
เมื่อเกาะสวรรค์ของหนุ่มสาวยุค 1930 กลายเป็น “นรกบนดิน” ที่มีแต่เหตุระทึกขวัญ การทรยศหักหลัง และความรุนแรง

ที่มาของภาพ : Doheny Library Sequence at USC
Article Records
-
- Author, คาริน เจมส์
- Position, บีบีซี คัลเจอร์
หนึ่งในพาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ซึ่งโด่งดังเป็นที่เลื่องลือมากที่สุดในสหรัฐฯ และยุโรป ตอนช่วงยุคทศวรรษ 1930 หรือเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ได้แก่ข้อความที่ว่า “อดัมกับอีฟยุคใหม่ ในสวนสวรรค์อีเดนแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก” และ “จักรพรรดินีผู้บ้าคลั่งในสวนสวรรค์อีเดน” รวมทั้ง “บารอนเนสผู้หิวกระหายไม่รู้จักพอ ได้สร้างสวรรค์ของตนเองขึ้นมา”
ข้อความเหล่านี้บอกเล่าถึงเรื่องราวของ “สวนสวรรค์ส่วนบุคคล” ที่คนกลุ่มหนึ่งได้สร้างขึ้นบนหมู่เกาะกาลาปากอสของประเทศเอกวาดอร์ แต่ในที่สุดสถานที่แห่งนี้กลับกลายเป็นแหล่งรวมสารพัดความชั่วร้าย ตั้งแต่การลวงลวงโป้ปดมดเท็จ, การควบคุมและลวงใช้ประโยชน์จากผู้อื่น, ไปจนถึงการหายตัวอย่างลึกลับของชาวเกาะสวรรค์
เรื่องจริงดังกล่าวถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “อีเดน” (Eden) หรือ “สวรรค์คนบาป” โดยผู้กำกับรอน ฮาวเวิร์ด และเพิ่งลงโรงฉายทั่วโลกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยตัวละครที่มีสีสันมากมาย ทั้งนายแพทย์นักปรัชญาที่เกลียดมนุษย์, คู่สามีภรรยาที่เอาจริงเอาจังและใช้ชีวิตแบบติดดิน, และหญิงผู้เสแสร้งแสดงตัวว่าสูงส่งหรูหรา โดยเธอมักจะบอกใคร ๆ ว่าตนเองมีบรรดาศักดิ์ “บารอนเนส”
นอกจากจะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว เรื่องเหลือเชื่อนี้ยังเคยได้รับการถ่ายทอดลงแผ่นฟิล์มในรูปแบบของสารคดี “เหตุอื้อฉาวหมู่เกาะกาลาปากอส: เมื่อซาตานมาสู่สวนสวรรค์อีเดน” (The Galapagos Affair: Satan Got here to Eden) โดยเดย์นา โกลด์ไฟน์ และ แดน เกลเลอร์ ซึ่งสารคดีดังกล่าวออกเผยแพร่ในปี 2012 และมีการสัมภาษณ์บุคคลจริงที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ที่มาของภาพ : Vertical
ภาพยนตร์ใหม่เรื่องสวรรค์คนบาป เปิดฉากด้วยข้อความที่ว่า “ได้รับแรงบันดาลใจจากปากคำของผู้รอดชีวิต” ซึ่งสื่อความหมายอย่างชัดแจ้งว่าจะต้องมีคนเสียชีวิตอย่างแน่นอน โดยผู้กำกับรอน ฮาวเวิร์ด บอกกับบีบีซีว่า นอกเหนือไปจากพล็อตเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนแล้ว เขาเห็นว่าเหล่าบุคคลจริงในเรื่องยังเป็น “โลกใบเล็กแห่งธรรมชาติของมนุษย์” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Slay of ได้รับความนิยมสูงสุด
“บุคคลเหล่านี้ให้โอกาสเราได้ศึกษาเรียนรู้อย่างสนุกสนานและน่าทึ่ง ภายในเรื่องราวของพวกเขามีทั้งเหตุระทึกขวัญ การทรยศหักหลัง ความรุนแรง และโศกนาฏกรรม แต่ก็มีอารมณ์ขันและความสูงส่งอยู่ด้วย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนหมู่เกาะกาลาปากอส” ฮาวเวิร์ดกล่าว
