การกินอาหารมื้อใหญ่ช่วงเทศกาลจะส่งผลกระทบต่อสมองของคุณอย่างไรบ้าง ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos

Article Facts
    • Author, เจสสิกา แบรดลีย์

พวกเราหลาย ๆ คนอาจโยนคำว่า “พอประมาณ” ทิ้งไปเมื่อการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลมาถึง ทว่าการทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ ระหว่างการเฉลิมฉลองเหล่านี้ส่งผลต่อร่างกายและสมองของเราอย่างไรบ้าง

อาหารมีส่วนช่วยสนับสนุนสมองและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายหลากหลายอย่าง รวมไปถึงระบบการจดจำและการมีสมาธิจดจ่อ การรับประทานอาหารอย่างสมดุลยังช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของเราด้วย

ผู้อ่านอยากรู้ไหมว่าการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ จะส่งผลกระทบต่อสมองของเราโดยทันทีอย่างไรบ้าง

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณทานอาหารมากเกินไป

เวลาที่เราทานอาหาร สัญญาณมากมายทั่วร่างกายของเราจะทำงานอย่างสอดประสานเพื่อบอกสมองว่าเราอิ่มแล้ว ซึ่งนั่งรวมถึงฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากลำไส้ และเมตาบอไลต์ (metabolites) หรือโมเลกุลที่เกิดจากกระบวนการย่อยสลายอาหารเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน

ฮอร์โมนเหล่านี้ยังส่งสัญญาณให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลืoด กระบวนการทั้งหมดนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “satiety cascade” หรือ กระบวนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนของการอิ่ม ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเห็น ได้กลิ่น หรือสัมผัสอาหาร ไปจนถึงกระบวนการย่อยและดูดซึม

“สัญญาณเหล่านี้ถูกส่งมาจากส่วนต่าง ๆ ที่ต่างกันของลำไส้ และทำงานในเวลาที่เหลื่อมกันเล็กน้อย” โทนี โกลด์สโตน รองศาสตราจารย์คลินิก แห่งอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ กล่าว

กระบวนการหลั่งฮอร์โมนเป็นลำดับนี้ ซึ่งเกิดจากลำไส้และตับอ่อน และส่งสัญญาณไปยังสมอง อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการง่วงที่เรามักรู้สึกหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ซึ่งเรียกว่า “postprandial somnolence” หรืออาจเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า ภาวะ “หนังท้องตึง หนังตาหย่อน”

อย่างไรก็ตาม แอรอน เฮงจิสต์ นักวิจัยหลังปริญญาเอก แห่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (Nationwide Institutes of Health) ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ระบุว่ากลไกที่แท้จริงเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed learningได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : Getty Photos

การเผลอรับประทานมากเกินไปเป็นครั้งคราว อาจไม่สร้างความเสียหายรุนแรงอย่างที่หลายคนคาดคิด

หลายคนมักเชื่อว่าอาการ “หนังท้องตึง หนังตาหย่อน” นี้ เกิดขึ้นเพราะเลืoดถูกดึงออกจากสมองและส่งไปยังกระเพาะอาหาร แต่งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการไหลเวียนของเลืoดไม่ได้ลดลงหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่

ทว่า เฮงจิสต์ ชี้ว่า ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงสาเหตุของอาการง่วงหลังรับประทานอาหาร

“การตอบสนองของฮอร์โมนจากลำไส้เป็นแบบค็อกเทล คือเราไม่รู้ว่าฮอร์โมนตัวใดที่ทำให้เกิดอาการง่วง และส่งผลต่อส่วนใดของสมอง” เขากล่าว

การทานมากเกินไปเป็นอันตรายหรือไม่

เฮงจิสต์บอกว่าการทานอาหารมากเกินไปนาน ๆ ครั้ง อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเผาผลาญมากมายอย่างที่เราคิด

ในปี 2020 เขาตีพิมพ์ผลลัพธ์จากงานศึกษาที่ติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลทานอาหารจนเกินระดับอิ่มแบบพอดี และตอนที่พวกเขาทานจนท้องแทบจะsะเบิด

