รายงานชิ้นสุดท้ายในซีรีย์ ความขัดแย้งชายแดนกับสิทธิเด็ก ฉายภาพนโยบายการศึกษาเด็กข้ามชาติในประเทศไทย ที่สะท้อนวิธีคิดของรัฐไทยว่ามองเด็กที่ไม่ใช่เด็กไทยในฐานะอะไร และการศึกษาเพื่อเด็กทุกคนนั้นเป็นไปอย่างมีคุณภาพเพียงใด
ปี 2553 TDRI ทำวิจัยสำรวจมูลค่าทางเศรษฐกิจของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยพบว่า แรงงานข้ามชาติสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘การเติบโตที่แท้จริง’ (Real GDP) 0.75-1% โดยอ้างอิงจากการศึกษาของธนาคารโลก ณ ขณะนั้น แสดงเป็นนัยว่า แรงงานข้ามชาติมีผลต่อสำคัญของเม็ดเงินในกระเป๋าของคนไทย ช่วงเวลานั้นไทยยังมีแรงงานข้ามชาติหลักแสนคน (กรมหารจัดหางาน) ผ่านมาหนึ่งทศวรรษ แรงงานข้ามชาติเพิ่มจำนวนเป็นหลักหลายล้านคน
ปฏิมา ตั้งปรัชญากูล มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) จำแนกลักษณะการเข้ามาของแรงงานข้ามชาติว่า ส่วนใหญ่มีทั้งมาเป็นคู่สามีเมีย มาโดยลำพังเพื่อเผชิญโชค หรืออพยพมากันทั้งครอบครัว สำหรับแรงงานกัมพูชามักจะหอบลูกหอบหลานเข้ามาด้วย และแน่นอนว่าเด็กๆ เหล่านี้มีสิทธิเต็มที่ในการเข้ารับกรศึกษาขั้นพื้นที่ฐาน 12 ปีตามรัฐธรรมนูญไทยปี 2560 แต่หากย้อนไปก่อนปี 2548 เด็กข้ามชาติเหล่านี้ไม่ถูกรับรู้ว่าเป็น ‘เด็ก’ พวกเขาเป็นเพียง ‘แรงงานตัวเล็ก’ ที่ติดตามพ่อแม่เข้ามาทำงาน

ปฏิมา ตั้งปรัชญากูล(ซ้าย)
ก่อน 2548 เด็กข้ามชาติ คือ แรงงานฟันน้ำนม
ปี 2536 โศกนาฏกรรมไฟไหม้โรงงานทำตุ๊กตาเคเดอร์ แรงงานถูกย่างสดเสียชีวิต 200 ราย ในจำนวนนั้น คือ เด็กน้อยข้ามชาติที่ฟันน้ำนมยังไม่หลุด เข้ามาในไทยกับแม่อย่างผิดกฎหมาย ทำงานแลกค่าแรงหลักสิบบาท ในวัยที่เด็กควรได้เรียน แต่สิทธิทางการศึกษาในตอนนั้นสงวนไว้เฉพาะเด็กสัญชาติไทย
ปฏิมา เล่าให้ฟังว่า ย้อนไปกว่ายี่สิบปีก่อน แรงงานเด็กเป็นที่ต้องการมากของโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกิจการที่ต้องใช้มือเล็กๆ ในการหยิบจับ เช่น การแกะกุ้งตัวเล็ก เด็กเล็กที่ยังโตไม่เต็มที่จะแกะได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ยังไม่นับค่าแรงที่น้อยนิด จำนวนเด็กเพิ่มขึ้นตามการอพยพเข้ามาของประชากรแรงงานข้ามชาติ จากสิบเป็นร้อย องค์กรเอกชนหลายแห่งที่ขับเคลื่อนเรื่องสิทธิแรงานข้ามชาติ พยายามจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ให้กับลูกหลานแรงงานข้ามชาติในไทย
เธอเล่าว่า ก่อนความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ LPN มีศูนย์การเรียนรู้กระจายอยู่ตามหัวเมืองที่มีแรงงานข้ามชาติ กระจายอยู่ตามชุมชนทั่วประเทศราว 40 แห่ง ทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ จะมีแรงงานหลายสิบคนเข้ามาเรียน บางแห่งมีหลักหลายร้อย แรงงานส่วนใหญ่อายุเกินเกณฑ์ที่จะเข้าในระบบ จึงอาศัยศูนย์การเรียนรู้ บางคนเรียนเพื่อนำวุฒิไปเทียบเพื่อเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ แต่เหนืออื่นใดแรงงานทุกคนต้องการเรียน ‘ภาษาไทย’ เพื่อให้ใช้ชีวิตรอดได้โดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
“พี่ตั้งคำถามเสมอว่า ทำไมคนไทยบางกลุ่มถึงไม่ยินดีที่แรงงานเหล่านี้จะอ่านออกเขียนได้ มีความรู้เพิ่มขึ้น ดีเสียอีกที่พวกเขามีความรู้ เพราะเราก็จะได้แรงงานที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น จนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า นายจ้างบางคนคงคิดว่า ถ้าปล่อยให้คนพวกนี้มีความรู้ ก็จะเอาเปรียบไม่ได้ ฆ่-าเสียชีวิตก็ไม่มีใครวิ่งไปฟ้องตำรวจ เพราะสื่อสารไม่ได้”

มติ ครม.2548 จุดเริ่มต้นของการพาแรงงานเข้าโรงเรียน
“ขยายโอกาสทางการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ที่เดิมเคยจํากัดไว้ให้บางกลุ่ม บางระดับการศึกษา เป็นการเปิดกว้างให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จํากัดระดับ ประเภท หรือพื้นที่การศึกษา” คือใจความสำคัญของ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ที่เปรียบเสมือนประตูบ้านแรกในการนำเด็กข้ามชาติเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย
‘ครูจิ๋ว’ ทองพูล บัวศรี มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก เล่าว่า นับตั้งแต่ทำงานเรื่องสิทธิเด็กมาเกือบ 20 ปี ครูจิ๋วใช้มติครม. พาลูกหลานแรงงานข้ามชาติเข้าเรียนเกินกว่าจะนับครั้งได้ โดยเฉพาะช่วงแรกที่มีกระกาศออกมาใหม่ๆ หลายโรงเรียนของรัฐยังไม่รับทราบถึงแนวโนยบาย ไปจนถึงเจ้าหน้าที่บางคนยังไม่มีความเข้าใจเรื่องสิทธิเด็ก มองว่าหากรับเด็กเข้าเรียนจะสร้างภาระเพิ่มขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงเด็กเหล่านี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในตัวเลขเงินอุดหนุนให้กับโรงเรียนก็ตาม
ตัวเลขของเด็กข้ามชาติในโรงเรียนรัฐค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น คู่ขนานกันไปกับจำนวนเด็กในศูนย์การเรียนรู้ชุมชม ขณะที่จำนวนการใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมเริ่มลดน้อยลงตามมาตรการกวดล้างที่เข้มงวด และผู้ปกครองเด็กมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะพาลูกหลานเข้าเรียน มากไปกว่านั้น ในระยะหลัง ยังเปิดโอกาสให้สามารถเทียบโอนหน่วยกิตจากศูนย์การเรียนรู้มายังโรงเรียนปลายทางได้
ปี 2565 ไทยมีจำนวนเด็กข้ามชาติในระบบโรงเรียน 119,066 คน และเพิ่มขึ้นเป็น 184,029 ในปี 2568 อีกทั้งยังมีแนวโน้วที่เพิ่มขึ้นทุกปี จากจำนวนลูกหลานแรงงานในอดีตที่กลายมาเป็นพ่อแม่ของเด็กข้ามชาติยุคปัจจุบัน
ครูจิ๋วประมาณการณ์ให้ฟังว่า หากนับตั้งแต่ที่เริ่มทำงานเรื่องนี้ แรงงานข้ามชาติที่เกิดใหม่ในไทยตอนนี้คือ รุ่นที่ 3 ที่สายสัมพันธ์กับประเทศต้นทางเบาบางลงทุกที หากไม่มีป้ายแปะแสดงสัญชาติบนเนื้อตัว เด็กเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่ควรจะได้รับโอกาสเพื่อเติบโตให้เต็มศักยภาพ

ไม่มีภาษาของ ‘คนอื่น’ ในรั้วโรงเรียนไทย
มีงานศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในตัวเด็กข้ามชาติที่เป็นลูกหลานแรงงานว่า ‘ภาษา’ คือบันไดขั้นแรกของการ ‘ขอดเกล็ดทางวัฒนธรรม’ ที่ติดตัวมาจากต้นทางออกทีละนิด เนื่องจากการศึกษาในระบบโรงเรียนต้องใช้ภาษาราชการที่เป็นภาษาของรัฐ ทั้งการอ่าน เขียน และวัดผล ทำให้หลายครั้งที่เด็กเริ่มเข้าเรียนในระบบเกิดอุปสรรคในการเรียนเพราะกำแพงภาษา หากไปลองสำรวจอายุของเด็กข้ามชาติในโรงเรียนขยายโอกาสบางแห่งจะพบว่า อายุของเด็กห่างไกลจากระดับชั้นที่พวกเขาเรียน เด็ก 7 ขวบ ยังต้องเรียนในระดับชั้นอนุบาล ในขณะที่เพื่อนนักเรียนไทยวัยเดียวกันเรียนระดับชั้นประถม
ครูภาษาไทยรายหนึ่งที่เคยสอนในโรงเรียนขยายโอกาสที่ทั้งห้องมีแต่เด็กข้ามชาติเล่าว่า ช่วงแรกของการเปิดเทอม แทบไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนอ่านออกเขียนได้ เพราะทุกอย่างในห้องเรียนถูกอธิบายด้วยภาษาไทย เด็กที่เลือกเข้าโรงเรียนรัฐในไทย จึงต้องเรียนด้วยภาษาและตำราจากกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น
