พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท (3,780,600,000,000 บาท) ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2568 ด้วยผลลงคะแนนเห็นด้วย 257 เสียง ไม่เห็นด้วย 230 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ต่อมาวันที่ 2 ก.ย.ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบ 151 เสียง ไม่เห็นชอบ 1 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.โดยให้มีผลบังคับใช้ 1 ต.ค.2568 เป็นต้นไป
นับตั้งแต่ปี 2563 ที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปสังคมในหลายเรื่อง รวมถึงความโปร่งใสเกี่ยวกับสถาบันหลักอย่าง กองทัพ สถาบันกษัตริย์ ศาล ฯลฯ ประชาไทเริ่มนำเสนองบประมาณ ‘ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์’ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ‘งบรายจ่ายโดยตรง’ ที่ใช้กับสถาบันฯ เช่น งบถวายความปลอดภัย งบส่วนราชการในพระองค์ เป็นต้น กับ ‘งบรายจ่ายโดยอ้อม’ ซึ่งใช้กับกิจการสาธารณประโยชน์กระจายตามหน่วยงานต่างๆ มากมาย โดยหน่วยงานมักตั้งชื่อเพื่อเฉลิมพระเกียรติหรือสืบทอดพระราชปณิธานด้านใดๆ ก็ตาม
การสำรวจงบที่เกี่ยวพันสถาบันทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นไปเพื่อส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการจัดการงบประมาณเพื่อประโยชน์สาธารณะ และทำให้เรื่องดังกล่าวเป็น ‘สิ่งปกติธรรมดา’ เหมือนดังอารยประเทศ เช่นที่ประเทศอังกฤษ ต้นแบบระบอบประชาธิปไตยและมีกษัตริย์เป็นประมุขก็มีความโปร่งใสเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของสถาบันฯ โดยมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นระบบ และเปิดรับต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งมีการปรับปรุงไปตามสภาพการณ์ต่างๆ อยู่โดยตลอด สะท้อนถึงความสัมพันธ์อัน ‘มีชีวิตชีวา’ ระหว่างสถาบันเก่าแก่กับสังคมสมัยใหม่
หากเราดูความต่อเนื่อง 7 ปีของตัวเลข ‘งบทางตรง’ ตั้งแต่ปี 2563-2569 จะเห็นว่าไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยตัวเลขงบประมาณคงตัวที่ราว 20,000 ล้านบาท
ขณะที่ ‘งบทางอ้อม’ ที่หน่วยงานต่างๆ ทำโครงการสาธารณะประโยชน์ใดๆ แล้วตั้งชื่อโครงการเกี่ยวพันกับสถาบันฯ เองนั้น มีการขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน 4,123 ล้านบาท และเรายังไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
หากดูความเคลื่อนไหวด้านของการตรวจสอบงบประมาณ จะพบว่ามีความคึกคักในการกล่าวถึงงบส่วนนี้ล้อกับไปบรรยากาศทางสังคม ยิ่งบรรยากาศเปิด การอภิปรายของ สส.ก็จะปรากฏ แต่ภายหลังเมื่อเกิดการดำเนินคดีมาตรา 112 มากขึ้น ประกอบกับการตัดสินทางการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วย ’การล้มล้างการปกครอง’ จากเหตุเสนอแก้กฎหมายมาตรา 112 นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญทำให้บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติที่เคยมีอยู่บ้างจางหายไป ส่วนการชี้แจงของ ‘ส่วนราชการในพระองค์’ ต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นงบก้อนใหญ่ จากที่ไม่มีรายละเอียดก็มีพัฒนาการของการปรากฏรายละเอียดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
‘งบทางอ้อม’ เพิ่ม ดันภาพรวมทะลุ 4 หมื่นล้านครั้งแรก
จากการติดตามงบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ผ่านเอกสาร พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายของสำนักงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 เป็นต้นมา เราพบว่าปีงบประมาณ 2569 นับเป็นครั้งแรกที่งบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ หรือทั้งงบทางตรงและทางอ้อมรวมกันแล้วพุ่งสูงเกิน 4 หมื่นล้านบาท
