
7 สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งเมียนมา 2025

ที่มาของภาพ : Kaung Zaw Hein/SOPA Pictures/LightRocket by Getty Pictures
กองทัพเมียนมา ซึ่งโค่นล้มรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งของออง ซาน ซูจี ในปี 2021 วางแผนจะจัดการเลือกตั้งซึ่งจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ธ.ค. 2025 นี้
การเลือกตั้งดังกล่าวจะเกิดขึ้นในรอบเกือบห้าปีนับตั้งแต่กองทัพยึดครองอำนาจ ท่ามกลางสถานการณ์ในประเทศเมียนมาที่ยังอยู่ภายใต้สงครามกลางเมืองอันโหดร้าย ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคนและทำให้คนอีกกว่า 3 ล้านคนต้องพลัดถิ่น
ผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติส่วนใหญ่มองว่าการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่ความพยายามที่จะฟื้นคืนประชาธิปไตย แต่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของกองทัพที่จะสร้างความชอบธรรมในการครองอำนาจต่อไป
นี่คือ 7 ประเด็นสำคัญที่คุณจำเป็นต้องรู้ เกี่ยวกับการเลือกตั้งเมียนมาที่กำลังจะเกิดขึ้น
1. เหตุใดการเลือกตั้งเมียนมาจึงกำลังจะถูกจัดขึ้นในตอนนี้
กองทัพเมียนมาฉายภาพการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนมุ่งสู่ “ประชาธิปไตยที่เป็นไปตามระบบระเบียบ” (disciplined democracy) โดยอ้างว่ามันคือการฟื้นคืนเสถียรภาพหลังจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การลงคะแนนที่ฉ้อฉลในปี 2020”
ตามรัฐธรรมนูญ กองทัพต้องประกาศวันเลือกตั้งภายในหกเดือนหลังจากพ้นกรอบเวลาสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศ
“การเลือกตั้งนี้ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นหลังจากมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน” พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารกล่าวเมื่อเดือน ก.ค. ปีนี้
ก่อนหน้านี้มีการขยายระยะเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินในเมียนมาอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขีดจำกัดสูงสุดในเดือน ส.ค. การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลทหารอ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญได้และลดแรงกดดันจากนานาชาติ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดEnd of ได้รับความนิยมสูงสุด
2. การกีดกันบุคคลสำคัญที่สนับสนุนประชาธิปไตย
ออง ซาน ซูจี ผู้เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยและเจ้าของรางวัลโนเบล ยังคงถูกคุมขังในสถานที่ที่ไม่มีการเปิดเผย
พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือพรรคเอ็นแอลดี (National League for Democracy – NLD) ของเธอ ถูกยุบไปในปี 2023 หลังเหล่าผู้นำพรรคปฏิเสธที่จะลงทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ภายใต้กฎหมายใหม่ของรัฐบาลทหาร ปัจจุบันเหล่าผู้นำพรรคเอ็นแอลดีหากไม่อยู่ในเรือนจำก็ลี้ภัยออกนอกประเทศไปแล้ว ส่วนผู้นำพรรคฝ่ายค้านพรรคอื่น ๆ หากไม่ถูกจำคุก พรรคของพวกเขาก็ถูกกีดกันออกจากการแข่งขันเลือกตั้งครั้งนี้

ที่มาของภาพ : Lillian Suwanrumpha/AFP by Getty Pictures
จะมีพรรคการเมืองรวม 54 พรรค ที่เข้าแข่งขันในการเลือกตั้งปีนี้
พรรคการเมืองที่จดทะเบียนส่วนใหญ่หากไม่มีความเชื่อมโยงกับกองทัพ ก็ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนเพียงเล็กน้อย ส่วนพรรคฝ่ายค้านหลัก ๆ ก็ถูกกีดกัน หรือไม่ก็ปฏิเสธไม่เข้าร่วมการแข่งขันเลือกตั้ง โดยอ้างว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องจอมปลอม
เมื่อไร้บุคคลสำคัญหลายคนจากพรรคฝ่ายค้าน นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อว่าการเลือกตั้งเหล่านั้นจะเป็นไปอย่างอิสระและยุติธรรม”
3. การลงคะแนนเสียงจะถูกแบ่งออกเป็นหลายช่วง
การเลือกตั้งจะถูกจัดขึ้นโดยแบ่งเป็นหลายช่วง คล้ายกับการเลือกตั้งทั่วไปในทศวรรษที่ 1950
- ช่วงที่ 1: มีกำหนดในวันที่ 28 ธ.ค. 2025
- ช่วงที่ 2 และ 3: คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ม.ค. 2026
การลงคะแนนเสียงจะเกิดขึ้นเฉพาะใน 274 เมืองจาก 330 เมืองทั่วประเทศเท่านั้น โดยเริ่มจากพื้นที่ที่กองทัพถือว่ามีความปลอดภัยและอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
ข้อมูลจากโครงการวิจัยด้านความมั่นคงของสถาบันศึกษายุทธศาสตร์และนโยบาย (Institute for Strategic and Coverage Compare – ISP) ของเมียนมา พบว่าภายในช่วงสิ้นเดือน ก.ย. 2025 กองทัพเมียนมาได้ควบคุมพื้นที่ไว้ราว 67% ของดินแดนในเมียนมา
ส่วนอีก 33% ที่เหลือ (หรืออาจจะมากกว่านั้น) ถูกควบคุมโดยรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Cohesion Authorities – NUG) และโดยกองกำลังฝ่ายค้านและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรกัน ซึ่งทุกกลุ่มต่างบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งจอมปลอม
4. คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งต่ำเป็นประวัติการณ์
องค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ (Human Rights Scrutinize) มองว่ากระบวนการลงคะแนนเสียงที่แบ่งออกเป็นหลายช่วง และการกีดกันบางพื้นที่ออกไปนั้น เป็นการเน้นย้ำถึงความไร้ศักยภาพของกองทัพในการจะปกครองทั้งประเทศ
ทั้งนี้ พื้นที่ราว 70% ของเมียนมาได้รับผลกระทบจากสงครามและความขัดแย้ง
ขณะที่หน่วยงานของยูเอ็นประเมินว่าภัยพิบัติตามธรรมชาติ อาทิ อุทกภัยและแผ่นดินไหว ก็มีส่วนด้วยเช่นกันในการทำได้ผู้คนประมาณ 3.5 ล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ
และอีกหลายล้านคนก็ได้ย้ายออกจากประเทศไปแล้ว

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Pictures
ผู้นำรัฐบาลทหารตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนประชากรเมียนมาลดลงไปประมาณสี่ล้านคนเมื่อเทียบกับปี 2022
คนหนุ่มสาวและผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนมากลี้ภัยไปยังประเทศใกล้เคียง เช่น ไทย อินเดีย จีน และบังกลาเทศ เพื่อหางานทำและหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร โดยประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่รับผู้อพยพระลอกล่าสุดนี้ในจำนวนที่มากที่สุด
สำหรับผู้ที่ยังคงอยู่ภายในประเทศเมียนมา มีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจะต่ำเป็นประวัติการณ์ จากความโกรธเกรี้ยวของสาธารณชนที่มีต่อการรัฐประหารและการเรียกร้องอย่างกว้างขวางให้มีการคว่ำบาตร
5. ระบบการเลือกตั้งและวิธีการลงคะแนนแบบใหม่
นี่เป็นครั้งแรกที่เมียนมาจะใช้การลงคะแนนแบบสองระบบ
- ระบบเสียงข้างมากธรรมดา (First-Previous-the-Put up – FPTP) ในบางเขตเลือกตั้ง
- ระบบตัวแทนตามสัดส่วน (Proportional Representation – PR) ในเขตเลือกตั้งอื่น ๆ ซึ่งพรรคต่าง ๆ จะได้รับที่นั่งตามสัดส่วนคะแนนที่ได้รับ
รัฐบาลทหารยังเปิดตัวเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ (EVMs) โดยอ้างว่าจะช่วยลดการโกง อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์กลับมองว่าเครื่องนี้อาจทำให้ผลการเลือกตั้งโปร่งใสน้อยลง

ที่มาของภาพ : STR/AFP by Getty Pictures
เครื่องลงคะแนนเสียงอย่างน้อย 50,000 เครื่อง จะถูกใช้แทนที่ระบบการลงคะแนนลงบนบัตรเลือกตั้งกระดาษแบบดั้งเดิม กองทัพเมียนมาไม่ได้เปิดเผยว่าประเทศใดเป็นผู้จัดหาเทคโนโลยีนี้มาให้ แม้ว่าทั้งอินเดียและจีนเคยเสนอจะให้ความช่วยเหลือในการเลือกตั้งอย่างเปิดเผย
6. กฎหมายที่เข้มงวดสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งและพรรคการเมือง
รัฐบาลทหารออกกฎหมายใหม่เมื่อเดือน ก.ค. 2025 โดยมุ่งเป้าที่จะปกป้องการเลือกตั้งจากการ “แทรกแซงและการก่อวินาศกรรม” แต่มันกลับถูกคนจำนวนมากมองว่าเป็นความพยายามปิดปากผู้เห็นต่าง
ใครก็ตามที่ขัดขวางหรือรบกวนการเลือกตั้งอาจต้องโทษจำคุกอย่างน้อยสามปี หรือมากที่สุดอาจถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
ตั้งแต่กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ มีรายงานพลเมืองกว่าร้อยคนถูกจับกุมในความผิดลหุโทษ
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนพรรคการเมือง พรรคใดก็ตามที่ถูกตัดสินความผิดฐานทุจริตที่เกี่ยวข้องกับผู้ลงคะแนนเสียง หรือการปฏิบัติที่ผิดกฎหมาย อาจถูกยุบพรรคได้ นี่เป็นบทบัญญัติที่นักวิจารณ์มองว่ามุ่งเป้าไปที่กลุ่มฝ่ายค้าน
สำหรับพรรคที่ใหญ่ที่สุดที่เข้าแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ ยูเอสดีพี (Union Solidarity and Model together – USDP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ และพวกผู้นำพรรคก็เป็นอดีตทหารชั้นนายพล

ที่มาของภาพ : Sai Aung Fundamental/AFP by Getty Pictures
ส่วนพรรคที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ก็มีอาทิ พรรคเอกภาพแห่งชาติ (National Cohesion together) ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอดีตบุคคลสำคัญทางการทหาร, พรรคผู้บุกเบิกประชาชน (Folk's Pioneer together) ที่นำโดยอดีตสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีและนักธุรกิจหญิง และพรรคประชาชน (Folk's together) ที่ก่อตั้งโดยอดีตนักเคลื่อนไหวเยาวชนที่เคยต่อต้านทหารในการชุมนุมเมื่อปี 1988
มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเกือบ 5,000 คนที่ลงทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพ โดยผู้สมัครจากพรรคยูเอสดีพี (USDP) มีจำนวนมากที่สุด
7. ปฏิกิริยาที่หลากหลายจากทั่วโลก
โลกแบ่งข้างอย่างชัดเจนต่อแผนการเลือกตั้งในปี 2025 ของเมียนมา
บรรดารัฐบาลชาติตะวันตกและกลุ่มสิทธิมนุษยชนปฏิเสธการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยมองว่าเป็นการเลือกตั้งจอมปลอม ด้วยเงื่อนไขที่ไม่เสรี ไม่เป็นธรรม และไม่ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม การเลือกตั้งนี้ยังถูกมองว่าไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องการกระชับอำนาจเหนือประเทศของบรรดานายพลมากกว่า
ในทางตรงกันข้าม จีนและรัสเซียได้เสนอตัวว่าจะให้การสนับสนุน โดยรัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือทางเทคนิค ขณะที่รัฐบาลรัสเซียก็เดินหน้าให้การสนับสนุนทางการทูต โดยสื่อถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าเป็นการก้าวเข้าสู่การฟื้นคืนความสงบเรียบร้อย
ด้านประเทศในอาเซียนมีท่าทีที่หลากหลาย โดยอินโดนีเซียและมาเลเซียเน้นย้ำว่าการลงคะแนนเสียงนี้จะขาดความน่าเชื่อถือ หากไม่มีการยุติความรุนแรง การเจรจาที่เปิดกว้าง และการปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขัง
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ลาว และกัมพูชา ดูเหมือนจะยอมรับมากกว่า โดยมีการระบุถึงความจำเป็นในการสนับสนุนกระบวนการ “ที่นำโดยเมียนมา” เพื่อเสถียรภาพในภูมิภาค