ชายสุขภาพดี (ผู้กล้าหาญ) 14 คน อาสามาทานพิซซ่าจำนวนมากในครั้งเดียว ในงานศึกษาครั้งหนึ่งพวกเขาถูกขอให้ทานจนอิ่มแบบพอดี และในงานศึกษาอีกครั้ง พวกเขาถูกขอให้ทานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาสาสมัครเหล่านี้ทานพิซซ่าเป็นสองเท่าจากปกติในการทดลองครั้งหลังที่ให้ทานมากเท่าที่จะทานได้

ที่มาของภาพ : Getty Photos

นักวิจัยได้วัดระดับฮอร์โมน ความอยากอาหาร อารมณ์ และการตอบสนองด้านการเผาผลาญของอาสาสมัครเป็นเวลานานถึง 4 ชั่วโมงหลังจากมื้ออาหารขนาดใหญ่ดังกล่าว ผลการศึกษาพบว่า ระดับน้ำตาลในเลืoดของพวกเขาไม่ได้สูงไปกว่าหลังรับประทานอาหารตามปกติ และระดับไขมันในเลืoดก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

“เรารู้สึกประหลาดใจที่แม้จะได้รับพลังงานมากเป็นสองเท่า แต่ร่างกายกลับควบคุมระดับน้ำตาลในเลืoดได้ดีอย่างน่าทึ่ง” เฮงกิสต์ กล่าว “เราพบว่าร่างกายต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้มันเป็นเช่นนั้น โดยการหลั่งอินซูลินมากขึ้น รวมถึงฮอร์โมนจากลำไส้หลายชนิดที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและส่งสัญญาณความอิ่ม”

เขาระบุว่า งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การเผลอรับประทานมากเกินไปเป็นครั้งคราว อาจไม่สร้างความเสียหายรุนแรงอย่างที่หลายคนคาดคิด

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการศึกษานี้ทำเฉพาะในผู้ชายวัยหนุ่มที่มีสุขภาพดี ผลการวิจัยจึงยังไม่สามารถนำไปอธิบายกับประชากรทั่วไปได้ หากยังไม่ได้มีการศึกษากับผู้หญิง รวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนเพิ่มเติมก่อน

รูปแบบการกินมีผลไหม

ที่มาของภาพ : Getty Photos

แม้ว่าการนั่งกินพิซซ่าหนึ่งครั้งอาจไม่ส่งผลกระทบแง่ลบโดยทันที แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการทานอาหารมากเกินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรือตลอดหนึ่งวันอาจเริ่มส่งผลกระทบต่อระบบเผาผลาญได้ และทำให้ร่างกายต้องทำงานหนัก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสมองได้

งานวิจัยในปี 2021 ชิ้นหนึ่งศึกษาการกินเกินในช่วงเวลายาวนาน และพบผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างมากจากงานวิจัยพิซซ่าของเฮงกิสต์ งานศึกษานี้มีชื่อว่า ‘The Tailgate Scrutinize' ซึ่งตั้งชื่อตามธรรมเนียมของชาวอเมริกันที่จัดงานเลี้ยงก่อนการแข่งขันกีฬา โดยมักกินอาหารปริมาณมากและดื่มแอลกอฮอล์

นักวิจัยพยายามจำลองธรรมเนียมดังกล่าว ด้วยการให้ชาย 18 คนที่มีน้ำหนักเกินแต่ยังมีสุขภาพดี ดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่น เบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด และเค้ก ตลอดช่วงบ่ายในวันเดียว

พวกเขาบริโภคพลังงานถึง 5,087 แคลอรีโดยเฉลี่ย ภายในเวลาเพียง 5 ชั่วโมง ผลการตรวจเลืoดและการสแกนตับพบว่า ชายส่วนใหญ่มีปริมาณไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้น หลังจากการกินมื้อใหญ่ดังกล่าว

งานวิจัยระบุว่า โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง และก่อให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อสมอง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางสมองในระยะยาว

“งานศึกษา Tailgate แสดงให้เห็นว่าผู้ชายในกลุ่มตัวอย่างมีความผิดปกติของระบบเผาผลาญ เมื่อบริโภคอาหารและแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง ร่างกายต้องรับภาระหนักเกินกว่าจะรับมือได้” เฮงกิสต์ กล่าว

เหตุใดมื้อใหญ่มื้อเดียวไม่ส่งผลต่อเรา

ทฤษฎีวิวัฒนาการอาจช่วยอธิบายได้บางส่วนว่า เหตุใดการกินอาหารมากเกินไปเป็นครั้งคราวอาจไม่ก่ออันตรายมากนัก รวมถึงอธิบายว่าลำไส้และสมองของมนุษย์ได้พัฒนากลไกการสื่อสารระหว่างกันอย่างไร ในยามที่ร่างกายต้องการอาหาร

รศ.โกลด์สโตน กล่าวว่า เวลาเราหิว ปัจจัยหลายอย่างจะทำงานร่วมกันเพื่อกระตุ้นให้เรากินอาหาร เช่น อารมณ์อาจเปลี่ยนไป และเราอาจรู้สึกหงุดหงิดจากความหิว หรือที่เรียกว่า “hangry” (โมโหหิว) นอกจากนี้ เรายังมีแนวโน้มจะอยากกินอาหารที่ให้พลังงานสูงมากขึ้นด้วย

“ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นภาวะโมโหหิวกันแน่” รศ.โกลด์สโตน กล่าว “แต่การวิจัยที่ดำเนินอยู่ชี้ว่า ความหิวเป็นภาวะที่สร้างความไม่สบายอย่างมาก และอาจเป็นไปได้ว่าผู้คนกินอาหารเพื่อกำจัดภาวะนี้ออกไป”

หลักฐานจากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบพฤติกรรมคล้ายกัน งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า วงจรการควบคุมความอยากอาหารบางส่วนในไฮโปทาลามัส (สมองส่วนที่ควบคุมความอยากอาหาร) จะทำงานลดลง เมื่อสัตว์ฟันแทะเห็นและได้กลิ่นอาหาร กระทั่งก่อนที่มันจะเริ่มกินด้วยซ้ำ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

“ความหิวทำให้พวกมันตามหาอาหาร และเมื่อมันพบอาหาร ก็ไม่จำเป็นต้องทำพฤติกรรมนั้นอีกต่อไป” รศ.โกลด์สโตน กล่าว

เขาเสริมว่ากระบวนการส่วนใหญ่เหล่านี้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว

“มนุษย์ได้วิวัฒนาการมาเพื่อหาวิธีรับมือกับภาวะอดอยาก เพราะหากไม่มีอาหาร เราก็จะเสียชีวิต แต่ภาวะการบริโภคเกินความจำเป็นนั้น แทบไม่เคยเกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และผลกระทบของมันมักเกิดขึ้นในระยะยาว อีกทั้งไม่รุนแรงถึงขั้นคร่าชีวิตในระยะสั้น อย่างน้อยก็ในช่วงแรก” รศ.โกลด์สโตน กล่าว

สิ่งที่เรากินมีผลไหม

สเตฟานี คูลมันน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยและผู้อำนวยการฝ่ายเมตาบอลิกนิวโรอิมเมจจิง แห่งมหาวิทยาลัยทือบิงเงิน (University of Tübingen) ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า งานวิจัยหลายชิ้นในหนูทดลองชี้ว่า การบริโภคอาหารพลังงานสูงเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อความจำและความสามารถในการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ยังมีงานวิจัยประเภทนี้ค่อนข้างจำกัดในมนุษย์

อย่างไรก็ดี มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้เห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองเมื่อเรากินอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงมากเกินไป ทั้งนี้ การศึกษานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่มื้อเดียว แต่คือการกินที่ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน อย่างไรก็ดี คูลมันน์ระบุว่า ผลการศึกษาดังกล่าวอาจนำไปประยุกต์ใช้กับช่วงเวลาการกินมากเกินในระยะสั้นได้เช่นกัน แม้จะในขอบเขตที่จำกัดกว่าก็ตาม

