ไทยอาจได้-เสีย-เสี่ยง อะไร จากการทำ MoU แร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ

ที่มาของภาพ : Getty Photographs

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในเอกสารสำคัญว่าด้วยเรื่องความร่วมมือพัฒนาแร่ธาตุสำคัญ (severe minerals) กับหลายประเทศในเวลาเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา รวมถึงไทย โดยรายละเอียดของเอกสารแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดก็เพื่อมุ่งเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ในขณะที่ปัจจุบันจีน ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดโลก

บันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยู (Memorandum of Knowing – MoU) ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลไทยว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ (severe minerals) ระดับโลก ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ลงนามร่วมกับผู้นำสหรัฐฯ ในระหว่างการลงนามในถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาที่มาเลเซีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 ต.ค) ถือเป็นการทำข้อตกลงกับชาติมหาอำนาจที่สร้างความประหลาดใจแก่บางภาคส่วนของสังคมไทย เนื่องจากเป็นบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไม่ได้เปิดเผยมาก่อน

ประธานาธิบดีทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ทรูธโซเชียล ของเขา ในวันที่เดินทางออกจากมาเลเซียเมื่อ 27 ต.ค. ว่า สหรัฐฯ ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าสำคัญ รวมไปถึง “ข้อตกลงเรื่องแร่แรร์เอิร์ธ (rare earth deals)” ซึ่งเป็นกลุ่มแร่ส่วนหนึ่งของแร่ธาตุสำคัญ

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีความหมายอย่างไรต่อประเทศไทย ใจความสำคัญคืออะไร .ได้พูดคุยกับ ไบรอัน อีย์เลอร์ ผู้อำนวยการโครงการพลังงาน น้ำ และความยั่งยืน โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศูนย์วิจัยสติมสันเซ็นเตอร์ (Stimson Heart) ในสหรัฐฯ และเรแกน ควอน นักวิจัยในโครงการนี้ เพื่อวิเคราะห์ถึงเอ็มโอยูฉบับนี้

ใจความของ MoU ฉบับนี้ระบุถึงความร่วมมือด้านใดบ้าง ?

ที่มาของภาพ : Getty Photographs

บันทึกความเข้าใจที่ลงนามโดยผู้นำสหรัฐฯ และไทย เมื่อวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) ที่ผ่านมาคือ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในเพิ่มความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและส่งเสริมการลงทุน”

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue discovering outได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

.ขอสรุปเนื้อหาของข้อตกลงดังกล่าว ดังนี้

  • ร่วมมือกันเสริมสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานโลกของแร่ธาตุที่สำคัญ

เอ็มโอยูฉบับนี้ ระบุว่าการร่วมมือครั้งนี้มุ่งเป้า “เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดแร่สำคัญและแร่ธาตุหายากที่เปิดกว้าง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และโปร่งใส เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่ง ความปลอดภัย และความเจริญรุ่งเรืองของห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญและแร่ธาตุหายากในสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย”

  • ส่งเสริมการค้าและการลงทุนในการสำรวจทรัพยากรแร่ที่สำคัญ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล และการกู้คืนแร่ธาตุสำคัญ

เนื้อหาในเอกสารระบุว่า “การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศในการสำรวจทรัพยากรแร่ที่สำคัญ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล และการกู้คืน ก็เพื่อส่งเสริมการลงทุนและเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมการแปรรูปของประเทศที่ลงนาม แทนที่จะส่งออกวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว”

  • สหรัฐฯ จะแบ่งปันข้อมูล และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีระดับสากล และช่วยเหลือไทยในการสำรวจฐานทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญ

เอกสารฉบับนี้เขียนไว้ว่า สหรัฐฯ “มีเจตนาที่จะแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคส่วนแร่ธาตุสำคัญของประเทศไทย ช่วยเหลือประเทศไทยในการวิเคราะห์ขอบเขตของฐานทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญของไทย”

  • สหรัฐฯ จะได้รับโอกาสแรกในการลงทุนในสินทรัพย์ด้านแร่ธาตุสำคัญในประเทศไทย และต้องได้รับข้อมูลด้านการลงทุนด้านแร่ธาตุสำคัญก่อนประเทศอื่น

รายละเอียดในเอ็มโอยูระบุว่า “ประเทศที่ลงนามจะให้ข้อมูลแก่กันและกันเกี่ยวกับการประมูลและโครงการที่มีศักยภาพโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม จะต้องไม่ช้ากว่าที่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งมอบให้กับนักลงทุนที่มีศักยภาพรายอื่น”

MoU ฉบับนี้มีข้อผูกมัดทางกฎหมายหรือไม่ ?

ในส่วนท้ายของเอกสารฉบับนี้ระบุไว้ด้วยว่า บันทึกความเข้าใจ “ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ”

เมื่อวันจันทร์ (27 ต.ค.) นายอนุทิน นายกฯ ชี้แจงว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่ได้มีการผูกมัดกันทางกฎหมายต่อประเทศที่ลงนาม เขาระบุว่า “หากวันหนึ่งเข้าใจเป็นอย่างอื่นก็เลิกแล้วต่อกัน เพราะถ้าจะทำให้เข้มข้นกว่านี้ ต้องทำให้เป็นข้อตกลง ไม่ใช่บันทึกความเข้าใจ ต้องเป็นสัญญาตกลง หรือสนธิสัญญา”

การออกมาย้ำถึงการไม่มีผลผูกพันของเอ็มโอยูกับสหรัฐฯ ยังมาจากรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอนุทินหลายคน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเดอะรีพอร์ตเตอร์ส (The Reporters) ยืนยันว่าเอกสารฉบับดังกล่าวไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย และจะไม่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในอนาคต

“การที่เราเซ็นกับสหรัฐฯ ได้ เราก็เซ็นกับจีนก็ได้ ไม่ใช่การค้าเหมือน FTA ข้อตกลงการค้าเสรี เราเป็นภาคีกับประเทศนี้ ก็ไม่ใช่จะให้ประโยชน์กับประเทศนี้เท่านั้น เราจะดูแลให้อีกประเทศหนึ่งได้เหมือนกัน” นางศุภจีกล่าว

เช่นเดียวกันกับ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ที่ชี้แจงเมื่อวานนี้ (28 ต.ค.) ว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่ใช่เรื่องผูกมัดเฉพาะที่ไทยทำได้กับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ไทยสามารถทำกับประเทศอื่น ๆ ได้เช่นกัน

“ขอย้ำว่าเป็นความตกลงร่วมมือหรือเอ็มโอยู ซึ่งไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของประเทศใดประเภทหนึ่งประเทศใด แต่สามารถทำได้กับประเทศใด ๆ ก็ได้” นายเอกนิติ ระบุ

เกี่ยวกับสถานะการผูกพันของเอ็มโอยู เรแกน ควอน นักวิจัยในโครงการพลังงานฯ ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศูนย์วิจัยสติมสันเซ็นเตอร์ ตั้งข้อสังเกตกับ.ว่า การที่เอกสารดังกล่าวไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายก็อาจทำให้ทางการจีนไม่ออกมาตอบสนองใด ๆ ต่อการดำเนินการครั้งนี้ของไทยและสหรัฐฯ

ทว่านักวิจัยจากศูนย์วิจัยสติมสันเซ็นเตอร์มองว่า เรื่องนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หากในอนาคตไทยและสหรัฐฯ ร่วมมือกันดำเนินงานหรือจัดทำสัญญาที่มีผลทางกฎหมายด้านแร่ธาตุสำคัญ

“เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจว่า หากเกิดการปฏิบัติตามแนวบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในอนาคต เช่นสิ่งที่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย หรือมีการพัฒนา ด้านแร่ธาตุสำคัญ มากยิ่งขึ้นในไทย…จีนจะต้องออกมาตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวแน่นอน และจีนก็ยังถือเป็นผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ธรายใหญ่ และคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีมาก กว่าที่ประเทศใดก็ตามจะตามทัน” เขาอธิบาย

ความกังวลจากพรรคการเมืองและภาคประชาสังคมมีด้านใดบ้าง ?

หลังการลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวก็เกิดกระแสความไม่เห็นด้วยอีกหลายประเด็น นอกเหนือจากข้อผูกมัดทางกฎหมาย ได้แก่

  • ความโปร่งใสในการแจ้งต่อสาธารณะหรือผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนการลงนาม

นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.เชียงใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) ตั้งคำถามว่าเหตุใดนายอนุทิน จึงต้องลงนามในเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวในพิธีการลงนามในถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งดูจุดประสงค์ไม่สอดคล้องกันนัก

“เราไปลงนามด้านสันติภาพ แล้วแรร์เอิร์ธเกี่ยวอะไรด้วย เพราะมันไม่มีความจำเป็นใด ๆ ในการเซ็นเอ็มโอยูนี้เลย” พร้อมเสริมด้วยว่า แม้นายกฯ บอกว่าได้มีการนำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 21 ต.ค. “ผมรีบกลับไปย้อนดูสรุปผลการประชุม ครม. ทันที เพราะไม่เคยเห็นประเด็นนี้เลย สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องนี้ระบุในสรุปผลประชุม ครม. เลยจริง ๆ” นายภัทรพงษ์ ระบุ

ด้าน น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร สส. จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เผยถึงความกังวลว่ารายละเอียดของการลงนามครั้งนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยให้สาธารณะทราบก่อนจึงอาจเป็นการลงนามที่ขาดความรอบคอบ

“แม้รัฐบาลจะอ้างว่าเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ และไม่มีผลทางกฎหมายเนื่องจากยกเลิกเมื่อไรก็ได้ แต่สิ่งที่ประชาชน และผู้คนในสังคมกังวลคือ ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยบอกประชาชนเลยว่ามีการแอบเจรจาในเรื่องนี้กับใครบ้าง” เธอกล่าว พร้อมระบุว่า กมธ. จะเชิญนายอนุทิน และ และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ มาชี้แจงถึงที่มาที่ไปของการลงนามครั้งนี้

เช่นเดียวกับนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรค พท. ที่ตั้งคำถามถึงรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกฯ ว่า ได้มีการเจรจาเรื่องนี้กับใครก่อนบ้าง เพราะอดีตรองนายกฯ นายพิชัย ชุณหวชิร ก็ออกมาเปิดเผยว่าไทยไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องเอ็มโอยูดังกล่าวกับสหรัฐฯ มาก่อน

“อดีตรองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร แจ้งว่าไม่เคยเจรจาเรื่องนี้กับสหรัฐฯ มาก่อน แล้วรัฐบาลอนุทิน เอาเรื่องนี้มาเริ่มต้นเจรจาตั้งแต่เมื่อไร รอบคอบ รัดกุมก่อนลงนามหรือไม่… เหตุใดจึงไม่มีการสื่อสารกับสภา หรือประชาชนบ้างเลย” นายชนินทร์ ระบุ

ด้านนางศุภจี รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่าบันทึกความเข้าใจนี้เป็นเรื่องใหม่ที่ทางสหรัฐฯ ขอให้ไทยร่วมลงนาม และกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ได้ดูอย่างรอบคอบ “นำเข้าคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนทำการลงนามแล้ว”

ส่วนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ออกมาแถลงด้วยว่า ครม. ได้รับทราบก่อนแล้วในการประชุมนัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 ต.ค. ก่อนที่นายกฯ จะเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม .ไม่พบการกล่าวถึงบันทึกความเข้าใจระหว่างสหรัฐฯ และไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญในสรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี ของวันที่ 21, 23 และ 28 ต.ค. 2568

ข้าม Facebook โพสต์ ยินยอมรับเนื้อหาจาก Facebook

บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Facebook เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Facebook และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก “ยินยอมและไปต่อ”

สิ้นสุด Facebook โพสต์

  • ความเชี่ยวชาญของไทยในอุตสาหกรรมแร่หายาก และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

นายภัทรพงษ์ สส. จากพรรค ปชน. ระบุในโพสต์บนเฟซบุ๊กด้วยว่าตนไม่เห็นด้วยกับการลงนามดังกล่าว เพราะกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ของไทย ยังไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอในอุตสาหกรรมด้านนี้

“ในที่ประชุมอนุ กมธ.มลพิษทางน้ำข้ามแดน กรมฯ (กพร.) ยังไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในประเทศเพื่อนบ้านทำด้วยวิธีอะไร” นายภัทรพงษ์ ระบุ

ขณะที่นายธารา บัวคำศรี ที่ปรึกษากรีนพีซประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้อาจเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมแร่แรร์เอิร์ธ เช่น โรงถลุงแรร์เอิร์ธ (processing facility) จากสหรัฐอเมริกามาตั้งฐานการผลิตในไทย และ “หากรัฐบาลไทยไม่ดูตาม้าตาเรือ เราจะได้มลพิษกัมมันตรังสี เป็นของแถมพ่วงมาด้วย แม้ว่าเราจะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ แต่เป็นนั่นก็เป็นเพียงเสือกระดาษ” นายธาราระบุ

ที่มาของภาพ : SHRF

ภาพการทำเหมืองแร่ด้วยวิธีการชะล้างในแหล่งแร่ในเหมืองแห่งหนึ่งในเมืองป้อก รัฐฉาน เมื่อปี 2568

ความคิดเห็นข้างต้นสอดคล้องกับความกังวลของนักวิชาการที่.ได้พูดคุยด้วย

ไบรอัน อีย์เลอร์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศูนย์วิจัยสติมสัน เซ็นเตอร์ กล่าวว่า การที่สหรัฐฯ เลือกไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแร่ธาตุสำคัญ ก็ทำให้เขา “ตกใจอยู่ประมาณหนึ่ง” เพราะ “อุตสาหกรรมแร่หายากและแร่ธาตุสำคัญในไทยยังค่อนข้างพัฒนาไม่เต็มที่”

เขากล่าวต่อไปว่า แต่ประเทศเมียนมาที่มีชายแดนติดอยู่กับประเทศไทยทางภาคเหนือถือเป็น “ผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ธรายใหญ่” โดยส่วนใหญ่มาจากการ “ทำเหมืองผิดกฎหมายหรือการทำเหมืองโดยไม่มีการควบคุม” และรายงานว่าเป็นสาเหตุของการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก

“เหมืองแร่เหล่านั้นบางเหมืองตั้งอยู่ใกล้กับประเทศไทย บางคนก็อาจจะจินตนาการได้ว่า หลังการลงนามเอ็มโอยู ไทยอาจนำเข้าวัตถุบางอย่างเพื่อมาแปรรูป ถลุง และใช้งาน ” ไบรอันอธิบาย

ขณะที่เรแกน นักวิจัยจากสติมสันเซ็นเตอร์ บอกกับ.ว่า จากการศึกษาเขาพบว่ามีเหมืองจำนวนหนึ่งในลาวที่มีการปฏิบัติการคล้ายกับเหมืองแร่หายากในเมียนมาด้วย

“ถ้าไทยจะกลายเป็นอีกศูนย์กลางการถลุงแร่แรร์เอิร์ธที่อยู่ใกล้ชิดกับประเทศจีน ผมคิดว่านั่นอาจทำให้ปัญหา แม่น้ำปนเปื้อนสารพิษ ในภาคเหนือของไทยและในเมียนมาจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น” เรแกนบอกกับ.

สถานการณ์แหล่งแร่แรร์เอิร์ธของไทย

ที่มาของภาพ : Getty Photographs

แร่ดิบที่ขุดได้จากเหมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

แร่หายากหรือแร่แรร์เอิร์ธ คือกลุ่มของธาตุ 17 ชนิด ที่มีอยู่มากมายในธรรมชาติ แต่เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแร่หายากเพราะพบได้น้อยมากในรูปแบบบริสุทธิ์ และเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการสกัด

แร่แรร์เอิร์ธถูกนำมาใช้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีมากมาย เช่น ฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์ มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องยนต์เจ็ท และอุปกรณ์ทางทหาร โดยมันทำให้วัตถุมีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แล้วไทยมีแหล่งแร่แร่เอิร์ธอยู่ที่ส่วนไหนของประเทศบ้าง และกำลังผลิตแร่ของไทยมีมากน้อยแค่ไหน

ข้อมูลสถิติการผลิตแร่ของประเทศไทย จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ล่าสุดเมื่อปี 2566 ระบุว่า ไทยมีกำลังการผลิตแร่กว่า 40 ชนิด เป็นปริมาณราว 244,227,948 ตัน รวมเป็นมูลค่า 72,528 ล้านบาท

จากรายงานฉบับสมบูรณ์การกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมือง ในปีงบประมาณ 2565 ของกรมทรัพยากรธรณี ระบุว่ามีแหล่งที่ถูกระบุว่าเป็นแร่หายาก ทั้งหมด 37 แหล่งกระจายอยู่ใน 10 จังหวัด แบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามหน่วยปริมาณประกอบด้วย เมตริกตัน และโลหะตัน คือ

  • แม่ฮ่องสอน: 1,763,950 เมตริกตัน
  • เชียงราย: 487,090 เมตริกตัน
  • สุราษฎร์ธานี: Forty eight,906 เมตริกตัน
  • กาญจนบุรี: 30,800 เมตริกตัน
  • ชุมพร: 24,984 เมตริกตัน
  • ระนอง: 20,653.11 เมตริกตัน
  • อุทัยธานี: 7,624.01 เมตริกตัน
  • พังงา: 3,410.43 เมตริกตัน
  • ประจวบคีรีขันธ์: 227,298.89 โลหะตัน
  • เพชรบุรี: 18,062 โลหะตัน

ตัวเลขของกำลังผลิตแร่แรร์เอิร์ธของไทยยังมีข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐอเมริกา (USGS ) ที่ระบุว่า ไทยมีกำลังผลิตแร่แรร์เอิร์ธของไทยเพิ่มขึ้นจาก 3,600 ตัน ในปี 2566 เป็น 13,000 ตัน ในปี 2567 และยังมีแร่แรร์เอิร์ธในแหล่งสำรองถึง 4,500 ตัน

ในขณะที่ภาพรวมระดับโลก สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุว่าการผลิตแร่หายากจากเหมืองทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 390,000 ตัน โดยเป็นผลมาจากการทำเหมืองและการแปรรูปที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน ไนจีเรีย และไทย

นอกจากนี้ จากการเปิดเผยของนักวิจัยศูนย์วิจัยสติมสันเซ็นเตอร์ ระบุว่าไทยยังมีบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีแปรรูปและรีไซเคิลแร่หายาก สัญชาติแคนาดาใน จ.นครราชสีมา อีกด้วย

“ประเทศไทยมีโรงงานหนึ่งที่แปรรูปผงแร่แรร์เอิร์ธในโคราช โดยนั่นเป็นแห่งเดียวที่เราทราบที่อยู่ในไทย… แม้ว่าจะไม่มีเอกสารสาธารณะที่บันทึกว่าแร่มาจากไหน แต่เราสงสัยว่ามันมาจากประเทศจีน เพราะจีนเป็นผู้ผลิตเจ้าเดียวที่สามารถจะผลิตแร่ในจำนวนที่ต้องใช้โรงงานดังกล่าวในการถลุง” เรแกน กล่าวกับ.

ส่วนสถิติการส่งออกแร่ของประเทศไทย จาก กพร. ย้อนหลัง 4 ปีพบว่าอยู่ที่ตั้งแต่ 8.9-11 ล้านตันต่อปี โดยมีตัวเลขการส่งออกย้อนหลัง ดังนี้

ปี 2564 ไทยส่งออกแร่เป็นจำนวนราว 11,049,463 ตัน รวมเป็นมูลค่า 19,571 ล้านบาท

ปี 2565 ไทยส่งออกแร่เป็นจำนวนราว 10,501,572 ตัน รวมเป็นมูลค่า 21,566 ล้านบาท

ปี 2566 ไทยส่งออกแร่ เป็นจำนวนราว 8,948,385 ตัน รวมเป็นมูลค่า 17,324 ล้านบาท

ปี 2567 ไทยส่งออกแร่เป็นจำนวนราว 9,372,095 ตัน รวมเป็นมูลค่า 19,193 ล้านบาท

เกี่ยวกับสถานการณ์แร่ของไทย นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดี กพร. เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 ต.ค. ว่า แม้แร่แรร์เอิร์ธจะมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย เช่น ในภาคตะวันตก ภาคใต้ แต่กลับไม่พบในพื้นที่อย่างกระจุกตัว และปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าการทำเหมืองแร่จะ “มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์” แต่ “ก็ไม่ขัดข้องเพราะเราก็เปิดกว้างอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรการทางสิ่งแวดล้อม”

ทำไมสหรัฐฯ อยากได้ความร่วมมือหลายชาติด้านแร่ธาตุสำคัญ

ที่มาของภาพ : AFP by the usage of Getty Photographs

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2568

ตั้งแต่การกลับมารับตำแหน่งสมัยที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เขาได้ออกคำสั่งเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศอย่างรุนแรง โดยอ้างว่านโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตและการจ้างงานของสหรัฐฯ

แต่ประเทศที่ถูกกำหนดมาตรการเก็บภาษีสูงที่สุดคือจีน ที่เคยถูกตั้งกำแพงภาษีสูงกว่า 100% ทำให้จีนโต้ตอบด้วยหลายมาตรการ ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้าสูงและการพิจารณาลดการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ

จีนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในการแปรรูปและส่งออกแรร์เอิร์ธ โดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในปี 2568 ประมาณการว่าจีนมีส่วนแบ่งการผลิตแร่ธาตุหายากประมาณ 61% และ ครอบครองขั้นตอนการแปรรูปแร่แรร์เอิร์ธกว่า 92%

ขณะที่รายงานทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ ระบุว่าระหว่างปี 2020-2023 สหรัฐฯ พึ่งพาจีนในการนำเข้าสารประกอบและแร่ธาตุหายากทั้งหมด 70%

ที่มาของภาพ : Getty Photographs

สถิติดังกล่าวทำให้จีนมีอำนาจต่อรองในสงครามการค้าที่กำลังดำเนินอย่างต่อเนื่องกับสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. จีนได้ตอบโต้ต่อนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากบางชนิดที่มีความสำคัญต่อภาคการป้องกันประเทศ ทำให้ทางการสหรัฐฯ ออกมาระบุว่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าจีนเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นการโต้กลับ ก่อนที่จีนจะชะลอนโยบายดังกล่าวเพื่อเจรจากับสหรัฐฯ ต่อไป

ปลายเดือน ต.ค. ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน มีกำหนดจะพบปะกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญบอกกับบีบีซีว่ามาตรการใหม่เกี่ยวกับแร่หายากนี้จะทำให้จีนได้เปรียบ

ทว่าในการเยือนเอเชียของทรัมป์ตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในข้อตกลงหลายฉบับกับทั้งญี่ปุ่น มาเลเซีย ไทย เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ขนาดและสาระสำคัญ ยังไม่นับรวมการลงนามกับออสเตรเลียก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์

นายไบรอัน จากศูนย์วิจัยสติมสันเซ็นเตอร์ ชี้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่สหรัฐฯ จะพยายามหาแหล่งแร่ร์เอิร์ธมาเพื่อมาทดแทนสัดส่วนที่มาจากจีน เพราะส่วนหนึ่งก็เพื่อลดการพึ่งพาจีนของสหรัฐฯ

“ดูเหมือนว่าสหรัฐฯ กำลังต้องลดการพึ่งพาการซื้อแร่แรร์เอิร์ธจากจีน หรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยแร่หายากจากจีน ด้วยการพยายามสร้างกลุ่มอุปทานใหม่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลของทรัมป์จึงออกไปเซ็นข้อตกลงกับญี่ปุ่น มาเลเซีย และประเทศไทย เรื่องแร่แรร์เอิร์ธ” ไบรอันกล่าว

ท้ายที่สุดแล้วการลงนามกับหลายชาติในเอเชีย รวมถึงออสเตรเลียอาจท้าทายอิทธิพลของจีนที่ยึดกุมแร่แร์เอิร์ธเอาไว้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่ามันจะเป็นกระบวนการที่ใช้เงินมหาศาลที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผล

“การสร้างเหมืองแห่งใหม่ การสร้างโรงกลั่นแร่ และโรงงานแปรรูปในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และยุโรป ต้องใช้เงินทุนสูงมาก มีกฎระเบียบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เคร่งครัดกว่า และมีค่าจ้างแรงงานที่สูงกว่า รวมทั้งต้องใช้พลังงานมากกว่า เมื่อเทียบกับจีน” แพทริก ชโรเดอร์ นักวิจัยรับเชิญอาวุโสจากศูนย์สิ่งแวดล้อมและสังคมแห่งสถาบันแช็ตแฮมเฮาส์ เขียนในบทบรรณาธิการ

หากเกิดความร่วมมือขึ้นจริง ไทยควรระวังเรื่องใดบ้าง ?

ที่มาของภาพ : Getty Photographs

เรแกนอธิบายว่า ประเทศไทยอยู่ใน “ตำแหน่งที่ไม่เหมือนใคร” คือการที่มีเหมืองแรร่แรร์เอิร์ธตั้งอยู่ต้นน้ำแม่น้ำกก และจะได้รับผลกระทบจากแม่น้ำที่ไหลลงมาตามเส้นทางของแม่น้ำ และ “หากประเทศไทยจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่แรร์เอิร์ธจากเมียนมา หรือเปิดพื้นที่พรมแดน เราจะเห็นเหมืองแร่ในรัฐฉาน ในเมียนมา ที่เพิ่มมากขึ้น” เขากล่าว

เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ระบุว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าแม่น้ำกกปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน

“พบว่าแหล่งกำเนิดหลักของการปนเปื้อนมาจากเหมืองแร่หายากประมาณ 70% และมาจากเหมืองทองคำในประเทศเมียนมาประมาณ 30%” สกสว. ระบุ

สกสว. ระบุด้วยว่า การที่พบปลาสุขภาพอ่อนแอติดเชื้อง่ายจากการปนเปื้อนพิษในแม่น้ำ “ถือเป็นตัวชี้วัดทางชีวภาพ ที่สำคัญที่เตือนให้แก้ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างเร่งด่วน”

นอกจากนี้ เรแกนยังแสดงความกังวลด้วยว่า เคยมีกรณีที่เคยเกิดขึ้นของบริษัทเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ไลนาส (Lynas) ในประเทศมาเลเซีย ที่มีปัญหาเรื่องการจัดการและกำจัดกากของเสียกัมมันตรังสีปริมาณมาก และปนเปื้อนน้ำใต้ดินที่รายล้อม ในช่วงเวลาราว 20 ปี โรงงานผลิตของเสียกว่า 6 ล้านตัน สร้างอันตรายต่อสุขภาพคนในชุมชนและทำลายระบบนิเวศ

“ผมกังวลว่าเราจะเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดซ้ำอีกครั้ง เพราะชุมชนรอบข้างเหมืองจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือเกี่ยวข้องใด ๆ และพวกเขาก็จะไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ จากเรื่องนี้โดยตรงด้วย” เขากล่าว

ทั้งนี้.ได้รับรายงานมาว่าเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมาได้มีการสำรวจพื้นที่บริเวณภูเขาใน จ.เชียงราย สำหรับการทำเหมือง และข้อมูลดังกล่าวทำให้ไบรอัน “กังวลใจอย่างมาก” เพราะ “หากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธจะเกิดขึ้นในไทย นโยบายการคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจะต้องถูกสร้างขึ้น บังคับใช้ เพื่อปกป้องชุมชน แม่น้ำ และระบบนิเวศ ต้องไม่ยิ่งไปซ้ำเติมปัญหาที่แย่อยู่แล้ว” เขากล่าวเสริม

ที่มาของภาพ : Thai Knowledge Pix

ชาวบ้านใน จ.เชียงราย ผู้ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกกขุ่นข้นและยังเจือสารปนเปื้อนในน้ำจัดกิจกรรมเพื่อปกป้องแม่น้ำกก เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2568

แม้บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวจะชี้ว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ หรือการสกัด การแปรรูป และการรีไซเคิลแร่หายากใด ๆ จะต้องเป็นไปมาตรฐานสากล และกฎหมายของประเทศนั้น ๆ แต่ไบรอัน อธิบายว่ามาตรฐานสากลเกี่ยวกับการจัดการแร่แรร์เอิร์ธนั้นยังล้าหลังอยู่มาก

“หากเทียบกับการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจดิจิทัล และความต้องการของพลังงานทดแทน หลักปฏิบัติสากลในเรื่องนี้ก็ถือว่าล้าหลังมาก” เขาอธิบาย

ไบรอันเสริมด้วยว่าปัญหาการออกใบอนุญาตทำเหมืองแร่เป็นอีกข้อท้าทายที่รัฐบาลไทยต้องใส่ใจ “เป็นพิเศษ”

“กระบวนการออกใบอนุญาต ทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ต้องถูกตรวจสอบอย่างระมัดระวังสูงสุด และการดำเนินการตามสัญญาและการกำกับดูแลจำเป็นต้องถูกติดตามจนถึงขั้นสูงสุดด้วยการตรวจสอบของกฎหมาย” เขาอธิบาย

เช่นเดียวกันกับ รายงานจากสถาบันวิจัยอาชญากรรมและความยุติธรรมระหว่างภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ (UNICRI) ที่ระบุถึงปัญหาการทำเหมืองผิดกฎหมายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เกิดจากโครงสร้างของเหมืองแร่หายากที่ซับซ้อน และการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ

“การทำเหมืองผิดกฎหมายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักดำเนินการในลักษณะการทำงานขนาดใหญ่ที่แฝงด้วยภาพลักษณ์ความถูกต้องตามกฎหมายมากกว่าการทำเหมืองที่ผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง”

ไบรอันแสดงทัศนะกับ.ด้วยว่า รัฐบาลไทยควรทำให้มั่นใจว่าการลงทุนในการทำเหมือง การศึกษา หรือสกัดแร่แรร์เอิร์ธในอนาคตจะส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

“ไทยควรเสริมสร้างเสริมสร้างกฎระเบียบเรื่องการทำเหมืองและการสกัดแร่แรร์เอิร์ธ และต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนต่อประชาชนด้วย เพราะขณะนี้รัฐบาลไทยไม่ได้ทำงานได้ดีกับชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วในแง่ของการปนเปื้อนสารพิษของแม่น้ำ ดิน และตะกอน ที่ส่งผลต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของพวกเขา” เขากล่าวทิ้งท้าย