“เขาบอกให้เค้าท์ดาวน์ที่นี่ มันแม่นอยู่บ่หล่ะ?”
ป้านวล (นางนวล แก้วภักดี) วัย 64 ปี อาศัยอยู่หมู่ 12 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ออกปากเมื่อถูกถามว่าปีใหม่ปีนี้ลูกหลานจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านหรือไม่
หลังมีคำสั่งจากทางทหารให้ออกจากพื้นที่ ป้านวลกับลุงศรี (ศรีราชา กระตุฤกษ์) วัย 63 ปีผู้เป็นสามี และหลานสาว 3 ชีวิต ขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ออกมาจากบ้าน เดินทางกว่า 50 กม. เข้าพักที่ศูนย์อพยพหแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษ
นอกจากครอบครัวของแม่นวลแล้วยังมีประชาชนอีก 3 หมู่บ้านในตำบลเสาธงชัยกว่า 2,000 ชีวิตเข้าพักในศูนย์อพยพชั่วคราวที่ปรับปรุงจากศาลาการเรียนของวัด ซึ่งตอนนี้ยัดแน่นไปด้วยผู้คน
ป้านวลกับครอบครัวจึงต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตเป็นชาวเต็นท์
เต็นท์ขนาดเล็กอยู่กระจัดกระจายไปตามลานวัดที่ถูกประยุกต์มาใช้เป็นศูนย์อพยพชั่วคราว
เต็นท์ ราคาประหยัด ขนาดนอนสองคน 1 หลังและนอนหนึ่งคน 1 หลัง เป็นจุดเริ่มต้นการแคมปิ้งป้านวลลุงศรีและหลานสาวหนาวหนัก ผ้าห่มที่เตรียมติดรถมาไม่พอ ต้องซื้อผ้าห่มเพิ่มอีก 1 ผืน รวมเต็นท์และผ้าห่มแล้วหลายคนอาจตกใจเมื่อทราบว่าครอบครัวของป้านวลจ่ายเงินไป 1,000 บาทเท่านั้น
เงินพันบาท อาจเป็นจำนวนไม่มากสำหรับการเดินทางของคนเมืองไปพักผ่อนแคมปิ้งกางเต็นท์ตามสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยวตามชายป่า แต่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำที่เลยวัยเกษียณแล้ว ถือเป็นภาระที่สาหัส
นอกจากเงินพันที่ต้องใช้จ่ายค่าซื้อเต็นท์และผ้าห่ม ค่าใช้จ่ายรายวันที่เกิดขึ้นในส่วนอพยพก็เป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัวป้านวลลุงศรี
ลุงศรีเล่าว่า ตนเองและภรรยาประกอบอาชีพรับจ้างรายวันอยู่ในหมู่บ้าน รับจ้างปลูกมันรับจ้างเกี่ยวข้าวไปตามฤดูกาล ส่วนป้านวลเมียอาชีพพิเศษรับผักมาขายในตลาดนัดหมู่บ้านซึ่งปกติมีอยู่ 2 วันคือ วันพุธและวันเสาร์ หักรายจ่ายแล้วสองสามีเมียมีรายได้คงเหลือวันละ 100 ถึง 200 บาท ได้ส่งให้หลานสาว ม.2 ได้ไปเรียน
หลานที่กำลังเข้าสู่วัยสาว ต้องเข้ารับการศึกษา ดูเหมือนจะเป็นภาระหนักของป้านวลลุงศรี ให้ไปโรงเรียนวันละ 70 บาท กลับมาบ้านก็มีขอซื้อขนมซื้อน้ำหวานอีกต่างหาก
“เด็กมันกำลังโต มันใช้เงินเยอะ ตอนนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาซึ่งก็คือค่าผ้าอนามัย”
นอกจากอาหารการกินที่มีให้ครบ 3 มื้อในลานกางเต๊นท์แล้ว เรื่องดีอีกเล็กน้อยคือ มีผ้าอนามัยแจกให้ใช้ฟรี แต่ค่าใช้จ่ายส่วนอื่นก็ยังมี รถพ่วงขนาดเล็กขนของออกจากบ้านได้จำกัดเครื่องใช้กะละมัง ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน สบู่ แชมพู ก็เป็นภาระที่ต้องได้ซื้อในแต่ละวัน
ครอบครัวนี้ออกจากพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม จนถึงปัจจุบัน (วันที่สัมภาษณ์ 23 ธันวาคม) เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว นอกจากสถานที่พักพิงแล้วก็ยังไม่มีการช่วยเหลือใดๆ
ทั้งสองบอกว่า ครั้งนี้ไม่เหมือนการอพยพคราวที่แล้ว ตอนนั้นของบริจาคมีมาให้ใช้ไม่ขาด แต่ช่วงนี้มีของแจกเป็นมาม่าวันละซอง ไปไม่ทันก็ไม่ได้ เพราะของมีจำกัด ไม่ค่อยมีคนเอาของมาบริจาคกันแล้ว ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในศูนย์อพยพขั้นต่ำวันละ 100 กว่าบาท ขณะที่รายรับแทบไม่มีเลย ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน และจะทำอย่างไรต่อสำหรับคนวัย 60+
เมื่อถามว่ารัฐบาลได้จ่ายค่าชดเชยหรือไม่ ป้านวลเล่าว่า คราวที่แล้ว ออกจากพื้นที่หนึ่งสัปดาห์ ได้ค่าชดเชยครอบครัว 5,000 บาท อยู่คนเดียวหรืออยู่สามคน ก็ได้ 5,000 บาทเท่ากันหมด ครอบครัวของน้องสาวของแกมี 8 คนก็ได้ 5,000 บาทเช่นกัน
“มันจะไปพออะไร ควรชดเชยเป็นรายหัวไปเลย” ป้านวลว่า
“แต่รอบนี้หนักหนากว่า อพยพออกมา 15 วันแล้ว ไม่มีรายได้ เจ้านายแจ้งว่า เป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถอนุมัติงบช่วยเหลือเยียวยาได้ แล้วจะให้พวกเราทำยังไง” ป้านวลกล่าวอย่างสิ้นหวัง
ป้านวลและสามีมีอาชีพรับจ้างรายวันและค้าขาย ไม่มีทรัพย์สิน ปศุสัตว์ ที่ดิน หรือไร่สวน เราอาจคาดเดาว่าพวกเขาไม่มีภาระใดๆ ให้ห่วงกังวลพื้นที่ที่จากมา แต่ความจริงแล้วเธออยากกลับบ้านตลอดเวลา
เหตุผลก็เพราะที่บ้านเลี้ยงแมวอยู่ 10 ตัว ไม่ได้ไปขวนขวายหามาเลี้ยง แต่เป็นแมวที่คนอื่นเอามาปล่อย เธออยากกลับเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปดูแมว
“เขาประกาศไม่ให้เข้าพื้นที่เด็ดขาด ไม่รู้เลยว่าพวกแมวจะอยู่ยังไง” ป้านวลรำพัน











