47,000 บาท) ต่อเดือน หากโฆษณานั้นทำเงินบริจาคได้เป็นจำนวนมากพอ

เอเรซลงมือกำกับการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณา เพื่อนำไปขอรับบริจาคให้คาลิลทางออนไลน์ ที่โรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่ง โดยเขาสั่งให้คาลิลแสดงซ้ำและถ่ายทำใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าหลายรอบ จนกระบวนการถ่ายทำทั้งหมดกินเวลายาวนานถึง 12 ชั่วโมง กว่าจะเสร็จสิ้น

ภาพกราฟิกแสดงถึงการจัดฉากของ “คาลิล” ในวิดีโอ โดยคาลิลถูกขอให้แสร้งทำเป็นว่านี่คือวันเกิดของเขา เขาถูกใช้ยาหม่องกับหัวหอมทำให้น้ำตาไหล และถูกให้ฝึกท่องบทเป็นภาษาอังกฤษ

หลายเดือนต่อมา ครอบครัวของคาลิลที่ตั้งตารอแล้วรออีกก็ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยว่า ภาพยนตร์โฆษณาที่ถ่ายไปนั้นทำเงินบริจาคได้มากน้อยแค่ไหน อัลญินจึงส่งข้อความหาเอเรซ ซึ่งเขาตอบกลับมาเพียงว่าคลิปวิดีโอของลูกชายเธอ “ไม่ประสบความสำเร็จ” ในการขอรับบริจาค

อัลญินกล่าวว่า “ตามความเข้าใจของฉัน มันหมายความว่าคลิปนั้นไม่สามารถทำเงินได้เลยแม้แต่บาทเดียว” อย่างไรก็ตามเมื่อทีมข่าวบีบีซีบอกเธอว่า อันที่จริงแล้วมีคนบริจาคเงินให้ลูกชายของเธอถึงเกือบหนึ่งล้านบาท ตามยอดที่เว็บไซต์ขอรับบริจาคได้ระบุไว้เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2024 และยังคงเปิดรับบริจาคอยู่ อัลญินถึงกับบอกว่า

“ถ้าฉันได้รู้ยอดเงินบริจาคที่เราได้รับในตอนนั้น ฉันอดคิดไม่ได้ว่าคาลิลอาจจะยังอยู่กับเราในตอนนี้ ฉันไม่เข้าใจเลยว่า พวกเขาทำกับเราเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”

เมื่อทีมข่าวบีบีซีสอบถามนายรอเย อินเซียร์โต ผู้เป็นคนกลางในการติดต่อกับนายเอเรซถึงเรื่องดังกล่าว เขาปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งให้แม่ของคาลิลโกนผมลูกเพื่อเตรียมถ่ายทำโฆษณา และบอกว่าไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ ในการหาตัวผู้ป่วยเด็กมาถ่ายทำคลิปขอรับบริจาคดังกล่าว

นายอินเซียร์โตยังบอกว่า เขาไม่มีอำนาจควบคุมการจ่ายเงินจากกองทุนที่ได้รับบริจาคมา และไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวของคาลิลหรือผู้ป่วยเด็กคนอื่น ๆ อีกเลย หลังการถ่ายทำโฆษณาเสร็จสิ้นลง เมื่อทีมข่าวบีบีซีบอกเขาว่า ครอบครัวของเด็กเหล่านั้นไม่ได้รับเงินบริจาคเลยแม้แต่น้อย นายอินเซียร์โตบอกว่าเขารู้สึก “งุนงงสงสัย” กับสิ่งที่เกิดขึ้น และบอกว่ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวเหล่านั้น

ไม่มีคนชื่อเอเรซปรากฏในเอกสารการจดทะเบียนขององค์กรการกุศล “แชนซ์ เลทีกวา” แต่การรณรงค์ขอรับบริจาคให้เด็กอีกสองคนที่บีบีซีได้ทำการสืบสวน ถูกดำเนินการโดยอีกองค์กรหนึ่งที่ชื่อว่า “กำแพงแห่งความหวัง” (Walls of Hope) ซึ่งมีการจดทะเบียนในอิสราเอลและแคนาดา ทว่าชื่อของผู้อำนวยการองค์กรสาขาแคนาดานั้น มีการระบุชัดเจนว่าเป็นนายเอเรซ ฮาดารี

ภาพของนายฮาดารีที่ปรากฏทางออนไลน์ในเว็บไซต์ขององค์กรดังกล่าว แสดงให้เห็นตอนที่เขาเข้าร่วมงานเทศกาลทางศาสนายูดาห์ที่ฟิลิปปินส์, นิวยอร์ก, และไมอามี เมื่อเรานำภาพนี้ไปให้อัลญินดู เธอยืนยันว่านั่นคือชายคนเดียวกับที่เธอเคยพบ อย่างไรก็ตาม นายฮาดารีไม่ได้ตอบคำถามของบีบีซี ที่สอบถามไปถึงความเกี่ยวข้องระหว่างตัวเขากับการขอรับบริจาคให้ผู้ป่วยเด็กชาวฟิลิปปินส์

ทีมข่าวบีบีซียังได้ไปเยี่ยมเยือนครอบครัวของผู้ป่วยเด็กคนอื่น ๆ ในดินแดนชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศโคลอมเบียและในยูเครน ซึ่งการขอรับบริจาคเงินช่วยเหลือทางออนไลน์ให้ลูกของพวกเขานั้น ล้วนถูกดำเนินการโดยองค์กรของนายฮาดารี หรือกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

ส่วนกรณีของเด็กชายคาลิลชาวฟิลิปปินส์นั้น ตัวแทนของนายฮาดารีในท้องถิ่นจะเป็นผู้จัดหาและติดต่อไปยังครอบครัวของผู้ป่วยเด็ก เพื่อเสนอการมอบความช่วยเหลือ หลังจากนั้นจะมีการถ่ายทำโฆษณาโดยบังคับให้เด็กร้องไห้หรือแสร้งบีบน้ำตา เพื่อแลกกับค่าตัวในเบื้องต้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้รับเงินบริจาคตามที่ได้สัญญาเอาไว้เลย

ที่เมืองซูเกร (Sucre) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโคลอมเบีย นายเซอร์ฮีโอ แกเร พ่อของเด็กหญิงอานาวัย 8 ขวบ บอกว่าในตอนแรกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอดังข้างต้น หลังจากที่หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งชื่อ “อิซาเบล” ติดต่อมา และเสนอมอบความช่วยเหลือทางการเงิน ให้กับลูกสาวของเขาที่ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งสมอง

แม้พ่อของอานาจะได้ปฏิเสธไม่ยอมรับความช่วยเหลือไปแล้ว แต่อิซาเบลกลับตามตื๊อมาหาพวกเขาถึงโรงพยาบาล โดยมีชายผู้หนึ่งที่อ้างว่าทำงานกับองค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอระดับนานาชาติ ติดตามเธอมาด้วย

ตามที่พ่อของอานาได้บอกเล่ากับบีบีซีนั้น รูปร่างหน้าตาของชายคนดังกล่าว ตรงกับนายเอเรซ ฮาดารี เป็นอย่างมาก และเมื่อได้เห็นภาพของนายฮาดารีที่เรายื่นให้ดู พ่อของอานาก็จำเขาได้ทันที “เขาให้ความหวังกับผม เพราะผมเองไม่มีเงินสำหรับอนาคตเลย”

บทวิดีโอที่ถูกส่งให้ “อานา” ศึกษา มีการระบุรายละเอียดกำกับกระทั่งว่าเธอและพ่อต้องแต่งกายอย่างไรและแสดงท่าทีอย่างไร รวมถึงกำกับให้เธอต้องร้องไห้ด้วย

แม้จะได้ยอมรับข้อเสนอที่จะถ่ายโฆษณาเพื่อนำไปขอรับบริจาคแล้ว แต่ข้อเรียกร้องของอิซาเบลและฮาดารีต่อครอบครัวของอานา ก็ยังไม่หมดลงง่าย ๆ นายเซอร์ฮีโอพ่อของอานาบอกว่า อิซาเบลขอภาพของอานาขณะอยู่ในโรงพยาบาลเพิ่มครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อเขาไม่ตอบกลับข้อความของเธอ อิซาเบลถึงกับส่งข้อความเสียงมาทวงถามกับอานาโดยตรง

ในข้อความเสียงที่ผู้สื่อข่าวบีบีซีได้ฟังด้วยนี้ อานาบอกกับอิซาเบลว่าเธอไม่มีภาพใหม่ที่จะส่งไปให้แล้ว แต่อิซาเบลกลับตอบในเชิงข่มขู่ว่า “นี่มันแย่มากเลยอานา มันไม่ดีเอาเสียเลยจริง ๆ”

เมื่อช่วงเดือนมกราคมของปีนี้ อานาที่ฟื้นตัวจากอาการของโรคมะเร็งที่เริ่มสงบลงแล้ว ได้พยายามสืบหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเงินบริจาคของเธอ ซึ่งอิซาเบลตอบกลับมาทางข้อความเสียงเพียงแค่ว่า “มูลนิธินั้นมันหายไปแล้ว คลิปโฆษณาของเธอไม่เคยถูกอัปโหลดเพื่อนำออกเผยแพร่ ไม่เคยเลย ไม่เคยมีการทำอะไรกับมันทั้งสิ้น ได้ยินไหม ?”

แต่ทีมข่าวบีบีซีกลับพบว่า อันที่จริงแล้วมีการอัปโหลดวิดีโอดังกล่าวขึ้นเว็บไซต์ขอรับบริจาค และในเดือนเม.ย. ปี 2024 ยอดเงินสะสมที่มีผู้บริจาคให้อานาก็สูงเกือบ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 8 ล้านบาท) ไปแล้ว

“อานา” และพ่อของเธอ อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในชุมชนพื้นเมืองของโคลอมเบีย

ต่อมาในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน ทีมข่าวบีบีซีสามารถชักจูงให้อิซาเบลยอมพูดคุยด้วยทางวิดีโอคอล เธอบอกว่าเพื่อนคนหนึ่งที่มาจากอิสราเอล ได้แนะนำให้รู้จักกับชายชาวยิวที่เสนองานให้เธอทำ โดยงานดังกล่าวเกี่ยวข้องกับมูลนิธิที่ให้ความช่วยเหลือกับผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม เธอปฏิเสธที่จะเอ่ยชื่อของบุคคลที่เธอทำงานด้วย

อิซาเบลยังบอกว่า ในบรรดาเด็ก ๆ ที่เธอจัดการติดต่อให้เข้าร่วมการถ่ายทำโฆษณาเพื่อขอรับบริจาคนั้น มีโฆษณาของเด็กเพียงรายเดียวที่ถูกนำออกเผยแพร่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการระดมเงินบริจาคแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เมื่อทีมข่าวบีบีซีแสดงหลักฐานให้เธอเห็นว่า มีคลิปโฆษณาของเด็กที่เธอติดต่อด้วยถึงสองราย ถูกอัปโหลดขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ขอรับบริจาค หนึ่งในนั้นสามารถระดมเงินช่วยเหลือจากผู้มีจิตเมตตาได้ถึงกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 22 ล้านบาท) อิซาเบลถึงกับกล่าวว่า “ฉันต้องขอโทษครอบครัวของเด็ก ๆ ด้วย หากฉันรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันคงไม่อาจจะลงมือทำเรื่องแบบนี้ได้”

ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่ยูเครน ทีมข่าวบีบีซีพบว่าคนที่พยายามเข้าหาแม่ของเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งสมอง เพื่อยื่นข้อเสนอให้เด็กถ่ายโฆษณาเพื่อขอรับเงินบริจาคนั้น กลับเป็นพนักงานของสถานพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำคลิปโฆษณาชิ้นนั้นเอง

เตเชียนา คาเลียฟกา พนักงานด้านการตลาดและการสื่อสารของ “อังเอิลโฮล์ม คลินิก” (Angelholm Health facility) ในเมืองเชอร์นีฟซีของยูเครน คือผู้จัดแจงเตรียมการถ่ายโฆษณาเพื่อขอรับบริจาคให้กับหนูน้อย “วิกตอเรีย” วัย 5 ขวบ ที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งสมองของสถานพยาบาลดังกล่าว

โพสต์ข้อความหนึ่งในเฟซบุ๊ก ที่เกี่ยวข้องกับการขอรับบริจาคเงินขององค์กร “แชนซ์ เลทีกวา” แสดงภาพของหนูน้อยวิกตอเรียกับนางโอเลนา เฟียร์โซวา แม่ของเธอ กำลังนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีข้อความแปลคำพูดจากปากแม่ของหนูน้อย ขึ้นหน้าจอเป็นภาษาอังกฤษว่า “ฉันได้เห็นความพยายามของพวกคุณที่จะช่วยชีวิตลูกสาวของฉัน มันทำให้เราทุกคนซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง เราแข่งกับเวลาเพื่อรวบรวมเงินค่ารักษาที่วิกตอเรียจำเป็นต้องใช้ให้ได้”

อย่างไรก็ตาม โอเลนาบอกกับบีบีซีว่า เธอไม่เคยพูดขอรับบริจาคในลักษณะดังกล่าวเลย และไม่ทราบด้วยว่ามีการอัปโหลดคลิปดังกล่าวขึ้นเผยแพร่ทางออนไลน์ แม้โฆษณานี้จะระดมเงินบริจาคได้ถึงกว่า 280,000 ยูโร (ราว 10 ล้านบาท) ก็ตาม

ด้านอังเอิลโฮล์ม คลินิก ชี้แจงกับบีบีซีว่า พวกเขาไม่เคยอนุญาตให้มีการถ่ายทำโฆษณาดังกล่าวที่สถานพยาบาลของตนเลย “ทางคลินิกไม่เคยมีส่วนร่วม หรือให้การสนับสนุนความริเริ่มใด ๆ เพื่อขอรับเงินบริจาคให้ผู้ป่วย รวมทั้งไม่เคยสนับสนุนการระดมเงินบริจาคที่จัดขึ้นโดยองค์กรใด ๆ ทั้งสิ้น” นอกจากนี้ทางคลินิกยังบอกว่า ได้ยกเลิกสัญญาจ้างของนางเตเชียนา คาเลียฟกา ไปเรียบร้อยแล้ว

โอเลนาและหนูน้อยวิกตอเรีย ลูกสาวของเธอซึ่งเพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมอง

ด้านนางโอเลนา แม่ของหนูน้อยวิกตอเรีย ได้นำหนังสือสัญญาที่เธอลงนามเพื่อการถ่ายโฆษณาขอรับบริจาค มาให้ทีมข่าวบีบีซีดู ซึ่งสัญญาดังกล่าวระบุว่า นอกเหนือจากเงินค่าตัว 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 47,000 บาท) ที่ครอบครัวของหนูน้อยจะได้รับในวันถ่ายทำโฆษณา พวกเขาจะได้รับเงินอีก 8,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 252,000 บาท) เมื่อยอดเงินบริจาคสูงถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่จำนวนเงินที่เป็นเป้าหมายนั้น กลับถูกเว้นว่างไว้โดยไม่มีการระบุชัดเจนในสัญญา

หนังสือสัญญาข้างต้นระบุที่อยู่ขององค์กรแชนซ์ เลทีกวา ในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ แต่ในเว็บไซต์ขององค์กร กลับระบุที่อยู่อีกแห่งหนึ่งที่เมืองเบตเชเมช (Bait Shemesh) ซึ่งห่างจากนครเยรูซาเลมราวหนึ่งชั่วโมงหากเดินทางด้วยรถยนต์ ทีมข่าวบีบีซีได้เดินทางไปดูสถานที่ทั้งสองแห่ง แต่ไม่พบที่ตั้งขององค์กรดังกล่าวเลย

เรายังพบว่าแชนซ์ เลทีกวา เป็นเพียงหนึ่งในองค์กรการกุศลจอมปลอมอีกหลายแห่ง ที่ลวงให้ความหวังและลวงใช้ครอบครัวของผู้ป่วยเด็ก เพื่อกอบโกยเงินบริจาคจากคนใจดีทั่วโลกไปเป็นของตนเอง

ชายคนหนึ่งที่แนะนำตัวว่าชื่อ “โอเลห์” และเคยเป็นสมาชิกในทีมถ่ายทำโฆษณาของเด็กหญิงวิกตอเรีย บอกกับทีมข่าวบีบีซีที่ปลอมตัวเป็นเพื่อนของครอบครัวหนูน้อยว่า เขาได้ทำงานให้กับองค์กรการกุศลแห่งอื่นในลักษณะนี้ด้วย “ในแต่ละครั้ง ชื่อขององค์กรก็จะไม่เหมือนเดิม ผมไม่อยากจะพูดเลยว่า พวกเขาทำงานกันเหมือนสายพานลำเลียงในโรงงานเลยละ”

โอเลห์ยังบอกว่า “บริษัทที่คล้ายกันอีกสิบกว่าแห่ง” ต่างก็ร้องขอ “วัสดุต้นฉบับ” เพื่อเอาไปผลิตคลิปโฆษณาขอรับบริจาคในแบบเดียวกัน เขาได้เอ่ยชื่อองค์กรการกุศลสองแห่งที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ได้แก่ “เซนต์เทรีซา” (Saint Theresa) และ “ลิตเทิล แองเจลส์” (Limited Angels) ซึ่งต่างก็จดทะเบียนในสหรัฐฯ

เมื่อทีมข่าวบีบีซีได้ตรวจสอบเอกสารการจดทะเบียนขององค์กรการกุศลทั้งสองแห่ง ก็พบว่ามีชื่อของเอเรซ ฮาดารี ปรากฏอยู่อีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะทราบได้ชัดเจนว่า เงินบริจาคที่คนทั่วโลกมอบให้กับผู้ป่วยเด็กเหล่านั้น ตกไปอยู่ในกระเป๋าของใครกันแน่

หลังการถ่ายทำโฆษณาของวิกตอเรียผ่านไปนานกว่าหนึ่งปี แม่ของเธอตัดสินใจโทรศัพท์ติดต่อนายโอเลห์ ที่ใช้ชื่อทางออนไลน์ว่าอเล็กซ์ โคเฮน เป็นครั้งแรก เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการระดมเงินบริจาค ไม่นานหลังจากนั้น คนขององค์กรแชนซ์ เลทีกวา ได้ติดต่อมาเพื่อให้คำอธิบายว่า เงินบริจาคที่หามาได้น้อยนิด ถูกใช้ไปกับการซื้อพื้นที่โฆษณาทางอินเทอร์เน็ตแล้ว ซึ่งนี่เป็นข้ออ้างเดียวกับที่นายฮาดารีบอกกับอัลญิน แม่ของหนูน้อยคาลิล เมื่อเธอทวงถามถึงเงินบริจาคกับเขาทางโทรศัพท์

นางอัลญินเล่าว่า นายฮาดารีกล่าวอ้างกับเธอลอย ๆ โดยปราศจากหลักฐานยืนยันว่า “มันมีค่าซื้อโฆษณาอยู่ ซึ่งทำให้ทางบริษัทต้องเสียเงิน” ทว่าผู้เชี่ยวชาญด้านองค์กรการกุศลบอกกับบีบีซีว่า ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้นไม่ควรจะเกิน 20% ของยอดเงินบริจาคทั้งหมดที่สามารถระดมทุนมาได้

อดีตลูกจ้างของแชนซ์ เลทีกวา จำนวนหนึ่ง ที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว เคยได้รับมอบหมายให้มองหาและคัดเลือกผู้ป่วยเด็กมาถ่ายโฆษณาขอรับบริจาค พวกเขาบอกว่าแมวมองจะได้รับคำสั่งให้ไป “ดูตัว” ผู้ป่วยเด็กตามคลินิกโรคมะเร็ง “พวกเขาจะมองหาเด็กหน้าตาน่ารักผิวขาวซีดเสมอ เด็กคนนั้นจะต้องมีอายุระหว่างสามถึงเก้าขวบ พูดเก่งหรือรู้จักพูดจาได้ดี หัวจะต้องล้านปราศจากเส้นผม” อดีตลูกจ้างคนหนึ่งบอกว่า “เจ้านายจะขอภาพของเด็กจากเรา เพื่อตรวจสอบว่าตรงตามที่ต้องการไหม ซึ่งฉันมักจะส่งภาพของเด็กไปให้เอเรซ”

อดีตลูกจ้างที่กลายมาเป็นผู้ให้เบาะแสยังบอกเราว่า เมื่อนายฮาดารีได้เห็นภาพของเด็กแล้ว ก็จะส่งต่อไปให้ชายอีกคนหนึ่งที่อิสราเอล ซึ่งพวกเขาไม่รู้จักชื่อของชายคนนั้น

ทีมข่าวบีบีซีได้พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์นายฮาดารี โดยติดต่อไปยังที่อยู่ทั้งสองแห่งของเขาในแคนาดา แต่ก็หาตัวไม่พบ อย่างไรก็ตาม เขาได้ตอบกลับข้อความเสียงที่เราทิ้งไว้ครั้งหนึ่ง ซึ่งเราได้ขอคำอธิบายจากเขาว่า เงินบริจาคที่ได้มาไปอยู่เสียที่ไหนหมด แต่นายฮาดารีตอบกลับเพียงสั้น ๆ ว่า “องค์กรการกุศลแห่งนั้นไม่เคยมีการดำเนินงานเลย” เขาไม่ได้ระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงองค์กรแห่งไหน ทั้งไม่ได้ตอบกลับข้อความเสียงอื่น ๆ รวมทั้งไม่ตอบจดหมายจากบีบีซีที่รวบรวมคำถามและข้อกล่าวหาต่าง ๆ เอาไว้ทั้งหมด

ที่มาของภาพ : Erez Hadari

เอเรซ ฮาดารี ส่งภาพที่ถ่ายตัวของเขาเองให้กับแม่ของคาลิล

ปัจจุบันแชนซ์ เลทีกวา ยังคงขอรับบริจาคค่ารักษาพยาบาลให้เด็กชายคาลิล ชาวฟิลิปปินส์ และเด็กชายเฮกเตอร์ ชาวเม็กซิกันอยู่ แม้หนูน้อยทั้งสองจะเสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนแชนซ์ เลทีกวา สาขาสหรัฐฯ ก็ดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับองค์กรที่เพิ่งเปิดใหม่ “เซนต์ราฟาเอล” (Saint Raphael) ที่ขยันเปิดรับบริจาคบ่อยถี่ขึ้นกว่าเดิม โดยดูเหมือนว่าจะองค์กรนี้จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเด็กอีกสองราย ในคลินิกแองเอิลโฮล์มของยูเครน เพราะภาพในคลิปโฆษณาดูเหมือนจะถ่ายทำในสถานพยาบาลดังกล่าว ซึ่งมีผนังเป็นแผงไม้และมีเครื่องแบบพนักงานที่เป็นเอกลักษณ์สะดุดตา

ล่าสุดนางโอเลนา แม่ของหนูน้อยวิกตอเรียบอกว่า แพทย์ได้ตรวจพบเนื้อร้ายภายในสมองของลูกสาวเธออีกก้อน ข่าวร้ายนี้และผลการสืบสวนของบีบีซีเกี่ยวกับองค์กรการกุศลจอมปลอม ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียนด้วยความรังเกียจขยะแขยง “เมื่อลูกของคุณกำลัง…ร่อแร่ใกล้เสียชีวิตแล้ว แต่กลับมีคนนอกกำลังกอบโกยเงินจากความทุกข์ทรมานของเธออยู่ มันช่างสกปรกสิ้นดี นี่คือเงินเปื้อนเลืoดชัด ๆ”

บีบีซีได้ติดต่อไปยังเตเชียนา คาเลียฟกา, อเล็กซ์ โคเฮน, และองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมถึงแชนซ์ เลทีกวา, กำแพงแห่งความหวัง, เซนต์ราฟาเอล, ลิตเทิล แองเจลส์, และเซนต์เทรีซา โดยเชื้อเชิญให้พวกเขาชี้แจงตอบโต้ข้อกล่าวหา แต่ไม่มีผู้ใดตอบกลับ

ด้านสำนักงานกำกับดูแลบริษัทและองค์กรเอกชนแห่งอิสราเอล (ICA) ซึ่งรับหน้าที่ควบคุมองค์กรไม่แสวงผลกำไรด้วย บอกกับบีบีซีว่า หากมีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผู้ก่อตั้งองค์กรการกุศล ใช้องค์กรของตนบังหน้าเพื่อกระทำการที่ผิดกฎหมาย การจดทะเบียนองค์กรในอิสราเอลจะถูกยกเลิก และตัวผู้ก่อตั้งเองอาจถูกสั่งห้าม ไม่ให้เข้ามาทำงานด้านการกุศลอีกต่อไป

ส่วนคณะกรรมการกำกับดูแลองค์กรการกุศล (Charity Price) ของสหราชอาณาจักร แนะนำให้ผู้ที่ต้องการบริจาคเงินให้กับองค์กรเหล่านี้ ตรวจสอบให้ดีก่อนว่ามีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการระดมเงินบริจาคก่อนทุกครั้ง

รายงานเพิ่มเติมโดยเนด เดวีส์, แทรกส์ เซเฟลอร์, โฮเซ อันโตนิโอ ลูซิโอ, อัลมูเดนา การ์เซีย-ปาร์ราโด, วิทาลิยา คอซเมนโก, เซคเคด อูเออร์บัค, ทอม ซูร์ วิสเฟลเดอร์, คัทยา มาโลฟีเอวา, อนาสตาเซีย คูเชอร์, อลัน พูลิโด และนีล แม็กคาร์ธี