งานศึกษานี้ติดตามชายสุขภาพดี 18 คน ที่รับประทานอาหารพลังงานสูงเป็นเวลา 5 วัน โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวแปรรูปขั้นสูงที่มีไขมันและน้ำตาลสูง นอกเหนือจากอาหารตามปกติของตนเอง โดยเฉลี่ยพวกเขาได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 1,200 กิโลแคลอรี ขณะที่อีกอาสาสมัครอีก 11 คนในกลุ่มควบคุมไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการกินอาหาร

ผลการศึกษาพบว่า อาหารพลังงานสูงส่งผลต่อการตอบสนองของสมองต่ออินซูลิน ในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการลดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางสายตาเกี่ยวกับอาหาร และกระบวนการด้านความจำ สมองที่ดื้อต่ออินซูลินจะไม่สามารถลดความอยากอาหารและการบริโภคอาหารได้อย่างเหมาะสม ซึ่งหมายถึงสัญญาณที่บอกให้เราหยุดกินเมื่ออิ่มทำงานได้ไม่ดี

“หนึ่งในข้อค้นพบสำคัญคือ สมองเปลี่ยนแปลงก่อนร่างกาย” คูลมันน์ กล่าว “ผู้เข้าร่วมการศึกษายังคงมีน้ำหนักตัวเท่าเดิม แต่เมื่อเราตรวจดูสมอง กลับพบว่าลักษณะการทำงานของสมองใกล้เคียงกับผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินมาหลายปีแล้ว”

งานวิจัยยังชี้ว่า ในผู้ที่มีภาวะอ้วน ไฮโปทาลามัสและระบบการให้รางวัลของสมอง ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการบริโภคอาหาร อาจถูกรบกวนการทำงานได้

คูลมันน์ระบุว่า งานวิจัยชิ้นนี้ช่วยต่อยอดองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ โดยแสดงให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างลำไส้กับสมองของมนุษย์ และชี้ให้เห็นว่าแกนการสื่อสารดังกล่าวมีความแตกต่างกันในกลุ่มคนที่มีภาวะอ้วน พูดให้ชัดก็คือ คนที่มีภาวะอ้วนมีแนวโน้มจะเลือกบริโภคอาหารในปริมาณมากขึ้น เมื่อคิดถึงความสุขจากการกิน

ผู้เข้าร่วมการศึกษาของคูลมันน์ได้รับคำแนะนำให้กลับไปรับประทานอาหารตามปกติหลังผ่านไปห้าวัน แต่เมื่อตรวจติดตามผลอีกครั้งหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ พบว่าส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำและการทำงานด้านการรับรู้ ยังตอบสนองได้น้อยลงกว่าก่อนเริ่มรับประทานอาหารพลังงานสูง

ที่มาของภาพ : Getty Photos

สรุปแล้วกินเยอะช่วงเทศกาลได้ไหม

เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า การกินอาหารเป็นเวลานานต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวสูง ไม่เป็นผลดีต่อสมอง ขณะที่งานวิจัยที่ศึกษาผลกระทบของการกินมากเป็นพิเศษเพียงครั้งเดียวต่อร่างกายยังมีไม่มากนัก แต่หลักฐานที่มีอยู่บ่งชี้ว่า การกินมากเป็นครั้งคราวไม่ได้ส่งผลเสียต่อสมอง

“งานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า การตามใจปากเพียงครั้งเดียวไม่ได้สร้างความเสียหายอย่างที่หลายคนกังวล ดังนั้นก็ขอให้เพลิดเพลินกับมื้ออาหารช่วงเทศกาลได้” เฮงกิสต์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า หากทานมากกว่านั้นก็อาจเริ่มสร้างภาระให้ร่างกาย และจากงานวิจัยของคูลมันน์ ระบุว่า แม้เพียง 5 วัน ก็อาจเพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสมองในระยะยาวได้