
หากอิหร่านระงับความร่วมมือกับองค์กรเฝ้าระวังด้านนิวเคลียร์ของยูเอ็น จะเกิดอะไรขึ้น และสำคัญอย่างไร ?

ที่มาของภาพ : AFP
Article Knowledge
-
- Author, บีบีซี แผนกภาษาเปอร์เซีย
- Role,
รัฐสภาอิหร่านผ่านร่างกฎหมายระงับความร่วมมือกับสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (Global Atomic Vitality Agency – IAEA) ซึ่งเป็นหน่วยงานพลังงานปรมาณูแห่งสหประชาชาติ โดยอ้างถึงการโจมตีทางอากาศล่าสุดของอิสราเอลและสหรัฐอเมริกาต่อฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ความเคลื่อนไหวนี้ยกระดับความตึงเครียดกับสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และอาจทำให้เกิดช่องโหว่ครั้งใหญ่ในการตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านในระดับโลก
ร่างกฎหมายซึ่งผ่านความเห็นชอบเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จะมีผลระงับการตรวจสอบ การเฝ้าระวังกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการรายงานโดยเจ้าหน้าที่ของ IAEA ทั้งหมด
แม้ว่าร่างกฎหมายนี้ยังต้องได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน แต่ก็ถือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนนโยบายอย่างมีนัยสำคัญของรัฐบาลอิหร่านต่อโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา
อิบราฮิม เรซาอี สมาชิกรัฐสภาและโฆษกคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่า มาตรการนี้มีขึ้นเพื่อยืนยันอธิปไตยของอิหร่าน และตอบโต้สิ่งที่เขาเรียกว่า “หน่วยงานทางการเมือง”
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายดังกล่าวอาจถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองทางการทูต โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณของความพยายามฟื้นฟูการเจรจากับชาติตะวันตก และประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ก็แสดงท่าทีพร้อมกลับเข้าสู่การเจรจานิวเคลียร์กับสหรัฐฯ อีกครั้ง
ทำไมจึงเป็นตอนนี้ ?
การตัดสินใจของรัฐสภาอิหร่านมีขึ้นหลังจากการโจมตีทางอากาศไปมาเป็นเวลา 12 วัน ซึ่งรวมทั้งการโจมตีฐานนิวเคลียร์หลายแห่งในอิหร่าน เช่น ฟอร์โดว์ นาตันซ์ และอิสฟาฮาน โดยกองกำลังอิสราเอลและสหรัฐฯ
หลังจากนั้นอิหร่านจึงตอบโต้ด้วยการยิvขีปนาวุธใส่อิสราเอลและฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์
การเคลื่อนไหวของรัฐสภาอิหร่านถูกหลายฝ่ายมองว่าเป็นการตอบโต้ทางการเมืองต่อทั้งการโจมตีทางอากาศและมติล่าสุดของ IAEA ที่กล่าวหา อิหร่านว่าไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีด้านการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
มติดังกล่าวถูกประกาศเพียงหนึ่งวันก่อนที่อิสราเอลจะเริ่มการโจมตี ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่านเชื่อว่าเป็นการเปิดทางให้เกิดปฏิบัติการทางทหารดังกล่าว
บทบาทของ IAEA ในอิหร่านเป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : IRNA/AFP by job of Getty
IAEA มีบทบาทสำคัญในการติดตามโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านมานานกว่า 20 ปี
ในปี 2015 อิหร่านได้ทำข้อตกลงระยะยาวเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์กับกลุ่มประเทศมหาอำนาจ 6 ชาติ ได้แก่ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย และเยอรมนี
ตามเงื่อนไขของข้อตกลงดังกล่าว อิหร่านยอมจำกัดระดับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม และเปิดทางให้มีการตรวจสอบจากนานาชาติที่เข้มข้นขึ้น แลกกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร
อย่างไรก็ตาม ในปี 2018 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้และนำมาตรการคว่ำบาตรกลับมาใช้อีกครั้ง ส่งผลให้อิหร่านเริ่มเพิกเฉยต่อข้อตกลงบางส่วน เช่น การเสริมสมรรถนะยูเรเนียมในระดับที่สูงขึ้น จำกัดการเข้าถึงของผู้ตรวจสอบนานาชาติ และถึงขั้นปิดกล้องเฝ้าระวังของสหประชาชาติในฐานทัพนิวเคลียร์บางแห่ง
แม้เงื่อนไขการตรวจสอบจะลดลง แต่ IAEA ยังคงดำเนินการตรวจสอบขั้นพื้นฐาน เนื่องจากอิหร่านยังคงเป็นภาคีของสนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Non-Proliferation Treaty – NPT)
ก่อนเกิดความขัดแย้งในเดือน มิ.ย. 2025 เจ้าหน้าที่ของ IAEA ยังประจำการในอิหร่าน และได้ยืนยันยูเรเนียมคงเหลือของอิหร่านว่ามีมากกว่า 400 กิโลกรัม โดยเสริมสมรรถนะถึงระดับ 60% แม้ยังไม่ถึงเกณฑ์อาวุธนิวเคลียร์ แต่ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงและเกินความจำเป็นสำหรับการใช้งานพลเรือนทั่วไป
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. คณะกรรมการบริหารของ IAEA ได้ผ่านมติกล่าวหาอิหร่านว่าไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในฐานะสมาชิก NPT โดยระบุว่าอิหร่านปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่สามารถชี้แจงร่องรอยยูเรเนียมในจุดที่ไม่ได้ประกาศไว้ และลดทอนการเฝ้าระวังของ IAEA ลง
มติดังกล่าวผ่านการรับรองด้วยเสียงสนับสนุนจาก 19 ใน 35 ประเทศสมาชิกคณะกรรมการ ได้แก่ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี ขณะที่รัสเซีย จีน และบูร์กินาฟาโซ (ประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก) ลงมติคัดค้าน
อิหร่านประณามมติว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเพียงหนึ่งวันให้หลัง อิสราเอลก็เริ่มโจมตีเป้าหมายสถานที่นิวเคลียร์หลายแห่งในอิหร่าน
สองมาตรฐาน ?

ที่มาของภาพ : Anadolu/AFP by job of Getty Photos
ความไม่พอใจของอิหร่านต่อ IAEA สะท้อนจากสิ่งที่มองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยยกกรณีเมื่อปี 2022 ที่กองทัพรัสเซียยึดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริชเชียของยูเครน ซึ่งในขณะนั้น ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA ได้ออกมาเตือนอย่างรุนแรง และกล่าวหารัสเซียว่า “เล่นกับไฟ”
แต่เมื่อเกิดการโจมตีล่าสุดต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน กรอสซีกลับไม่เอ่ยชื่ออิสราเอลหรือสหรัฐฯ โดยออกแถลงการณ์เพียงในลักษณะทั่วไปว่า ไม่ควรมีการโจมตีใกล้สถานที่นิวเคลียร์ใด ๆ
ในการให้สัมภาษณ์กับ CNN เมื่อต้นสัปดาห์ กรอสซีปกป้องจุดยืนของตน โดยกล่าวว่า “หน้าที่ของผมไม่ใช่การกล่าวโทษ แต่คือการคุ้มครองระบบการตรวจสอบและป้องกันอุบัติเหตุ ผมเตือนมาตลอดว่าไม่มีฝ่ายใดควรโจมตีฐานทัพนิวเคลียร์”
หลังการหยุดยิvระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล กรอสซีเสนอให้มีการเจรจา โดยเขาโพสต์ข้อความในเอ็กซ์ว่า “การกลับมาร่วมมือกับ IAEA คือกุญแจสู่ข้อตกลงทางการทูตที่สำเร็จ” พร้อมระบุว่า “ผมเสนอขอพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศอารักชีโดยเร็วที่สุด”
IAEA ระบุว่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบยังคงอยู่ในอิหร่านตลอดช่วงความขัดแย้ง แต่ได้ระงับภารกิจตรวจสอบชั่วคราวด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และในขณะนี้พร้อมกลับไปยังสถานที่ตรวจสอบอีกครั้งแล้ว
การเรียกร้องให้ IAEA กลับเข้ามาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน

ที่มาของภาพ : AFP
ผู้อำนวยการใหญ่ IAEA ระบุในระหว่างที่เขาอยู่ในออสเตรียเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า “ภารกิจอันดับหนึ่ง” ของเขาคือ การนำเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกลับเข้าสู่โรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยเร็ว โดยเฉพาะ โรงงานเสริมสมรรถนะ 3 แห่งที่ถูกโจมตีเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. เพื่อประเมินความเสียหายและตรวจสอบสถานะของยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ
เมื่อถูกถามถึงยูเรเนียมเสริมสมรรถนะระดับ 60% ของอิหร่านโดยเฉพาะ กรอสซีเปิดเผยว่ารัฐบาลอิหร่านได้ส่งจดหมายถึงเขาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ระบุว่าจะใช้ “มาตรการพิเศษ” เพื่อปกป้องวัสดุนิวเคลียร์และอุปกรณ์
อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่าเนื้อหาในจดหมาย ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียด
“พวกเขาไม่ได้อธิบายว่าหมายถึงอะไร แต่ชัดเจนว่าเจตนานั้นแอบซ่อนอยู่ เราคาดได้ว่าวัสดุนั้นยังอยู่” ซึ่งอาจหมายความว่าสต๊อกยูเรเนียมเสริมสมรรถนะของอิหร่านอาจรอดพ้นจากความเสียหาย
ในบรรยายสรุปแยกต่างหากต่อคณะกรรมการ IAEA กรอสซียืนยันว่า มีการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีและสารเคมีเฉพาะจุด ที่ฟอร์โดว์และนาตันซ์ แต่ ไม่มีการตรวจพบรังสีเกินมาตรฐานนอกพื้นที่โรงงาน
เขาย้ำเตือนว่า: “พื้นที่โรงงานนิวเคลียร์ไม่ควรถูกโจมตีโดยเด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงต่อผลกระทบทางรังสีอย่างรุนแรง”
หากอิหร่านระงับความร่วมมือทั้งหมดกับ IAEA จริง ประชาคมโลกจะสูญเสียความสามารถในการติดตามแบบเรียลไทม์ ต่อหนึ่งในโครงการนิวเคลียร์ที่อ่อนไหวที่สุดในโลก
นักการทูตชาติตะวันตกเตือนว่า สถานการณ์นี้อาจเป็น จุดวิกฤตที่สุดของระบบเฝ้าระวังนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ นับตั้งแต่เกาหลีเหนือถอนตัวจาก IAEA ในปี 2003
อนาคตข้างหน้าจึงขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยสำคัญ คือ อิหร่านจะบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านรัฐสภาหรือไม่ และกรอสซีจะสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางการทูตก่อนที่ระบบตรวจสอบจะพังทลายโดยสมบูรณ์ได้หรือไม่
ที่มา BBC.co.uk