การที่ฉากหลังของเรื่องคือหมู่เกาะกาลาปากอส ที่ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก เคยมาทำการศึกษาวิจัยเรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งต่อมาได้ให้กำเนิดทฤษฎีอันเลื่องชื่อ “ผู้ที่ปรับตัวได้ดีที่สุดจะอยู่รอด” (survival of the fittest) ทว่าคำกล่าวนี้ยังเบาไป เมื่อเทียบกับเล่ห์เหลี่ยมกลโกงที่จะเอาตัวรอด ของเหล่าชาวเกาะสวรรค์ในภาพยนตร์เรื่องนี้
บุคคลกลุ่มแรกที่เดินทางมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะฟลอเรอานา (Floreana) ซึ่งเป็นเกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะกาลาปากอส เมื่อปี 1929 คือนายแพทย์ฟรีดริช ริตเทอร์ (แสดงโดยจู๊ด ลอว์) และโดเฮอ ชเทาห์ หญิงคนรักที่เป็นเสมือนผู้ช่วยประกอบพิธีกรรมของเขา (แสดงโดยวาเนสซา เคอร์บี)
ทั้งสองโบกมืออำลาบ้านเกิดที่เยอรมนี เพื่อมาทำแผนการใหญ่ที่วางเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง นั่นก็คือการเขียนหนังสือปรัชญา ที่จะมอบทฤษฎีใหม่ในการสร้างอนาคตให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยริตเทอร์ได้สละทิ้งชีวิตอันสะดวกสบายในโลกยุคใหม่ไว้เบื้องหลัง แต่ก็ยังพกพาอุปนิสัยที่ออกจะแปลกประหลาดพิสดารมาที่เกาะแห่งนี้ด้วย เช่นเขาได้ถอนฟันทุกซี่ทิ้งทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่หญิงคนรักของเขาเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำว่า “เขามีนิสัยในการกิน ที่ต้องออกแรงบดเคี้ยวอาหารอย่างหนักทุกคำ จนฟันสึกกร่อนเหลือแต่ตอ”
แผนการแยกตัวโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกของทั้งสอง ต้องพังลงอย่างไม่เป็นท่าในอีกไม่กี่ปีต่อมา เมื่อครอบครัววิตเมอร์ซึ่งย้ายมาจากเยอรมนีเช่นกัน เดินทางมาลงหลักปักฐานที่เกาะฟลอเรอานาด้วย โดยครอบครัวนี้มีสมาชิกสามคน ได้แก่ไฮนซ์ วิตเมอร์ (แสดงโดยแดเนียล บรึล) และมาร์เกร็ต ภรรยาของไฮนซ์ที่กำลังตั้งครรภ์ (แสดงโดยซิดนีย์ สวีนีย์ ที่สวยน้อยลง) รวมทั้งลูกชายวัยรุ่นของทั้งคู่อีกหนึ่งคน
ไฮนซ์รู้เรื่องการทดลองใช้ชีวิตแบบชาวเกาะของริตเทอร์ จากสื่อหลายสำนักของเยอรมนี เพราะเรื่องราวของคู่รักพิสดาร ฟรีดริช ริตเทอร์ และ โดเฮอ ชเทาห์ ได้รั่วไหลไปถึงหูนักข่าวและประชาชนทั่วไป ผ่านทางจดหมายที่ทั้งสองส่งถึงบ้านเกิดเป็นระยะ นอกจากนี้ยังมีงานเขียนบางชิ้นของริตเทอร์ ที่สร้างชื่อเสียงและทำให้ไฮนซ์ วิตเมอร์ นิยมชมชอบในตัวเขาเป็นอย่างมาก จนถึงกับย้ายทั้งครอบครัวมาอยู่เกาะด้วย โดยไฮนซ์หวังว่าสภาพอากาศของเกาะแห่งนี้ จะช่วยให้ลูกชายที่สุขภาพอ่อนแอแข็งแรงขึ้น
เหตุขัดแย้งตึงเครียดทวีความซับซ้อน
ริตเทอร์และหญิงคนรักไม่ได้มองครอบครัววิตเมอร์เป็นเพื่อนบ้าน แต่เห็นว่าพวกเขาคือศัตรูผู้บุกรุกทำลายความสงบสันโดษ ความขัดแย้งตึงเครียดนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อเอลูอิส แวร์บอร์น เดอ วากเนอร์-บอสเคต์ หญิงชาวออสเตรียที่อวยยศให้ตัวเองเป็น “บารอนเนส” (แสดงโดย อนา เด อาร์มาส) เดินทางมาถึงเกาะฟลอเรอานา พร้อมกับหนุ่มคนรักสองคนที่เธอลำเอียงโปรดปรานคนหนึ่งมากกว่า อย่างไรก็ตาม ชายทั้งสองคนล้วนตกเป็นทาสที่อยู่ใต้อำนาจของบารอนเนสกำมะลอผู้นี้