ในงานวิจัยเรื่อง ‘ความเป็นเด็กกับปฏิบัติการเด็ก: กรณีศึกษานักเรียนสัญชาติพม่า ที่จังหวัดสมุทรสาคร’ ของอารีลักษณ์ ไพรัตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า การนิยามเรื่องเด็กขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในบริทนั้นๆ เช่น ในโรงเรียนนิยามความเป็นเด็กบนพื้นฐานของความเป็นไทย เพื่อสร้างพลเมืองไทย ดังนั้นระบบการศึกษาจึงออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์รัฐชาติ มากกว่าวางเป้าหมายไว้ที่การเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่ศูนย์การเรียนรู้ที่ดำเนินการโดยองค์กรเอกชนนิยามความเป็นเด็กผ่านกรอบคิดเรื่องสิทธิเด็กตามหลักสากล ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนในศูนย์ฯ จึงใช้ภาษาและวิธีการที่เด็กนักเรียนถนัดที่สุด เผื่อเอื้อต่อการเรียนรู้
ในทางกลับกัน เมื่อการเรียนใช้ภาษาแบบเดียวในการสื่อสาร นักเรียนข้ามชาติหลายคนที่เกิดและเรียน ในไทยแทบจะไม่สามารถอ่านและเขียน ‘ภาษาแม่’ ได้เลย เพราะชีวิตประจำวันของเด็กๆ อ่านและพูดภาษาไทยเป็นหลัก จะสลับไปใช้ภาษาแม่เฉพาะคุยกับครอบครัว กระแสสังคมที่เร่งเร้าให้ส่งกลับเด็กข้ามชาติกลับประเทศต้นทาง จึงไม่ต่างกับการลอยแพเด็กเหล่านี้ในประเทศที่เขาไม่รู้ภาษา

จัดการศึกษาให้เด็กข้ามชาติ โดยไม่มี ‘ชาติ’ เป็นศูนย์กลาง
พงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยนโนบายด้านปฏิรูปการศึกษาจากมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย TDRI อธิบายว่า หลักการจัดการเรียนการสอนที่ได้ผลที่สุด คือการยึดเป้ามหมายการเรียนโดยมีตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นการออกแบบวิธีการเรียนการสอน จึงคิดบนฐานที่จะทำอย่างไรให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพของเด็ก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากรับนักเรียนที่มีความหลากหลายของภูมิหลังทางชาติพันธุ์เข้ามา โรงเรียนจะพยายามสลายภูมิหลังเหล่านั้นก่อน เช่น เรื่องภาษา ที่เป็นกำแพงสำคัญของการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กมีพื้นฐานเท่ากันก่อนเริ่มเรียนตามหลักสูตร โรงเรียนตามชายแดนบางแห่งก็เลือกจ้างครูที่สามารถใช้ภาษาเดียวกับผู้เรียนได้ แต่ก็ยังทำได้ไม่ครอบคลุมนัก เพราะการจ้างครูเพิ่มหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายที่โรงเรียนต้องแบกเพิ่มโดยไม่ได้รับการจัดสรร เพราะไม่ใช่นโยบายจากส่วนกลาง
ในสหรัฐฯ มีหลักคิดเรื่องความหลากหลายของวัฒนธรรมเป็นสารตั้งต้น สหรัฐมีระบบการจัดการศึกษาพิเศษจากส่วนกลาง ให้สำหรับนักเรียนในโรงเรียนรัฐที่ยังไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลางในการเรียนได้ รัฐจะมีโครงการ ELL ย่อมาจาก English Language Learners จัดบริการการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ให้กับนักเรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนเหล่านี้สามารถสื่อสารได้ในชีวิตประจำวัน ฟัง พูด อ่าน เขียน และเข้าเรียนจนมีผลสัมฤทธ์ทางการศึกษาที่ผ่านมาตรฐาน จากนั้นรัฐจึงจะหยุดการสนับสนุน
พงศ์ทัศอธิบายเสริมว่า โดยหลักการจัดการศึกษากับนักเรียนที่มีภูมิหลังความหลากหลายทางเชื้อชาตินั้นมักจะคำนึงถึงความคุ้มค่าที่จะคืนกลับมาเป็นหลัก ในกรณีของเด็กที่ข้ามชาติ อาจจะประเมินจากผลตอบแทนที่จะคืนกลับมาเมื่อพวกเขาโตขึ้นและกลายมาเป็นแรงงานในประเทศ ดังนั้นหากเด็กเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นผู้พำนักระยะยาว หรืออยู่ที่ไทยถาวร การจัดสรรงบประมาณตรงนี้ก็จะคุ้มค่า เพราะต้องอย่าลืมว่าการจัดการศึกษามีต้นทุนที่โรงเรียนต้องแบกรับนอกเหนือจากเงินเดือนบุคลากร
ในกรณีของลูกหลานแรงงานข้ามชาติ จะต่างกับกรณีของผู้อพยพ เพราะเราไม่สามรถคาดการณ์ได้ว่าเด็กกลุ่มนี้จะกลายมาเป็นผู้พำนัก และทำงานในไทยถาวรเพียงใด เพราะหากลงทุนไปแล้วเด็กเดินทางกลับประเทศ ก็อาจจะไม่คุ้ม ทั้งในแง่คามต่อเนื่องของตัวผู้เรียนเอง และสิ่งที่จะคืนกลับมาในประเทศในอนาคต มากไปกว่านั้นหากมองในมุมของผู้ปกครอง เขาก็อาจจะคิดว่าไม่คุ้มที่จะส่งลูกเข้าโรงเรียนไทย ที่เรียนไม่กี่ปีก็ต้องออกกลางคันกลับประเทศ และทักษะที่ได้ออกมาก็อาจจจะใช้ไม่ได้เมื่อกลับประเทศต้นทาง
นักวิชาการการศึกษาเสนอต่อว่า ความเป็นไปได้ที่จะจัดการศึกษาให้เด็กข้ามชาติที่มีแนวโน้มย้ายถิ่นฐานตามพ่อแม่บ่อย คือ การจัดการเรียนรู้ทางเลือกนอกหรือในโรงเรียนในลักษณะของหลักสูตรรายวิชา ที่เน้นเฉพาะวิชาที่เป็นทักษะสากล เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และติดวิชาที่เกี่ยวข้องกับสังคมวัฒนธรรมออกไป เพื่อให้เด็กข้ามชาติมีทักษะเหล่านี้ติดติดและสามารถใช้ได้จริงเมื่อต้องโยกย้ายไปยังพื้นที่ หรือประเทศอื่น

“ถ้าเราคิดถึงอนาคตของพวกเราทุกคน สิ่งที่เราต้องทำ คือต้องลงทุนในการศึกษา อย่างเท่าเทียม และมีประสิทธิภาพ” จูสตีน ซาส หัวหน้าฝ่าย Training for Inclusion and Gender Equality องค์การยูเนสโก สำนักงานใหญ่ กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนในการศึกษา เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่านเวที Equity Forum 2025 ย้ำเตือนว่า หากรัฐไม่เร่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาว่าเปรียบเหมือนsะเบิดเวลาที่จะปะทุออกมาในรูปของการสูญเสียทางเศรษญกิจที่เราทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เป็น ‘ต้นทุนจากการเพิกเฉย’ จูดีสยกผลวิเคราะห์จากรายงาน สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 และทิศทางสำคัญในปี 2568 จากรายงานพบว่า ในภาพรวม ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่จะสูญเสียไปจากการที่เด็กมีทักษะทางอารมณ์และสังคมต่ำจะมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคนในระบบเศรษฐกิจ
ในประเทศไทย สิทธิของเด็กรหัส G ในโรงเรียน ตามหลักการอาจไม่ได้แตกต่างากจากเด็กคนอื่นๆ ในชาติ ที่มีสิทธิที่จะได้เข้าถึงการศึกษา ตามสัตยาบันที่ไทยลงนามใน training for all ซึ่งจะครบรอบ 35 ปี ในปีนี้ หากแต่ข้อเท็จจริงจากรายงานทั้งสามชิ้นอาจเป็นกระจกสะท้อนให้สังคมต้องกลับไปคิดทบทวนว่า แท้จริงแล้วการศึกษาที่เราหวังใจว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนนั้นอาจไม่สามารถก้าวข้ามอคติทางชาตินิยมที่แฝงผังอยู่ในสำนึกของรัฐไทย และพร้อมจะลากทุกชีวิตเข้ามาในสมการความขัดแย้ง
รายงานนี้ได้รับการสนับสนุนโดย กองบรรณาธิการ ‘โครงการห้องทดลองพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายการสื่อสารสาธารณะเพื่อสันติภาพ’
Lanner, Louder, The Isaan File, The Motive, Sound Isan, Wartani, ประชาไท, สำนักข่าวชายขอบ,ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง