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า ผู้จัดทำข้อมูลแบ่งงบประมาณเรื่องนี้ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- รายจ่ายหรืองบทางตรง คือ รายจ่ายที่ใช้จ่ายกับสถาบันกษัตริย์โดยตรง เช่น งบรักษาความปลอดภัย งบการเดินทาง งบพิทักษ์สถาบัน
- รายจ่ายหรืองบทางอ้อม คือ รายจ่ายที่ตั้งงบประมาณเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ทั้งที่เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการตามพระราโชบาย โครงการของพระบรมวงศานุวงศ์ หรือมีวัตถุประสงค์หรือตัวชี้วัดการใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับแนวพระราชดำริ โครงการที่เป็นไปในลักษณะเทิดพระเกียรติ เงินอุดหนุนโครงการพระราชทานต่างๆ และโครงการตามศาสตร์พระราชา เป็นต้น
ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 พบงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์จำนวน 41,766,249,400 บาท คิดเป็น 1.10% ของงบประมาณทั้งหมด แบ่งเป็นรายจ่ายทางตรง 20,095,219,400 บาท และรายจ่ายทางอ้อม 21,671,030,000 บาท
ตารางเปรียบเทียบงบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ตลอด 7 ปีที่เผยแพร่รายงาน
ปีงบประมาณ | ทางตรง (ล้านบาท) | ทางอ้อม (ล้านบาท) | รวม (ล้านบาท) | สัดส่วนต่องบประมาณรวม |
2563 | 19,685 | 10,043 | 29,728 | 0.93% |
2564 | 20,653 | 16,575 | 37,228 | 1.12% |
2565 | 20,931 | 14,829 | 35,760 | 1.15% |
2566 | 16,923 | 17,829 | 34,752 | 1.09% |
2567 | 18,472 | 17,720 | 36,192 | 1.04% |
2568 | 19,703 | 17,912 | 37,643 | 1.00% |
2569 | 20,095 | 21,671 | 41,766 | 1.10% |

งบทางตรงส่วนใหญ่ใช้กับ ‘ส่วนราชการในพระองค์’
สำหรับรายจ่ายทางตรง แยกตามหมวดหมู่ได้หลายประเภท
1.ส่วนที่ใช้งบมากที่สุด คือ ส่วนราชการในพระองค์ องค์กรที่ไม่ใช่ส่วนราชการ ไม่เป็นหน่วยงานของรัฐ ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มีการจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลเป็นการเฉพาะให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งประกอบด้วยสำนักงานองคมนตรี สำนักพระราชวัง และหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ใช้งบประมาณจำนวน 9,272,098,000 บาท โดยในรายละเอียดงบประมาณจำแนกตามงบรายจ่าย ระบุเพียงเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายส่วนราชการในพระองค์ 9,272,098,000 บาท และมีงบประมาณสำหรับการประสานงานกับส่วนราชการในพระองค์และการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อีกจำนวน 404,157,100 บาท
| ประเภทค่าใช้จ่าย | งบประมาณ(บาท) |
| ส่วนราชการในพระองค์ | 9,272,098,000 |
การประสานงานกับส่วนราชการในพระองค์และการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน่วยงาน: สำนักเลขาฯ ครม. | 404,157,100 |
| รวม | 9,676,255,100 |
งบถวายความปลอดภัยรวมกว่า 9 พันล้าน
2.รายจ่ายทางตรงรองลงมา คือ รายจ่ายเกี่ยวกับการถวายความปลอดภัย รวม 9,121,654,300 บาท โดยมีรายการถวายความปลอดภัยด้านการบิน ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 5,897,494,200 บาท โครงการการถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 1,658,318,200 บาท รายการการสนับสนุนการถวาย ความปลอดภัยสถาบันพระมหากษัตริย์ ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 1,010,720,000 บาท การจัดกำลังถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติและการพัฒนาระบบถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ ของกองทัพบก จำนวน 180,121,900 บาท ค่าใช้จ่ายการถวายความปลอดภัย ของกองทัพเรือ 355,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ ของกองบัญชาการกองทัพไทย 20,000,000 บาท
โครงการ | งบประมาณ(บาท) |
โครงการการถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หน่วยงาน: สำนักงานตำรวจแห่งชาติ | 1,658,318,200 |
พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับความปลอดภัยสูงสุด (การถวายความปลอดภัยด้านการบิน) หน่วยงาน: สำนักเลขาธิการนายกฯ | 5,897,494,200 |
การสนับสนุนการถวาย ความปลอดภัยสถาบันพระมหากษัตริย์ หน่วยงาน: สนง.ปลัดกระทรวงกลาโหม | 1,010,720,000 |
| การจัดกำลังถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ และการพัฒนาระบบถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ หน่วยงาน: กองทัพบก กระทรวงกลาโหม | 180,121,900 |
ค่าใช้จ่ายการถวายความปลอดภัย หน่วยงาน: กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม | 355,000,000 |
ค่าใช้จ่ายในการถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ หน่วยงาน: กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม | 20,000,000 |
รวม | 9,121,654,300 |
งบเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินราว 1 พันล้าน
3.งบประมาณเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนิน รวม 1,062,357,700 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศในงบกลาง 1,000,000,000 บาท และค่าใช้จ่ายสนับสนุนพระราชภารกิจในการเสด็จพระราชดำเนินภายในและต่างประเทศ ของกองทัพอากาศ 62,357,700 บาท
ประเภทค่าใช้จ่าย | งบประมาณ(บาท) |
| ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ หน่วยงาน: งบกลาง | 1,000,000,000 |
| ค่าใช้จ่ายสนับสนุนพระราชภารกิจในการเสด็จพระราชดำเนินภายในและต่างประเทศ หน่วยงาน: กองทัพอากาศ | 62,357,700 |
รวม | 1,062,357,700 |
หน่วยงานความมั่นคงตั้งงบพิทักษ์สถาบันเกือบ 235 ล้าน
4.งบประมาณเกี่ยวกับการพิทักษ์รักษา การเทิดทูน และการสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ รวม 234,952,300 บาท กระจายใน 5 หน่วยงาน ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จำนวน 23,829,800 บาท สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 17,453,200 ในกองทัพบก จำนวน 109,228,100 ในกองทัพเรือ จำนวน 37,500,000 บาท กองทัพอากาศ จำนวน 8,745,800 บาท และกองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 38,195,400 บาท
ประเภทค่าใช้จ่าย | งบประมาณ(บาท) |
| งานเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ หน่วยงาน: กอ.รมน. | 23,829,800 |
| โครงการพิทักษ์รักษา การเทิดทูน และการสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ หน่วยงาน: สนง.ปลัดกระทรวงกลาโหม | 17,453,200 |
| การเทิดทูนและพิทักษ์สถาบันหลักของชาติ หน่วยงาน: กองทัพบก | 109,228,100 |
| ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ตามพระราชประสงค์ ค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติ และค่าใช้จ่ายในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม หน่วยงาน: กองทัพเรือ | 37,500,000 |
| ค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ป้องกันการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างการรับรู้เพื่อความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ หน่วยงาน: กองทัพอากาศ | 8,745,800 |
| ค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์และการปฏิบัติตามพระราชประสงค์ และการเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ หน่วยงาน: กองบัญชาการกองทัพไทย | 38,195,400 |
รวม | 234,952,300 |
โครงการพิเศษหลวง งบที่เคยเกี่ยวข้องกับเขตพระราชฐาน
นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณโครงการก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซม และดูแลบำรุงรักษา อาคารราชการ โครงการพิเศษหลวง ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย รวม 1,525,000,000 บาท โดยระบุรายละเอียดงบประมาณว่า ค่าครุภัณฑ์สนับสนุนโครงการพิเศษหลวง 1 โครงการ 40,000,000 บาท ค่าสิ่งก่อสร้างสนับสนุนโครงการพิเศษหลวง 1 โครงการ 885,000,000 บาท และค่าจ้างที่ปรึกษาสนับสนุนโครงการพิเศษหลวง 1 โครงการ 600,000,000 บาท ซึ่งในเอกสารงบประมาณปี 2554 – 2564 เคยระบุในวัตถุประสงค์ของโครงการพิเศษหลวงไว้ว่า ก่อสร้างและบํารุงรักษากิจกรรมพิเศษหลวงในเขตพระราชฐาน ก่อนจะตัดคำว่า “ในเขตพระราชฐาน” ออกไปตั้งแต่งบประมาณปี 2565 เป็นต้นมา ประชาไทจึงไม่ได้นับรวมงบประมาณดังกล่าวในรายงานนี้

งบทางอ้อมส่วนใหญ่ใช้เพื่อโครงการในพระราชดำริ
โครงการ | งบประมาณ(บาท) |
| โครงการพระราชดำริโดยรวมไม่แยกโครงการ | 9,605,473,300 |
| โครงการพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ | 3,216,825,600 |
| โครงการพระราชดำริรายโครงการ และโครงการของพระบรมวงศานุวงศ์ | 2,777,414,900 |
| โครงการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นตามพระราโชบาย | 1,688,099,900 |
| โครงการหลวง/โครงการพัฒนาพื้นที่สูง | 138,510,300 |
| โครงการเทิดพระเกียรติ การปลูกจิตสำนึกเทิดทูนสถาบัน เฉลิมพระเกียรติ | 1,549,261,800 |
| โครงการ/ทุนการศึกษาพระราชทาน | 911,252,600 |
| โครงการที่มีวัตถุประสงค์หรือตัวชี้วัดเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชา | 775,588,700 |
| โครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า | 378,959,200 |
| โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ (อพ.สธ.) | 305,654,700 |
| To be quantity 1 | 241,078,500 |
| อื่นๆ | 82,910,500 |
รวม | 21,671,030,000 |
งบประมาณส่วนใหญ่ถูกตั้งไว้สำหรับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโดยรวมแบบไม่ระบุโครงการ หรือเป็นงบประมาณสำหรับสนับสนุนการดำเนินโครงการตามพระราชดำริแบบไม่ระบุโครงการ จำนวน 41 รายการ รวม 9,605,473,300 บาท
- ส่วนใหญ่อยู่ในโครงการส่งเสริมการดำเนินงานอันเนื่องจากพระราชดำริ ของกรมชลประทาน 2,932,391,000 บาท
- รองลงมา อยู่ในงบกลาง จำนวน 2,500,000,000 บาท ในเอกสารงบประมาณระบุเหตุผลว่า เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่ตั้งไว้รองรับโครงการที่เกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริ โดยในแต่ละปีจะมีโครงการที่เริ่มดำเนินงานและเกี่ยวข้องกับภารกิจของส่วนราชการต่างๆ หลายส่วนราชการ และเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินงานหลังจากวันที่เริ่มต้นงบประมาณแล้ว จึงไม่สามารถเสนอตั้งงบประมาณไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการได้
- ยังมีการตั้งงบเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริแบบไม่ระบุโครงการที่เกิน 1 พันล้านบาท อีก 2 รายการ ได้แก่ เงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินงานตามแนวทางโครงการพระราชดำริด้านสาธารณสุข ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 1,127,320,000 บาท และโครงการพระราชดำริและเฉลิมพระเกียรติ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 1,105,422,300 บาท
สำหรับโครงการพระราชดำริที่มีการของบประมาณแยกรายโครงการพบว่า โครงการเกี่ยวกับการชลประทานและการพัฒนาแหล่งน้ำ ตั้งงบประมาณมากที่สุดรวม 3,216,825,600 บาท
- เกือบทั้งหมดเป็นงบลงทุน โดยโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจาก
พระราชดำริจังหวัดนครศรีธรรมราช ของกรมชลประทาน ตั้งงบไว้สูงสุดในหมวดหมู่นี้ที่ 1,234,458,200 บาท
ส่วนโครงการพระราชดำริและโครงการของพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีความเฉพาะเจาะจงและงบประมาณของแต่ละโครงการไม่ได้กระจายในหลายหน่วยงาน เช่น โครงการกำลังใจ โครงการร้อยใจรักษ์ โครงการจัดการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารเพื่อสนองงานตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เงินอุดหนุนมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงจัดตั้งและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ รวมถึงโครงการอื่นในหลากหลายประเด็น ทั้งเรื่องการสาธารณสุข เกษตรกรรม การศึกษา ความเป็นอยู่ของประชาชน รวม 55 รายการ จำนวน 2,777,414,900 บาท
โครงการตามพระราชดำริที่ตั้งงบประมาณสูงลำดับถัดมา คือ โครงการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นตามพระราโชบาย จำนวน 38 รายการ กระจายในมหาวิทยาลัยราชภัฏเกือบทั่วประเทศ รวม 1,688,099,900 บาท โดยเป็นโครงการน้อมนำพระราโชบายด้านการศึกษามาจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาตามพระราโชบาย มุ่งผลิตครูคุณภาพและพัฒนาท้องถิ่นทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและการศึกษา ตามสภาพปัญหา และความต้องการที่แท้จริงของชุมชน โดยน้อมนำแนวพระราชดำริสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีโครงการหลวงและโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาที่สูง 11 รายการ กระจายอยู่ใน 9 หน่วยงาน รวม 138,510,300 บาท
โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระราชปณิธานศาสตราจาย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี 6 รายการ ใน 4 หน่วยงาน จำนวน 378,959,200 บาท
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (อพ.สธ.) จำนวน 67 รายการ งบประมาณรวม 305,654,700 บาท
ค่าใช้จ่ายในการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด หรือสนับสนุนกิจกรรมชมรม TO BE NUMBER ONE 31 รายการ ตั้งงบประมาณรวม 241,078,500 บาท
หลายหน่วยงานตั้งงบเทิดพระเกียรติรวมเกือบ 1.5 พันล้าน
นอกจากโครงการในพระราชดำริแล้ว รายจ่ายทางอ้อมยังถูกหลายหน่วยงานตั้งไว้สำหรับโครงการเทิดพระเกียรติ การปลูกจิตสำนึกเทิดทูนสถาบัน และโครงการเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 31 รายการ รวม 1,549,261,800 บาท
เงินอุดหนุนโครงการ/รางวัลพระราชทานกว่า 900 ล้านบาท
ยังมีเงินอุดหนุนสำหรับโครงการหรือรางวัลพระราชทาน เช่น หน่วยแพทย์พระราชทาน ทุนการศึกษาพระราชทาน โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพิธีศwพระราชทาน เป็นต้น รวม 24 รายการ 911,252,600 บาท
โครงการเศรษฐกิจพอเพียง/ศาสตร์พระราชา 775 ล้านบาท
หน่วยงานต่างๆ ยังตั้งงบประมาณโดยมีชื่อโครงการ วัตถุประสงค์ หรือตัวชี้วัดที่เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชา หรือน้อมนำแนวทางอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 32 รายการ รวม 775,588,700 บาท
รายจ่ายทางอ้อมอื่นๆ เกือบ 83 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณอื่นๆ ที่จัดเป็นรายจ่ายทางอ้อม รวม 82,910,500 บาท ได้แก่ ค่าอาหารทำการนอกเวลา การปฏิบัติงานพระราชพิธี พระราชกุศล รัฐพิธีและศาสนพิธี ค่าวัสดุเครื่องกฐินพระอารามหลวง สมณบริขารและเครื่องอุปโภคบริโภค ของกรมการศาสนา รวม 11,029,200 บาท
กรมศิลปากรตั้งบประมาณจัดแสดงนิทรรศการ พิพิธภัณฑสถานงานพระราชพิธีพระบรมศwพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 25 ล้านบาท
การเคหะแห่งชาติตั้งงบเงินอุดหนุนสำหรับการบริหารจัดการอาคารโครงการที่พักอาศัยข้าราชการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 18,078,300 บาท
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ตั้งงบประมาณสำหรับดูแลช้างสำคัญจากสำนักพระราชวัง 8,664,800 บาท และโครงการดูแล ขนย้าย ควบคุมและแปรรูปไม้มีค่าเพื่อใช้ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกของพระบรมวงศานุวงศ์หรือแขกของรัฐบาล และเป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา 20,138,200 บาท

คดีวิพากษ์งบสถาบันฯ ไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงการใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ และถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์
นพพล อาชามาส ฝ่ายข้อมูลศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้ข้อมูลว่า หากดูตามแนวพิพากษาคดีเกี่ยวกับงบสถาบันกษัตริย์ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ คดีที่กล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณไม่เป็นธรรม หรือมากเกินไป โดยใช้คำกลางๆ ไม่ได้กล่าวถึงบุคคล และอีกแบบ คือ คดีที่กล่าวถึงการใช้จ่ายงบประมาณ
นพพลยกตัวอย่าง คดีที่พูดถึงการจัดสรรงบประมาณ เช่น คดีที่ จ.ลำปาง แขวนป้ายข้อความ “งบสถาบันกษัตริย์ > วัคซีนCOVID19” และคดีที่ จ.อุดรธานี ปราศรัยเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์ ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ โดยวิเคราะห์ว่า ถ้ากล่าวถึงสถาบันกษัตริย์กว้างๆ ไม่เจาะจงบุคคล ศาลมีแนวโน้มจะยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าการจัดสรรงบประมาณเป็นเรื่องของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ จึงไม่เข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาท
ส่วนอีกแบบ คือ การพูดถึงการใช้จ่ายงบประมาณ คำที่ใช้อาจตีความได้ว่ามีตัวบุคคลที่ใช้งบประมาณ พูดถึงความฟุ่มเฟือย ไม่โปร่งใส ฝ่ายข้อมูลศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนวิเคราะห์ว่า คดีลักษณะนี้มีแนวโน้มที่ศาลจะลงโทษค เช่น คดีมีชัย (สงวนนามสกุล) ที่ถูกฟ้อง 2 ข้อความ ได้แก่ “ความเห็นส่วนตัว สถาบันกษัตริย์ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษี ประชาชน เพราะกษัตริย์มีธุรกิจผูกขาดอยู่มากมาย” และ “ประชาชนมอบเงินให้ระบอบกษัตริย์ 2-3 หมื่นล้านต่อปี กษัตริย์มอบอะไรให้กับ ประชาชน” ศาลตีความว่าสื่อถึงกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน และคดีแชร์โพสต์เพจทะลุวังเกี่ยวกับงบสถาบันกษัตริย์ปี 2565 ที่ศาลเห็นว่าข้อความตามโพสต์ทำให้ประชาชนเข้าใจว่ากษัตริย์ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและผลาญภาษีประชาชน คดีนี้ฝ่ายจำเลยยังพยายามยื่นขอศาลให้ออกหมายเรียกพยานเอกสารจากหน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา กระทรวงพาณิชย์ และสำนักพระราชวัง ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องการประชุมและรายงานงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เพื่อใช้ประกอบในการต่อสู้คดี กว่า 6 ครั้ง แต่ศาลอาญามีคำสั่งไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้
ฝ่ายข้อมูลศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ถ้าพูดถึงการใช้จ่ายงบประมาณ ศาลมีแนวโน้มจะพิพากษาลงโทษ และตีความว่าเป็นการใส่ความ โดยไม่ได้พิสูจน์ว่าการใช้จ่ายไม่โปร่งใส หรือฟุ่มเฟือยจริงไหม และไม่แน่ใจว่าจะสามารถพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่ในชั้นศาล
นอกจากนี้ นพพลเห็นว่า คดีที่พูดถึงงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไม่ได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดการใช้งบประมาณ โดยรวมถ้ากล่าวถึงการใช้จ่ายงบประมาณ มีแนวโน้มที่ศาลจะเห็นว่าผิด โดยไม่มีการพิสูจน์เรื่องการใช้จ่าย การพิจารณาองค์ประกอบเรื่องประโยชน์สาธารณะและการติชมโดยสุจริตไม่ถูกนำมาใช้ กลับกันถ้าพูดแบบเดียวกันนี้กับนักการเมืองหรือองค์กรอื่น คิดว่าควรจะยกฟ้อง แต่องค์ประกอบเหล่านี้ไม่ถูกใช้กับคดีมาตรา 112
