ขบวนการรัฐอิสลาม “ไอเอส” ฟื้นคืนชีพอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งแล้วหรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : AFP via Getty Shots

Article Files
    • Creator, แคเทอรีน ฮีธวูด และ เฟอร์นันโด ดูอาร์เต,
    • Role, บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส,
    • Creator, บีบีซี มอนิเทอริง,
    • Role, ทีมข่าว Jihadist Media Perception

เหตุกราดยิvนองเลืoดที่หาดบอนไดของออสเตรเลีย เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ดึงดูดความสนใจของชาวโลกให้กลับมาสู่ “ขบวนการรัฐอิสลาม” (Islamic Suppose) หรือ “ไอเอส” อีกครั้ง หลังนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียระบุว่า มือปืนผู้ก่อการร้ายดูเหมือนจะได้รับแรงจูงใจจาก “อุดมการณ์ของขบวนการรัฐอิสลาม”

แม้กลุ่มมุสลิมติดอาวุธนิกายซุนนีดังกล่าว จะไม่ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุกราดยิv ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 15 ราย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานว่า พบธงสัญลักษณ์ของไอเอสที่คนร้ายทำขึ้นเอง พร้อมทั้งsะเบิดแสวงเครื่องอีกจำนวนหนึ่ง ในรถยนต์ที่คนร้ายจอดไว้ในที่เกิดเหตุ

ตำรวจออสเตรเลียยังแถลงว่า พ่อลูกคู่หนึ่งคือผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นมือปืนที่ก่อเหตุโจมตี โดยตำรวจได้ยิvวิสามัญฆาตกรรมคนพ่อจนเสียชีวิตแล้ว ส่วนลูกชายของเขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อนถึง 15 กระทงด้วยกัน

ที่มาของภาพ : Anadolu via Getty Shots

ประชาชนนำดอกไม้มาวางในที่เกิดเหตุ เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต

เหตุกราดยิvที่หาดบอนไดในนครซิดนีย์ ได้กลายเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ขบวนการรัฐอิสลามหรือไอเอสยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายของตน รวมทั้งยังไม่เลิกวางแผนก่อเหตุหรือยุยงปลุกปั่นให้มีการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อโจมตีทำลายเป้าหมายที่เป็นผู้คนหรือทรัพย์สินของชาติตะวันตก แม้ปัจจุบันอิทธิพลของไอเอสจะลดลงไปมากแล้ว เพราะถูกปราบปรามอย่างหนักมาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่ไอเอสสูญเสียฐานที่มั่นสำคัญของ “รัฐกาหลิบ” (caliphate) ในซีเรียและอิรักไป

สำหรับเหตุกราดยิvที่หาดบอนไดในครั้งนี้ ไอเอสยังคงเก็บตัวเงียบโดยไม่ออกแถลงการณ์ใด ๆ แม้กลุ่มผู้สนับสนุนขบวนการรัฐอิสลามจำนวนมาก จะพากันออกมาแสดงความชื่นชมยินดีทางออนไลน์ เกี่ยวกับเหตุโจมตีในซีเรียซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันก่อนหน้านั้น จนเป็นเหตุให้ทหารอเมริกันสองนายและและพลเรือนอีกรายหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งทางการสหรัฐฯ ระบุว่า เหตุโจมตีในซีเรียเป็นฝีมือของหน่วยปฏิบัติการไอเอส

อย่างไรก็ตาม มีนา อัล-ลามี ผู้เชี่ยวชาญด้านอุดมการณ์ญิฮาด (Jihadism) ของบีบีซี มอนิเทอริง (BBC Monitoring) ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการกลับมาอีกครั้งของไอเอสว่า “เราไม่อาจพูดถึงการกลับมาของบางสิ่งที่ไม่เคยจากไปอย่างแท้จริงได้” เธอยังกล่าวเตือนว่า การรีบร้อนด่วนตีตราให้เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นในระยะนี้เป็นฝีมือของไอเอส จะยิ่งเสี่ยงทำให้การโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขาดังกระหึ่มกึกก้องยิ่งขึ้น มากกว่าจะสะท้อนถึงศักยภาพและความสามารถที่แท้จริงของไอเอสในตอนนี้

ขบวนการรัฐอิสลามยังเคลื่อนไหวอยู่หรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : AFP via Getty Shots

ไอเอสสูญเสียพื้นที่ยึดครองในซีเรียและอิรักไปเป็นบริเวณกว้าง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เริ่มเบนเข็มไปสร้างเขตอิทธิพลใหม่ในแอฟริกาแทน

เมื่อครั้งที่ไอเอสยังอยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจและอิทธิพล ขบวนการนี้ปกครองพื้นที่กว้างใหญ่ในอิรักและซีเรีย โดยพยายามนำเสนอว่าตนเองเป็นรัฐที่สามารถทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เช่นมีการเก็บภาษี, ให้การศึกษาแก่ประชาชน, มีตำรวจศาสนา, และมีบริการสาธารณสุขด้วย ทว่ารัฐกาหลิบแบบมีดินแดนใต้ปกครองอย่างชัดเจนนี้ต้องสิ้นสุดลงในปี 2019 เมื่อกองกำลังพันธมิตรกว่า 70 ชาติ ที่นำโดยสหรัฐฯ บุกเข้าโจมตีทำลายระบอบดังกล่าว

อัล-ลามียังบอกว่า อิทธิพลของไอเอสยังถูกบั่นทอนลงไปอีก เมื่อเกิดการสูญเสียนายอาบู บาคาร์ อัล-บักห์ดาดี ผู้นำสูงสุดซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งขบวนการ โดยเขาฆ่-าตัวเสียชีวิตระหว่างถูกกองกำลังสหรัฐฯ บุกล้อมโจมตีในปี 2019 นั่นเอง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไอเอสปิดบังตัวตนของเหล่าผู้นำอย่างมิดชิด โดยไม่มีการเปิดเผยตัวต่อสาธารณะอีกเลย

ข้อมูลของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ประมาณการว่า ปัจจุบันอาจมีนักรบไอเอสสูงสุดถึง 3,000 คนในซีเรียและอิรัก ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับยุครุ่งเรืองของไอเอสที่เคยมีรายงานว่า นักรบต่างชาติหลายหมื่นคนพากันเดินทางไปเข้าร่วมกับไอเอส หลังมีการประกาศก่อตั้งรัฐกาหลิบในปี 2014

อัล-ลามี ยังชี้ให้เห็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าไอเอสอ่อนแอลงมาก นั่นคือระดับหรือขนาดของการโจมตีที่ลดน้อยถอยลงทุกที เมื่อเทียบกับการอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีสะเทือนโลกหลายครั้ง ในช่วงกลางทศวรรษ 2010 ไม่ว่าจะเป็นในอิรัก, ซีเรีย, หรือหลายประเทศในโลกตะวันตกก็ตาม

“ตอนนี้ไอเอสทำได้แค่เพียงการโจมตีเล็ก ๆ โดยอาศัยยุทธวิธีแบบกองโจรที่ซุ่มโจมตีแล้วรีบหนีเป็นหลัก” อัล-ลามีกล่าว ส่วนการโจมตีนองเลืoดในโลกตะวันตกที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นแล้วนั้น ส่วนใหญ่เป็นการโจมตีโดยกลุ่มบุคคล “ที่ได้รับแรงบันดาลใจ” จากไอเอส มากกว่าจะเป็นการวางแผนและก่อการโดยศูนย์กลางอำนาจของไอเอสเอง

เมื่อปีที่แล้วขบวนการรัฐอิสลามสาขาอัฟกานิสถาน (ISKP) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “จังหวัดโคราซาน” (Khorasan Province) ได้สร้างข่าวสะเทือนขวัญไปทั่วโลก โดยมีส่วนพัวพันในการก่อเหตุโจมตีนองเลืoดในอิหร่าน เมื่อเดือนม.ค. ปี 2024 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน สองเดือนต่อมากลุ่มเดียวกันยังก่อเหตุโจมตีในรัสเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 150 คน ทั้งยังต้องสงสัยว่าวางแผนก่อเหตุโจมตีหลายครั้งในยุโรป ซึ่งแผนร้ายเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกสกัดยับยั้งได้ก่อน

แต่ถึงกระนั้น ในปีนี้ ISKP กลับถูกตัดกำลังจนอ่อนแอลงมาก ทำให้ประสบความยากลำบากในการก่อเหตุโจมตีให้สำเร็จ แม้จะเป็นภายในประเทศอัฟกานิสถานก็ตาม

ที่มาของภาพ : Getty Shots

ขบวนการรัฐอิสลามสาขาอัฟกานิสถาน (ISKP) ได้สร้างข่าวสะเทือนขวัญไปทั่วโลก โดยก่อเหตุโจมตีในรัสเซียจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 150 คน

ทว่ารายงานดัชนีการก่อการร้ายโลก ประจำปี 2025 ที่จัดทำและเผยแพร่โดยสถาบันเพื่อเศรษฐกิจและสันติภาพ (IEP) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่นครซิดนีย์ของออสเตรเลีย กลับชี้ว่าเริ่มมีการโจมตีหลายครั้งในนามของไอเอส เกิดขึ้นในภูมิภาคทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา (sub-Saharan Africa) ทั้งยังระบุว่าไอเอสกับกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตร “ยังคงเป็นองค์กรก่อการร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนได้มากที่สุดในปี 2024 โดยทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 1,805 คน ใน 22 ประเทศ”

ส่วนความสามารถของไอเอสในการจูงใจผู้คนให้คล้อยตามอุดมการณ์ของตนนั้น อัล-ลามีบอกว่า ปัจจุบันศักยภาพของไอเอสในการโฆษณาชวนเชื่อหดหายไปมาก “พวกเขาเคยผลิตคลิปวิดีโอที่ประณีต และมีข้อความโฆษณาชวนเชื่อที่วิจิตรบรรจงอย่างมาก แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องยากที่จะผลิตและเผยแพร่คลิปวิดีโอสักชิ้น”

แต่ถึงกระนั้น ไอเอสยังคงเดินหน้ายุยงปลุกปั่นทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ผู้สนับสนุนทั่วโลกลงมือก่อการร้ายอยู่ “นี่คือเอกลักษณ์ของไอเอสที่ไม่เหมือนใคร พวกเขามีกองทัพของเหล่าผู้สนับสนุนทางออนไลน์ ซึ่งล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่เชี่ยวชาญการใช้สื่อโซเชียล คนเหล่านี้ช่วยอุดช่องโหว่ของความสามารถในการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ไอเอสขาดหายไปได้อย่างแท้จริง” อัล-ลามีกล่าว

บรรดาผู้สนับสนุนไอเอสยังเคลื่อนไหวอย่างแข็งขัน ทางแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่นทางเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเยาวชนคนหนุ่มสาวได้มากขึ้น นักวิเคราะห์ของบีบีซี มอนิเทอริง มักจะพบ “คำสอนแบบชี้แจงเป็นขั้นเป็นตอนอย่างละเอียด” ตามแพลตฟอร์มดังกล่าวบ่อยครั้ง ซึ่งมักจะสอนวิธีการใช้อาวุธ, การยิvปืน, และการใช้มีดแท-งคนให้เสียชีวิต

แม้อัล-ลามีจะคาดการณ์ว่า โพสต์คำสอนเหล่านี้บางส่วนเป็นของ “นักรบญิฮาดด้านสื่อมวลชน” ที่เป็นมืออาชีพผู้ทำสงครามเชิงอุดมการณ์บนโลกออนไลน์ แต่บางส่วนก็น่าจะเป็นของ “หนุ่มสาวที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการโฆษณาชวนเชื่อของไอเอส จนพากันออกมาช่วยเผยแผ่อุดมการณ์รัฐอิสลาม”

ไอเอสกำลังเติบโตในแอฟริกาและเอเชียจริงหรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : AFP via Getty Shots

โมซัมบิกเป็นหนึ่งในประเทศที่ไอเอสกำลังเริ่มลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง

การสูญเสียปัจจัยสนับสนุนต่อฐานที่มั่นดั้งเดิมในตะวันออกกลาง หมายความว่าไอเอสจะต้องแสวงหาทางเลือกใหม่ เช่นขบวนการรัฐอิสลามสาขาจังหวัดโคราซาน (ISKP) ก็เป็นหนึ่งในสาขาของไอเอสในแถบเอเชียใต้ ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งและดำเนินปฏิบัติการได้ก้าวร้าวรุนแรงที่สุด องค์การสหประชาชาติประมาณการว่า ISKP มีนักรบในอัฟกานิสถานและภาคเหนือของปากีสถานราว 2,000 คน และยังคงแสวงหานักรบจากประเทศแถบเอเชียกลางอื่น ๆ เช่นทาจีกิสถานละอุซเบกิสถานมาเพิ่ม

ในขณะเดียวกัน จังหวัดเอเชียตะวันออก (ISEAP) ซึ่งเป็นอีกสาขาหนึ่งของไอเอส ก็มีอิทธิพลครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เขตอิทธิพลทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ที่ผ่านมา ISEAP เคยอ้างความรับผิดชอบในการก่อเหตุโจมตีนองเลืoดมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ขบวนการรัฐอิสลามสาขาจังหวัดเอเชียตะวันออก ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวหรือออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีครั้งใดเลย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ไอเอสได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ของตนเสียใหม่ โดยมุ่งไปให้ความสำคัญกับทวีปแอฟริกาเป็นหลัก

เอเดรียน ชตูนี ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง จากศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ (ICCT) ที่เนเธอร์แลนด์ กล่าวเตือนว่าไอเอส “กำลังเติบโตขึ้นหลายเท่าตัว” ในแอฟริกา ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“ไอเอสทำอย่างนั้นได้ เพราะอาศัยช่องโหว่ด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่ระบอบการเมืองการปกครองไม่เข้มแข็ง ตัวอย่างเช่นภูมิภาคซาเฮล (Sahel) ในแอฟริกาเหนือ และภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่กองกำลังรักษาสันติภาพของชาติตะวันตกพากันถอนตัวออกไป ทิ้งให้ทั้งภูมิภาคไร้เสถียรภาพ และขาดแคลนเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมต่อต้านการก่อการร้าย” ชตูนีกล่าว

ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติระบุว่า ขบวนการรัฐอิสลามสาขาจังหวัดแอฟริกาตะวันตก (ISWAP) น่าจะมีนักรบราว 8,000-12,000 คน อัล-ลามีบอกว่า 9 ใน 10 ของเหตุโจมตีที่ ISWAP ก่อขึ้นในปีนี้ ล้วนอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา

ไอเอสยังเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันในภูมิภาคซาเฮลและประเทศโซมาเลีย ซึ่งพวกเขามีศัตรูคู่แข่งตัวฉกาจประจำถิ่นที่นั่น เป็นกลุ่มย่อยของขบวนการอัลไคดา (อัลกออิดะห์) ที่มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ฐานที่มั่นของไอเอสในแอฟริกาที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด อยู่ที่ไนจีเรีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC), และโมซัมบิก กองกำลังไอเอสในประเทศเหล่านี้ มักมุ่งเป้าโจมตีชุมชนชาวคริสต์และกองกำลังรัฐบาล ส่วนที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก กองกำลังพันธมิตรของไอเอสพยายามจะเรียกเก็บภาษีจากผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งอยู่อาศัยในพื้นที่ที่พวกเขาบุกโจมตีบ่อยครั้ง

“ไอเอสประกาศว่า ชาวคริสต์ที่นั่นมีทางเลือกแค่สามทาง หนึ่งคือเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม สองคือยอมจ่ายภาษีญิซยะฮ์ (Jizya) แต่โดยดี หรือไม่ก็ยอมเสียชีวิตเสีย แต่ส่วนใหญ่แล้วกองกำลังไอเอสมักไม่ให้โอกาสชาวบ้านเลือก แต่มักจะบุกปล้นฆ่-าหมู่บ้านชาวคริสต์ไปเลย” อัล-ลามีกล่าว

ที่มาของภาพ : AFP via Getty Shots

ไอเอสกับกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตร กำลังมองหาช่องโหว่ด้านความมั่นคงในแอฟริกา

เธอยังบอกว่าสาเหตุที่ไอเอสสามารถออกปฏิบัติการได้ตามอำเภอใจในแอฟริกานั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะข่าวจากที่นั่น ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อระดับโลก ทำให้แม้แต่กองกำลังไอเอสเองยังบ่นไม่ชอบใจในเรื่องนี้ “เมื่อปีที่แล้วไอเอสถึงกับแถลงอย่างเป็นทางการว่า เราอุตส่าห์ไล่เข่นฆ่-าชาวคริสต์ไปมากมายในแอฟริกา แต่สื่อตะวันตกที่เหยียดเชื้อชาติกลับไม่สนใจเลย”

แม้ไอเอสจะมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นในแอฟริกา แต่อัล-ลามีบอกว่า นั่นยังไม่อาจเทียบได้กับเศษเสี้ยวของความแข็งแกร่ง ในตอนที่ไอเอสยังเรืองอำนาจอยู่ในซีเรียและอิรัก “ไม่มีที่ไหนเลยในแอฟริกา ที่ไอเอสสามารถยึดครองดินแดนได้อย่างมั่นคง เหมือนกับยุคที่ยังรุ่งเรืองในตะวันออกกลาง ตอนนี้พวกเขาอาศัยการซุ่มซ่อนในที่กันดารห่างไกล และใช้การโจมตีแบบจรยุทธ์เป็นหลัก”

จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ?

ที่มาของภาพ : AFP via Getty Shots

เหล่าผู้เชี่ยวชาญไม่สู้จะมั่นใจนักว่า ในอนาคตไอเอสจะสามารถแสดงแสนยานุภาพ ได้เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเคยครองความเป็นใหญ่หรือไม่

ดร.เรนัด มานซูร์ นักวิจัยอาวุโสของสถาบันให้คำปรึกษาด้านการต่างประเทศแช็ตแธมเฮาส์ (Chatham House) ของอังกฤษ เชื่อว่าปัจจุบันไอเอสนั้นอ่อนแอปวกเปียกยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต แม้ผู้คนในแอฟริกาจะมีความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่ปกครองประเทศของตนอยู่อย่างมาก “แต่ประชากรที่อยู่ใต้การปกครองของไอเอสก็ล้วนทุกข์ยากไม่แพ้กัน ดังนั้นจึงไม่มีแรงสนับสนุนหรืออุปสรรคขัดขวางต่อไอเอส เหมือนกับที่เคยมีมาในอดีต”

ดร.มานซูร์ยังกล่าวอีกว่า “รากฐานของปัจจัยสนับสนุนหรือปัจจัยต่อต้านไอเอส ไม่มีอยู่ที่แอฟริกาในตอนนี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นการฟื้นคืนชีพของรัฐกาหลิบในอนาคตอันใกล้” อย่างไรก็ตามเขาเตือนด้วยว่า ในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการแข่งขันระหว่างกลุ่มติดอาวุธหลายฝ่าย ไอเอสมีโอกาสที่จะผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำได้

ชตูนีกล่าวให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด อาจมาจากปฏิกิริยาตอบสนองของประชาคมนานาชาติต่อภัยคุกคามจากไอเอส เพราะแนวทางแบบวัวหายล้อมคอก ที่ใช้การตอบโต้เป็นครั้งคราวเมื่อเกิดเหตุใหญ่ขึ้นแล้วเท่านั้น ปรากฏว่าไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นแรงกดดันจากนานาประเทศให้มีการสอดส่องป้องกันล่วงหน้าจึงสำคัญอย่างยิ่ง

“การมุ่งเพ่งเล็งให้ความสนใจเป็นครั้งคราวนั้น ไม่เพียงพอจะใช้ต่อสู้กับศัตรูที่ปรับตัวเก่ง และสามารถพัฒนายุทธวิธีให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างไอเอส อันที่จริงแล้ว…ไอเอสจะผงาดขึ้นมาได้อีกหากเราปล่อยปละละเลย”