อดีตของเอลูอิสนั้นเต็มไปด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากกว่าข้อเท็จจริง ซึ่งรวมถึงเรื่องที่คนว่ากันว่า เธอเคยเป็นนักเต้นที่คอนสแตนติโนเปิลหรือนครอิสตันบูลของตุรกีในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีข่าวเล่าลือว่า เธอมีแผนการจะสร้างโรงแรมหรูสำหรับนักท่องเที่ยวบนเกาะฟลอเรอานา ทั้งจะติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบจ่ายน้ำประปาในตัวอาคาร รวมถึงนำสิ่งอำนวยความสะดวกและของหรูหราต่าง ๆ มายังเกาะที่ทุรกันดารแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าสร้างความไม่พอใจอย่างมหาศาลให้กับริตเทอร์ ที่เป็นคนปิดตัวและเกลียดสังคมมนุษย์อย่างยิ่ง
ในภาพยนตร์เรื่องสวรรค์คนบาป บารอนเนสกำมะลอมาถึงชายฝั่งของเกาะ โดยหนุ่มคนรักทั้งสองแบกเธอไว้บนบ่าขณะลงจากเรือ เสมือนว่าเธอเป็นเทพธิดาองค์หนึ่งก็ไม่ปาน ผู้กำกับรอน ฮาวเวิร์ด ให้คำอธิบายถึงฉากนี้ว่า แม้เขาจะพยายามสร้างฉากและตัวละครให้สมจริงเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้วก็จำต้อง “ลดทอนความแรงในบุคลิกของบารอนเนสผู้นี้ ให้อ่อนลงไปบ้างสักเล็กน้อย เพราะหากปล่อยให้ อนา เด อาร์มาส สวมบทบาทตัวตนของเธออย่างสมจริงเต็มที่ เหมือนกับการวางตัวของบารอนเนสกำมะลอในชีวิตจริง ที่เต็มไปด้วยการเล่นละครตลอดเวลา เราห่วงว่ามันจะออกมาเหนือจริงจนล้ำเส้นบางอย่างไป”

ที่มาของภาพ : Doheny Library Sequence at USC
ด้านเดย์นา โกลด์ไฟน์ ผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีฉบับปี 2012 บอกกับบีบีซีว่า “หากจะเปรียบเปรยเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมแนวติดเกาะยุคศตวรรษที่ 18 นายแพทย์ริตเทอร์นั้นก็เหมือนกับโรบินสัน ครูโซ ส่วนครอบครัววิตเมอร์ก็คือครอบครัวโรบินสันที่เป็นชาวสวิส ส่วนคุณหญิงบารอนเนสนั้น…ไม่มีใครจะเทียบได้กับเธอเลย”
บารอนเนสผู้อวยยศให้ตนเองสร้างวีรกรรมไว้หลายอย่าง เธอตั้งค่ายพักในระยะประชิดติดกับครอบครัววิตเมอร์อย่างน่าเกลียด แถมยังลงอาบน้ำในบ่อที่เป็นแหล่งน้ำดื่มแห่งเดียวของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังชอบลักเล็กขโมยน้อย โดยแอบฉกเอาเสบียงอาหารมาจากทั้งสองครอบครัวเพื่อนบ้าน
คุณหญิงบารอนเนสและสองหนุ่มคนรักของเธอ มักจัดงานปาร์ตี้โดยทำเสียงดังลั่นกรอกหูครอบครัววิตเมอร์บ่อย ๆ หลังจากย้ายมาอยู่เกาะได้ไม่นานนัก เธอก็เริ่มยุยงและปั่นหัวให้เพื่อนบ้านสองครอบครัวทะเลาะวิวาทกันเอง ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย “เพราะครอบครัวริตเทอร์กับครอบครัววิตเมอร์นั้นเกลียดขี้หน้ากันอยู่แล้ว” โกลด์ไฟน์กล่าว
โดเฮอซึ่งเป็นหญิงคนรักของนายแพทย์ริตเทอร์ เป็นคนที่มีจิตวิญญาณรักอิสระ ทำให้เธอรู้สึกชิงชังมาร์เกร็ต ที่ทำตัวอยู่ในกรอบของแม่บ้านเยอรมันขนานแท้ แต่โดเฮอกลับลืมไปว่า ตัวเองก็ถูกชายคนรักบังคับควบคุม ให้ติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษยิ่งกว่าคู่สามีภรรยาวิตเมอร์เสียอีก
ในตอนที่มาร์เกร็ตใกล้คลอด นายแพทย์ริตเทอร์กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยที่จะช่วยทำคลอดให้เธอ ฉากนี้ในภาพยนตร์เรื่องสวรรค์คนบาป จำลองเหตุการณ์ที่มาร์เกร็ต (แสดงโดยซิดนีย์ สวีนีย์) ต้องไปคลอดลูกคนเดียวในถ้ำ ซึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวเธอก่อนสร้างบ้านขึ้นบนเกาะ ขณะที่เบ่งคลอดเธอร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จนฟังดูคล้ายกับเสียงหอนของสุนัขป่าที่กำลังจ้องทำร้ายเธอและลูก
เมื่อเปรียบเทียบเนื้อหาระหว่างภาพยนตร์เรื่องล่าสุดกับสารคดีปี 2012 จะเห็นได้ว่าจู๊ด ลอว์ มีความคล้ายคลึงอยู่ลาง ๆ เมื่อเทียบกับนายแพทย์ริตเทอร์ตัวจริง ที่ทั้งผอมและดูตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ส่วนอนา เด อาร์มาส ในบทบาทบารอนเนสกำมะลอ ได้ทำให้ตัวละครนี้สามารถเปล่งประกายของดาราฮอลลีวูดออกมา
ภาพยนตร์สารคดีฉบับปี 2012 สร้างขึ้นจากฟิล์มภาพยนตร์เก่าจำนวนมากที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นหนังสั้นที่อลัน แฮนด์ค็อก มหาเศรษฐีชาวอเมริกันถ่ายเอาไว้เอง ระหว่างการเดินทางไปเยือนเกาะฟลอเรอานาหลายครั้ง คนรวยจากรัฐแคลิฟอร์เนียผู้นี้ มักออกเงินสนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มใหญ่ ล่องเรือมาสำรวจหมู่เกาะกาลาปากอสเป็นประจำ ในหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่ลูกเรือของแฮนด์ค็อกได้ถ่ายไว้ บันทึกภาพของบารอนเนสชาวเกาะ พร้อมกับระบุคำบรรยายอันโหดร้ายเอาไว้ด้วยว่า “เธอไม่สวย แต่มีเสน่ห์ดึงดูดพอจะล่อลวง ให้ชายชาวยุโรปสองคนมาติดเกาะด้วยกันได้”
แฮนด์ค็อกยังเขียนบทภาพยนตร์ และถ่ายทำหนังเงียบขนาดสั้นเรื่องหนึ่งร่วมกับบารอนเนสกำมะลอ โดยตั้งชื่อว่า “จักรพรรดินีแห่งฟลอเรอานา” คุณหญิงบารอนเนสรับบทตัวละคร “โจรสลัดสาว” ซึ่งมีบุคลิกคล้ายคลึงกับตัวเธอเอง ส่วนนายโรเบิร์ต ฟิลลิปสัน ชายคนรักคนหนึ่งของเธอในชีวิตจริง ก็ได้รับบทคนรักของจอมโจรหญิงด้วย
ตามท้องเรื่องของหนังเงียบเรื่องนี้ โจรสลัดสาวทิ้งคนรักเก่า เพื่อไปยั่วยวนชายคนหนึ่งที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน แต่เขากลับจับพลัดจับผลูมาติดเกาะเสียได้ (แสดงโดยเอเมอรี จอห์นสัน ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสมาชิกทีมสำรวจของแฮนด์ค็อก) ผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีฉบับปี 2012 ยังเล่าไว้ด้วยว่า “คุณหญิงบารอนเนสเคร่งเครียดจริงจังมาก กับการเขียนบทและการแสดงในครั้งนี้ เพราะเธอคิดว่ามันอาจเป็นการคัดเลือกนักแสดงดาวรุ่ง สำหรับโครงการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใหญ่กว่าและดีกว่า”
โกลด์ไฟน์ และ เกลเลอร์ รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหาของภาพยนตร์สารคดีปี 2012 จากบทความและจดหมายเก่าในยุคทศวรรษ 1930 ที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือบันทึกความทรงจำ “ซาตานมาสู่สวนอีเดน” (Satan Got here to Eden) ของโดเฮอ ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1936 หรือหนังสือบันทึกความทรงจำ “ฟลอเรอานา: การเดินทางแสวงบุญของหญิงคนหนึ่งสู่หมู่เกาะกาลาปากอส” ของมาร์เกร็ต ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1959
ผู้สร้างสารคดีดังกล่าว ได้ให้นักแสดงหญิงระดับตำนาน เคต แบลนเชตต์ พากย์เสียงของโดเฮอจากการอ่านบันทึกความทรงจำของเธอ ส่วนเสียงของมาร์เกร็ตนั้น พากย์โดยนักแสดงหญิงชื่อดัง ไดแอน ครูเกอร์

ที่มาของภาพ : Vertical
ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ หากเรื่องราวที่เล่าขานในบันทึกความทรงจำของหญิงชาวเยอรมันทั้งสองจะไม่ตรงกัน เพราะความเป็นปฏิปักษ์ของทั้งคู่ ทำให้การบรรยายถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบนเกาะฟลอเรอานา ปรากฏออกมาจากมุมมองที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เช่นในเหตุการณ์หนึ่งที่มีคนกำลังจะเสียชีวิต ฝ่ายหนึ่งเล่าว่าเป็นการเสียชีวิตที่สุขสงบและมีศักดิ์ศรี แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับบอกว่า คนเสียชีวิตมีอารมณ์เคียดแค้น พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า “ฉันขอสาปแช่งแกด้วยลมหายใจสุดท้าย”
ปริศนาที่ยังค้างคาใจ
ไม่มีใครล่วงรู้ถึงชะตากรรมของคนที่หายตัวไปบนเกาะฟลอเรอานา และไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “มันคือปริศนาลึกลับ มีบางอย่างที่ทุกคนจะไม่มีวันได้รู้เลย” ฮาวเวิร์ดกล่าว ดังนั้นตัวเขาเองกับโนอาห์ พิงก์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์สวรรค์คนบาป จึงร่วมกันจินตนาการถึงตอนจบและคิดคำเฉลยของปริศนาดำมืดขึ้นมา
“แม้คุณจะสร้างหนังจากเค้าโครงเรื่องจริง แต่มันก็ยังมีบางส่วน ที่ต้องทำให้มีความเป็นภาพยนตร์ด้วย ผมว่าเราต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มันเล่าเรื่องได้” ฮาวเวิร์ดกล่าว โดยไม่ยอมเฉลยปริศนาของภาพยนตร์ออกไปล่วงหน้า ส่วนคนที่ได้ชมตัวอย่างหรือเทรลเลอร์ของหนังเรื่องนี้แล้ว อาจเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมีภาพที่เป็นเบาะแสมากมาย ทั้งภาพมือของใครบางคนชักปืนออกมา ส่วนอีกคนก็ชักมีดออกมาตอบโต้ ในขณะที่มีเสียงของบารอนเนสกำมะลอเอ่ยว่า “เชื่อฉันสิ ภายในช่วงนี้ของปีหน้า ใครคนหนึ่งในหมู่พวกเราจะต้องไปจากเกาะนี้อย่างแน่นอน”
ฮาวเวิร์ดยังเล่าถึงตอนที่เขาค้นคว้าวิจัยเพื่อเตรียมสร้างหนังว่า “เราคิดว่าตอนจบในแบบฉบับของเรานั้น เป็นฉากทัศน์ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในสถานการณ์จริง ทั้งยังเป็นตอนจบที่ได้ลุ้นระทึกและมีความสนุกสนานด้วย แม้จะมีตอนจบที่น่าเบื่อแบบอื่น ๆ ให้เลือกอีกมาก แต่เราตัดสินใจเลือกแบบนี้ และปล่อยให้ผู้ชมตัดสินด้วยลางสังหรณ์ภายในของตัวเอง มันคาดเดาได้ง่ายมากว่าเกิดอะไรขึ้น”
สำหรับผู้สร้างสารคดีอย่างโกลด์ไฟน์และเกลเลอร์ พวกเขามองว่าข้อมูลส่วนใหญ่ ล้วนชี้ไปในทางที่เรื่องนี้จะกลายเป็น “ปริศนาที่ไม่อาจไขให้กระจ่าง” นอกจากนี้พวกเขายังบอกว่า ไม่พบร่องรอยหลักฐานชิ้นใหม่ ๆ ของคดีคนหายบนเกาะฟลอเรอานาเลย ทั้งในระหว่างที่สืบค้นเอกสารเก่าและติดตามพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ทั้งในช่วงหลังจากที่สารคดีออกสู่สายตาสาธารณชนแล้ว
ทุกคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์บนเกาะฟลอเรอานา ปัจจุบันได้ลาโลกไปจนหมดสิ้นแล้ว โดยมีเพียงมาร์เกร็ตที่อยู่จนถึงวัยชราบนเกาะดังกล่าว โกลด์ไฟน์และเกลเลอร์ได้พบกับเธอในปี 1997 ระหว่างไปเยือนเกาะฟลอเรอานาในโครงการถ่ายทำสารคดีเรื่องอื่น ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงก่อนที่มาร์เกร็ตจะเสียชีวิตเพียง 3 ปี
ในตอนนั้นโกลด์ไฟน์และเกลเลอร์ ยังไม่มีความคิดจะสร้างภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับชาวเกาะสวรรค์แห่งนี้เลย แม้จะเคยได้ยินเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นที่นี่ในช่วงทศวรรษ 1930 มาบ้างแล้วก็ตาม นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ได้ค้นพบม้วนฟิล์มภาพยนตร์เก่าของแฮนด์ค็อก ซึ่งถูกทิ้งให้กองทับถมกันอยู่ในซอกหลืบ ที่หอจดหมายเหตุแห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (USC)

ที่มาของภาพ : Doheny Library Sequence at USC
โกลด์ไฟน์และเกลเลอร์ได้พบกับมาร์เกร็ต ในตอนที่เธอมีอายุกว่า 90 ปีแล้ว ผู้ติดต่อประสานงานบนเกาะฟลอเรอานาบอกกับพวกเขาว่า จะช่วยแนะนำตัวพวกเขาให้เธอได้ทำความรู้จัก แต่ห้ามถามหรือเอ่ยถึงเหตุการณ์อื้อฉาวในช่วงทศวรรษ 1930 ให้เธอได้ยินอย่างเด็ดขาด
โกลด์ไฟน์เอ่ยถึงมาร์เกร็ตว่า “เธอดูเหมือนหญิงชราตัวเล็ก ๆ ที่น่ารักทั่วไป” เธอก็เหมือนกับคุณย่าคุณยายคนอื่น ๆ ที่ชอบเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญในอดีต เช่นตอนที่ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ มาเยือนเกาะฟลอเรอานา อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้าย ๆ ของการพบปะพูดคุย เกลเลอร์เริ่มสังเกตเห็นว่า คุณยายมาร์เกร็ตอาจมีเล่ห์เหลี่ยมและปากว่าตาขยิบกว่าที่เห็นกันในตอนแรก
เมื่อน้ำชาและคุกกี้ที่คุณยายมาร์เกร็ตใช้รับรองแขกหมดลง พวกเขาก็เอ่ยคำอำลาตามปกติ แต่จู่ ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ปากที่ปิดสนิทไม่เผยข้อมูลใด ๆ”
เกลเลอร์เล่าถึงเหตุการณ์ข้างต้นว่า “ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นมุกตลกที่เธอใช้หยอกล้อกับนักท่องเที่ยว หรือหมายความถึงอะไรอย่างอื่นกันแน่ ในตอนนั้นเรายังไม่คิดสร้างหนังหรือสารคดีจากเรื่องดังกล่าว จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า มีใครสักคนบอกเธอล่วงหน้าว่าเรามาตามสืบความลับ ผมว่าเธอคงล้อเล่นไปทั่วกับทุกคนด้วยคำพูดนี้มากกว่า”
การทักทายหยอกล้อกับนักท่องเที่ยว ได้กลายมาเป็นอาชีพหลักที่ไฮนซ์กับมาร์เกร็ตทำเพื่อเลี้ยงปากท้อง โดยพวกเขาก่อตั้งโรงแรมแห่งหนึ่งขึ้นบนเกาะฟลอเรอานา ซึ่งลูกหลานครอบครัววิตเมอร์ยังคงดูแลและบริหารกิจการอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่มันไม่ใช่โรงแรมหรูหราห้าดาว ในแบบที่บารอนเนสกำมะลอผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา ได้เคยวาดฝันเอาไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน
ที่มา BBC.co.uk