ความแตกต่างการอภิปรายงบ ‘สส. – สว.’ ความสำคัญของการตรวจสอบงบสถาบันฯ
เมื่อถามถึงการตรวจสอบงบประมาณที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฝ่ายนิติบัญญัติ เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา และ กมธ.วิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ได้ตั้งข้อสังเกตและกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการพิจารณางบของ สส. และ สว. ดังนี้
การพิจารณางบประมาณในส่วนของ สส. ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาตั้งแต่ความเหมาะสมและความจำเป็นของงบประมาณต่างๆ ไปจนถึงรายละเอียดการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายของแต่ละหน่วยงาน โครงการ หรือแผนงานของส่วนราชการ โดยเปิดโอกาสให้ส่วนราชการชี้แจงหลักการ ยื่นเอกสาร และเหตุผลประกอบการตั้งงบประมาณข้างต้นในวาระที่ 2
ในส่วนของงบประมาณที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้มีการสงวนความเห็นในมาตราที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ ซึ่งถูกนำมาอภิปรายในวาระ 2 เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2568 โดยระบุว่างบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ปี 2569 เพิ่มขึ้นเป็น 9,272 ล้านบาท โดยสูงกว่าปีก่อนหน้าเกือบ 800 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 9.4 เมื่อเปรียบเทียบกับกระทรวงต่างๆ แล้ว พบว่า ส่วนราชการในพระองค์มีงบเพิ่มขึ้นมากเป็นอันดับที่ 5 จึงเกิดข้อสงสัยว่า เหตุใดจึงได้รับงบเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ได้มีตัวแทนเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการว่า สาเหตุที่งบประมาณเพิ่มขึ้นถึง 800 ล้าน มีส่วนหนึ่งมาจากการปรับเลื่อนเงินเดือนสำหรับข้าราชการในพระองค์ โดยจะเลื่อนเงินเดือน 3 ปีต่อครั้ง ต่างจากข้าราชการส่วนอื่นๆ ที่ปรับเลื่อนเงินเดือนปีละครั้ง
นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มจำนวนบุคลากรส่วนข้าราชการในพระองค์ จากปีก่อนหน้า 14,600 คน เป็น 15,000 คน ส่วนงบดำเนินงานไม่ได้เพิ่มขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นงบบุคลากรซึ่งจะปรับลดไม่ได้ สิริกัญญาจึงไม่ได้ติดใจ
ทั้งนี้ ได้มีการตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกับปีที่ผ่านๆ มา คือ เสนอให้มีการปรับลดความซ้ำซ้อนของภารกิจ เพราะมีหลายหน่วยงานทำหน้าที่คล้ายกัน โดยเฉพาะ ‘ภารกิจการถวายความปลอดภัย’ ซึ่งมีทั้งหน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัยในพระองค์ สังกัดหน่วยราชการในพระองค์ แต่ก็มีหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยที่อยู่ในทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงกลาโหมเช่นเดียวกัน
ส่วนประเด็นที่เคยปรากฏในการอภิปรายงบปีอื่นๆ แต่ปีนี้ไม่ค่อยปรากฏ คือ การเสนอทำแผนงบบูรณาการที่ เบญจา แสงจันทร์ อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายไว้ในปี 2565 เกี่ยวกับงบประมาณโดยอ้อมที่มีความกระจัดกระจายไปตามหน่วยรับงบต่างๆ ซึ่งเป็นโครงการที่มีจุดยึดโยงกับสถาบันฯ ในส่วนของหลักการหรือชื่อโครงการ
ยกตัวอย่างโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการพิเศษต่างๆ เช่น โครงการสัตว์ปลอดโรค สุนัขปลอดภัย โครงการ To Be Quantity One โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช เหล่านี้ต่างถูกจัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยงานต่างๆ จึงเคยมีการเสนอว่าควรรวมงบประมาณเหล่านี้เข้าไว้ในแผนบูรณาการงบประมาณเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบมากขึ้น
ด้านการพิจารณางบประมาณในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณาร่างที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ สว. ส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นกลุ่มอนุรักษนิยม และไม่ได้มีบทบาทในการพิจารณาหรือไม่มีอำนาจในการตัดลดงบประมาณ จึงไม่มีการอภิปรายประเด็นดังกล่าวในที่ประชุมสภา
กระนั้น เทวฤทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งใน กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ได้ตั้งคำถามต่อคณะกรรมการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ประสานงานและการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะการประเมินผลโครงการ
โดย กปร. ยืนยันว่า ทุกโครงการมีการประเมินผล ทั้งจาก กปร. เอง และการให้คนนอกประเมิน พร้อมส่งเอกสารรายงานการประเมินต่างๆ ตามข้อสงสัยของเทวฤทธิ์
เขายังได้ตั้งคำถามถึงกลไกการประเมินโครงการ เช่น สำนักฝนหลวง ว่ามีวิธีการวัดอย่างไรว่าฝนตกตามเป้าหมายจริง หรือเป็นการฝนที่กำลังจะตกอยู่แล้ว ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ยังมีประเด็นคำถามอยู่
นอกจากนั้น ยังมีโครงการของการเคหะฯ ที่มีวัตถุประสงค์คือการสร้างที่พักอาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย แต่กลับมีการสร้างที่พักให้ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ อย่างไรก็ดี หน่วยงานที่มาชี้แจงอธิบายว่าข้าราชการกลุ่มนี้มี ‘ข้าราชการชั้นผู้น้อย’ พร้อมให้เหตุผลว่าเป็นผู้มีรายได้น้อยจึงเข้าข่ายวัตถุประสงค์ของโครงการ
ส่วนโครงการ To Be Quantity One ซึ่งมีความซ้ำซ้อนอยู่ในหลายหน่วยรับงบ เช่น กระทรวงแรงงาน กรมราชทัณฑ์ เทวฤทธิ์ถามไปยังหน่วยรับงบต่างๆ ว่า เหตุใดจึงไม่มีการประสานงานบูรณาการร่วมกัน หรือให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นเจ้าภาพในโครงการดังกล่าว ซึ่งได้คำชี้แจงกลับมาว่า แต่ละหน่วยงานต่างมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหายาเสพติด จึงเลือกใช้โครงการ To Be Quantity One ในการดำเนินการ
เมื่อเปรียบเทียบการพิจารณางบฯ ของ สส. และ สว. แล้ว จะเห็นได้ว่า การพิจารณางบประมาณโดย สส. จะมีความละเอียดกว่าด้วยอำนาจหน้าที่และความกระตือรือร้นของผู้ตรวจสอบ ขณะที่ฝั่ง สว. จะมีหน้าที่เพียงตั้งคำถามในชั้นกรรมาธิการกับทำเป็นข้อสังเกตไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณ และไม่ได้มีอำนาจในการแก้ไขหรือตัดงบประมาณโดยตรง
อย่างไรก็ดี ด้วยบรรยากาศสังคมในปัจจุบัน ซึ่งมีการใช้กฎหมายปราบปรามประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันฯ ประกอบกับการยุบพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นแกนหลักในการตรวจสอบงบประมาณดังกล่าว ทำให้มีการพูดถึงงบประมาณสถาบันฯ ลดน้อยลง เนื่องจากมีการระมัดระวังมากขึ้น
ขณะเดียวกัน เทวฤทธิ์ก็เห็นถึงความพยายามปรับปรุงและให้ความร่วมมือของหน่วยรับงบประมาณต่อสภา ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า ส่วนราชการในพระองค์ได้ปรับกระบวนการชี้แจงการใช้งบ และเลขา ครม.ในฐานะผู้ชี้แจงได้ขอให้หน่วยงานราชการเลี่ยงการเติมคำว่า “เฉลิมพระเกียรติ” ท้ายโครงการ
“เพราะว่าเดิม หลายคน (ที่เขียนยื่นของบประมาณ) อาจคิดว่า พอใส่คำว่า ‘เฉลิมพระเกียรติ’ ท้ายโครงการ จะทำให้การของบประมาณหรือดำเนินการต่างๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีด้านกลับคือ หากโครงการเหล่านั้นเป็นโครงการที่ดําเนินการไม่ดี จะอาจมีผลกลับไปยังสถาบันฯ ด้วย” เทวฤทธิ์ กล่าว
เทวฤทธิ์เน้นย้ำว่า การวิพากษ์งบประมาณสถาบันฯ ไม่ได้เป็นการวิจารณ์บุคคลหรือสถาบันใดๆ เป็นเพียงกระบวนการตรวจสอบโครงการต่างๆ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ และการตรวจสอบเหล่านี้จะช่วยให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด












