
MOU 43, 44 คืออะไร (ตอนที่ 3/4): รายละเอียดใน MOU ทั้งสองฉบับมีอะไรบ้าง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
Article Recordsdata
-
- Writer, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
- Operate, ผู้สื่อข่าว.
เข้าสู่บทความตอนที่ 3 ของซีรีส์ชุด MOU 43, 44 คืออะไร ซึ่ง.จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงประชามติที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า
ในบทความนี้จะอธิบายถึงความเป็นมาของบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ แต่เพื่อความรอบด้านของข้อมูลพื้นฐาน แนะนำให้ผู้อ่านทำความเข้าใจบทความ 2 ตอนก่อนหน้านี้
MOU 2543 หมายถึง บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
ขณะที่ MOU 2544 หมายถึง บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน โดยตัวเลขพ่วงท้ายหมายถึงปีที่ทั้งสองประเทศลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาจะเรียกว่า MOU 2000 และ MOU 2001 ซึ่งเป็นปีคริสต์ศักราช (ค.ศ.) แทน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed learningได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
ความเป็นมาของ MOU 43
ในหนังสือเรื่อง ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารฯ ของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ระบุว่าประมาณปี 2537 รัฐบาลไทยกับกัมพูชากลับมาเริ่มเจรจาปัญหาเขตแดนอีกครั้ง หลังจากกัมพูชาสามารถจัดการกับปัญหาภายในและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
เหตุผลหลักที่ไทยต้องการเจรจาปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา มีหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การที่ปัญหานี้ถูกทิ้งร้างมานานกว่า 30 ปี หลังมีคำพิพากษาของศาลโลกในปี 2505 จากนั้นเมื่อมีเหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารไทยกับลาวบริเวณบ้านร่มเกล้า ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาเรื่องเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
รัฐบาลไทยในเวลานั้นยังมีนโยบายไม่ให้เรื่องเขตแดนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง (depoliticise) แต่เป็นเรื่องของกฎหมายและเรื่องทางเทคนิค รวมถึงตระหนักว่ามีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศในการเจรจาเขตแดน
ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 21 มิ.ย. 2540 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี รวมถึง รมว.ต่างประเทศของไทยและกัมพูชาในขณะนั้น ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก และต่อมามีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ เจซีบี (Joint Boundary Commission – JBC) ในปี 2542 และเกิดการประชุมครั้งแรกขึ้น เพื่อตกลงในประเด็นพื้นฐานต่าง ๆ เช่น กรอบกฎหมายที่ใช้ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก อาทิ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยทั้งสองประเทศจะหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่กระทบต่อเขตแดน และหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะพยายามแก้ไขด้วยวิธีสันติ

ที่มาของภาพ : AFP by technique of Getty Images
จากนั้นวันที่ 14 มิ.ย. 2543 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ และ นายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนได้ลงนามใน MOU 43 ร่วมกัน โดยฝ่ายไทยเห็นว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะช่วยลดความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่มีอยู่ในปัจจุบันอันเกิดจากความเข้าใจผิดเรื่องแนวเขตแดนได้
“โดยจะวางกรอบและกลไกในการปฏิบัติงานบนพื้นฐานของการเคารพเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสองที่ได้จัดทำขึ้นระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเส้นเขตแดนแต่อย่างใด เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์ให้มีการได้หรือเสียดินแดน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในภูมิประเทศเพื่อให้เห็นแนวเขตแดนอย่างชัดเจนเท่านั้น” กต. อธิบายในหนังสือดังกล่าว
กระทรวงการต่างประเทศยังเน้นย้ำด้วยว่า MOU 43 ไม่ใช่การกำหนดเขตแดน แต่เป็น MOU ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
“การที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันฯ การอ้างอิงเอกสารดังกล่าว ก็ไม่ได้แสดงว่า ไทย ‘ยอมรับ' แผนที่หรือเส้นที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดน หากจะถือว่าไทยยอมรับในลักษณะนี้ก็ต้องถือว่ากัมพูชายอมรับสันปันน้ำตามที่ระบุในอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ในข้อ 1 (ก) และ (ข) ของ MOU 2543 ด้วย ดังนั้นจะต้องมีการเจรจากันต่อไป จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ข้อยุติร่วมกัน”

ที่มาของภาพ : UNITED NATION
เนื้อหาของ MOU 43 มีทั้งหมด 9 ข้อ ผู้อ่านสามารถศึกษาฉบับเต็มได้จากเว็บไซต์ของสหประชาชาติ ล่าสุด ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ทางเฟซบุ๊กสรุปเนื้อหาของ MOU 43 ทั้ง 9 ข้อไว้ดังนี้
- กำหนดเอกสารต่าง ๆ ที่ต้องใช้เป็นแนวทางในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
- ตั้งกลไก JBC และกำหนดอำนาจหน้าที่ รวมถึงการสำรวจและทำหลักเขต และจัดทำแผนที่ใหม่
- ตั้งคณะอนุกรรมการร่วมทางเทคนิค และกำหนดอำนาจหน้าที่ รวมถึงการพิสูจน์ทราบหลักเขตที่มีอยู่แล้ว และจัดเตรียมแผนที่
- กำหนดให้แบ่งเขตแดนออกเป็นตอน ๆ เพื่อดำเนินการตาม MOU
- ห้ามมิให้รัฐทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน
- กำหนดให้รัฐบาลแต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของฝ่ายตน
- กำหนดหน้าที่ให้อำนวยความสะดวกแก่งานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
- กำหนดให้ระงับข้อพิพาทที่เกิดจาก MOU ฉบับนี้ด้วยการปรึกษา หารือ และเจรจา
- กำหนดว่าให้ MOU เริ่มใช้บังคับ ณ วันที่ผู้แทนของทั้งสองประเทศลงนาม
จากนั้นในปี 2546 ในการประชุม JBC วิสามัญ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบและรับรองแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ (Term of Reference – TOR) ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย–กัมพูชา เพื่อเป็นแนวทางในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างกัน โดยกำหนดแนวทางดำเนินการจำนวน 5 ขั้นตอน ได้แก่
- การพิสูจน์ทราบ ซ่อมแซม และจัดทำหลักเขตแดนจำนวน 73 หลัก
- การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศตลอดแนว (ยังไม่เริ่มดำเนินการ เนื่องจากขั้นตอนที่ 1 ต้องเสร็จสิ้นก่อน)
- การลากแนวที่จะเดินสำรวจ
- การตรวจสอบภูมิประเทศ
- วิธีการจัดทำหลักเขตแดน
ข้อมูลจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 ระบุว่า ปัจจุบัน การดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา ยังอยู่ในขั้นตอนที่ 1 การพิสูจน์ทราบ ซ่อมแซม และจัดทำหลักเขตแดนจำนวน 73 หลัก
หลักเขตแดนที่ปักหลักไปแล้วทั้ง 73 หลักนั้น เป็นหลักเขตเก่าที่เคยทำไว้ในสองห้วงเวลาด้วยกัน ได้แก่ ช่วงปี 2452-2453 และปี 2462-2463 ซึ่งแต่ละหลักมีบันทึกวาจาปักหลักหมายเขต (Procès-verbal d'abornement) ประกอบอยู่ด้วย
การปักหลักเขตแดน (demarcation) ดังกล่าว เป็นไปตามผลการปักปันเขตแดน (delimitation) ตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1907 และพิธีสารแนบท้ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตกลงกันไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5

ที่มาของภาพ : MFA
การประชุม JBC ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2568 ที่กรุงพนมเปญ โดยฝ่ายไทยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดนเป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทย ด้านฝ่ายกัมพูชามีนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายกัมพูชา
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 13 ปี หลังจากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อปี 2555 ที่กรุงเทพฯ และเกิดขึ้นหลังความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศกลับมาตึงเครียดอีกครั้งหลังเกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 28 พ.ค. 2568 ซึ่งต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเปิดฉากยิvก่อน และทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 คน จากนั้นรัฐบาลกัมพูชาประกาศจะนำกรณีพิพาทในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (Ta Moan Thom), ตาเมือนโต๊ด (Ta Moan Toch), ปราสาทตาควาย (Ta Kro Bei temples) และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (Mombei shriek) ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก แม้ไทยไม่ได้ให้การยอมรับอำนาจศาลโลกนับตั้งแต่ปี 2503
ความคืบหน้าในการประชุมดังกล่าวมีดังนี้
- รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Technical Sub-Committee – JTSC) ครั้งที่ 4 (วันที่ 14 ก.ค. 2567) ณ เมืองเสียมราฐ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง forty five หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยีไลดาร์ (LiDAR) มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
- เห็นชอบให้มีการแก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา (TOR) ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 เพื่อนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
- เห็นชอบการส่งชุดสำรวจร่วมไปลงสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันในพื้นที่ที่ใช้ลำน้ำ หรือเส้นตรงเป็นเส้นเขตแดน โดยมอบหมายให้ JTSC ไปหารือและจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Instruction – TI) ร่วมกันต่อไป
- เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6 (จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นประเด็นคงค้างมาตั้งแต่ปี 2554 โดยมอบหมาย JTSC จัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจ ไปพร้อม ๆ กับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเสนอต่อ JBC ต่อไป
ความเป็นมาของ MOU 44
ในขณะที่ MOU 43 เป็นบันทึกความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก แต่ MOU 44 กลับต่างออกไป บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เน้นไปที่การเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเล รวมถึงการใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียมร่วมกัน
ผศ.วิลเลียม เจ. โจนส์ อาจารย์จากวิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล อธิบายเรื่อง MOU 44 ในบทความชื่อ Revisiting the Cambodia-Thailand Maritime Dispute: Global Legislation, Politics and Nationalism (อาจแปลไทยได้ว่า ทบทวนข้อพิพาททางทะเลระหว่างกัมพูชาและไทย: กฎหมายระหว่างประเทศ การเมือง และชาตินิยม) ซึ่งตีพิมพ์บนเว็บไซต์ของศูนย์อีสต์-เวสต์ (East-West Center) ในปี 2567 ว่าข้อพิพาททางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ทับซ้อนกัน (Overlapping Claims Space-OCA) ของอ่าวไทย เกิดขึ้นมายาวนานหลายทศวรรษแล้ว
เขาระบุว่าอ่าวไทยเป็นทะเลขนาดเล็กที่มีลักษณะกึ่งปิดล้อม มีพื้นที่ประมาณ 302,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นส่วนหนึ่งของทะเลจีนใต้
มีประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ติดชายฝั่ง 4 ประเทศที่อ้างสิทธิ์ในพื้นที่บางส่วนของอ่าวไทย โดยการอ้างสิทธิ์เหล่านี้ครอบคลุมถึงทะเลอาณาเขต (territorial sea ) ระยะ 12 ไมล์ เขตต่อเนื่อง (contiguous zone) ไหล่ทวีป (continental shelf) และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Uncommon Financial Zone – EEZ) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี ค.ศ. 1983 (UNCLOS) แต่เนื่องจากอ่าวไทยมีขนาดไม่ใหญ่มาก การอ้างสิทธิ์ของแต่ละประเทศจึงมีการทับซ้อนกันหลายส่วน
นอกจากนี้ ภูมิศาสตร์ของอ่าวไทยก็ไม่เอื้อต่อการแบ่งเขตแดนหรือกำหนดเขตแดนทางทะเลได้อย่างง่ายดาย เพราะเกาะจำนวนมากในอ่าวไทยทำให้เกิดเส้นฐานทางทะเลที่หลากหลาย ซึ่งส่งผลให้การตกลงเรื่องเขตแดนเป็นไปอย่างซับซ้อน
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นทะเลของอ่าวไทยยังมีลักษณะไม่เรียบ ทำให้การแบ่งทรัพยากรอย่างเป็นธรรมไม่สามารถทำได้ง่าย

ที่มาของภาพ : Getty Images
อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่าพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน (OCA) มีแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจำนวนมาก มีการประมาณว่าในพื้นที่ OCA มีแหล่งก๊าซธรรมชาติอยู่ราว 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งมีความสำคัญต่อการบริโภคพลังงานและความมั่นคงด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ
การอ้างสิทธิ์เขตแดนทางทะเลในบริเวณอ่าวไทยระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ได้ดำเนินการไปแล้ว มีเพียงกรณีระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังคงไม่ไปไหน
การตกลงเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทย เกิดขึ้นครั้งแรกระหว่างมาเลเซียกับไทยในปี 2522 โดยมีการตกลงขั้นสุดท้ายในปี 2533 ซึ่งกำหนดเขตอ้างสิทธิ์ทับซ้อนทางตอนใต้ระหว่างมาเลเซียและไทย และจัดตั้งพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Construction Space – JDA) พร้อมกับหน่วยงานทางกฎหมายที่มีหน้าที่ดูแลการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยแบ่งผลประโยชน์กันในอัตรา 50/50
ข้อตกลงฉบับที่สองเกิดขึ้นระหว่างไทยกับเวียดนามในปี 2540 ซึ่งกำหนดเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะระหว่างสองประเทศ และถือเป็นการกำหนดเขตแดนครั้งแรกในอ่าวไทยนับตั้งแต่ UNCLOS มีผลบังคับใช้ในปี 2526

ที่มาของภาพ : Getty Images
ในรายงานผลการศึกษาพื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาบริเวณทางทะเลเกาะกูด ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ระบุว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศไทยและกัมพูชานั้น ปัญหาคือฝ่ายกัมพูชาถือเอาเส้นแสดงจุดเล็งจากยอดสูงสุดของเกาะกูด มายังหลักเขตทางบกที่ 73 เป็นเส้นไหล่ทวีปและเส้นทะเลอาณาเขตของตน และยังขยายเส้นไหล่ทวีปจากยอดสูงสุดของเกาะกูด ผ่าดินแดนบนบกของเกาะกูดเลยไปประมาณกึ่งกลางฝั่งตรงข้ามของอ่าวไทย จึงเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดข้อพิพาทสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนทางทะเลที่มีขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร
ทั้งนี้ กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยเมื่อปี 2515 ก่อนที่ไทยจะประกาศเขตไหล่ทวีปของตนเองในปี 2516
อย่างไรก็ตาม การประกาศเขตไหล่ทวีปฝ่ายเดียวไม่มีผลทางกฎหมายผูกพันต่อประเทศอื่น เว้นแต่จะได้มีความตกลงกัน และทางการไทยก็ไม่เคยยอมรับการประกาศกฤษฎีกาของกัมพูชาที่ว่าด้วยการกำหนดเส้นทะเลอาณาเขตและไหล่ทวีปฝ่ายเดียว เนื่องจากมองว่าการดำเนินการของกัมพูชาไม่เป็นไปตามหลักและกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนความสับสนในการตีความว่าเกาะกูดเป็นของไทยหรือไม่นั้น รายงานฉบับนี้อธิบายว่า “เกาะกูดมีสถานะเป็นอำเภอหนึ่งของ จ.ตราด ของประเทศไทย ตั้งแต่อดีต (พ.ศ.2450) จนถึงปัจจุบัน และอนาคตต่อไป”
รายงานฉบับนี้อธิบายว่าสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส และพิธีสารแนบท้าย ค.ศ.1907 ซึ่งไทยใช้เป็นหลักฐานในการปักปันเขตแดนกับกัมพูชา ระบุข้อความในข้อ 2 ว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราด กับทั้งเกาะ ทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม …” เมื่อพิจารณาหลักฐานดังกล่าวย่อมแสดงว่า เกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450
“การที่สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวระบุด้วยว่า ‘เขตแดนใน ระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส เริ่มตั้งแต่ชายทะเลที่อยู่ตรงข้ามยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูด จากแนว พรมแดนจุดนี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ…' ทำให้บางฝ่ายตีความเอาเองว่า การเล็งจากหลักเขตแดนสุดท้าย ระหว่างไทยกับกัมพูชาบริเวณ จ.ตราด และ จ.เกาะกง ไปยังจุดสูงสุดของเกาะกูด จะทำให้พื้นที่ 2 ใน 3 ของเกาะกูดเป็นของกัมพูชา ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนทางบกเท่านั้น” รายงานดังกล่าว ระบุ

ที่มาของภาพ : Samharn Dairairam/UNITED NATIONS
พื้นที่ OCA รวม 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นสองพื้นที่หลัก ๆ ได้แก่ พื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่เจรจาแบ่งเขตทางทะเลพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ถูกกำหนดเป็นพื้นที่เจรจาเพื่อพัฒนาร่วมกัน (JDA) พื้นที่ประมาณ 16,000 ตารางกิโลเมตร
MOU 44 เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร โดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งเป็น รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ลงนามใน MOU ดังกล่าว ร่วมกับ นายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโส และประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544
ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ สมาชิกวุฒิสภาและอดีตหัวหน้าคณะฝ่ายไทยในการจัดทำข้อตกลงว่าด้วยเขตพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ผู้เขียนหนังสือชื่อว่า “ควรบอกเลิกบันทึกความเข้าใจ MOU 2544 เกี่ยวกับเขตทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา หรือไม่” ซึ่งจัดทำโดย กมธ.ต่างประเทศ วุฒิสภา ปี 2544 ระบุว่าเนื้อหาของ MOU 2544 มีสาระสำคัญดังนี้
- 1. เป็นการทำข้อตกลงชั่วคราว (provisional map) ในเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน
- 2. จะเร่งรัดการเจรจาที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้พร้อมกัน (simultaneously)
(ก) จัดทำข้อตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอยู่ในพื้นที่พัฒนาร่วม (JDA) ดังปรากฏในเอกสารแนบท้าย
(ข) ตกลงแบ่งเขตซึ่งสามารถยอมรับได้ร่วมกันสำหรับทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะในพื้นที่ที่จะต้องแบ่งเขต ดังปรากฏในเอกสารแนบท้าย
เป็นเจตนารมณ์ที่แน่นอนของภาคีผู้ทำสัญญาที่จะถือปฏิบัติตามบทบัญญัติของข้อ (ก) และ (ข) ข้างต้น ในลักษณะที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ (indivisible)
- 3. เป็นการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee – JTC) เพื่อดำเนินตามวัตถุประสงค์ในข้อ (2.)
- 4. กำหนดให้คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคประชุมโดยสม่ำเสมอเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้เสร็จโดยเร็ว และให้คณะกรรมร่วมทางเทคนิคตั้งคณะอนุกรรมการได้
- 5. ภายใต้เงื่อนไขการมีผลบังคับใช้ของการแบ่งเขตในพื้นที่ที่จะต้องมีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจฯ นี้ และการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ นี้ จะไม่มีผลต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละภาคีผู้ทำสัญญา
สาเหตุที่การเจรจาแบ่งเขตและพัฒนาทรัพยากรร่วมกัน (JDA) ต้องดำเนินไปควบคู่กันนั้น นายสุรเกียรติ เสถียรไทย เคยอธิบายไว้ในหนังสือชื่อว่า “กฎหมายและผลประโยชน์ของไทยในอ่าวไทย: กรณีศึกษาบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชาเรื่องการเจรจาสิทธิในอ่าวไทย” ว่าเป็นความตั้งใจของฝ่ายไทยตั้งแต่ต้นที่ต้องการใช้ความต้องการของกัมพูชาที่อยากใช้ประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียม เพื่อให้เกิดการเร่งรัดเรื่องการแบ่งเขตทางทะเล

ที่มาของภาพ : กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่สองรัฐบาลกำลังดำเนินการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนและการแบ่งเขตทางทะเลตามที่ตกลงกันไว้ใน MOU 44 ก็พบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการแบ่งแปลงพื้นที่สัมปทานปิโตรเลียมไปแล้ว ซึ่งสามารถเรียกดูได้จากเว็บไซต์ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
ทว่าการเดินหน้าใด ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวยังไม่สามารถทำได้จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องเขตแดนทางทะเล
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์บทความชุด MOU 43, 44 คืออะไร ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 ตอน บทความตอนสุดท้าย ซึ่งเกี่ยวกับเหตุผลของฝ่ายที่ต้องการให้ยกเลิกและไม่ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ จะเผยแพร่ในวันพรุ่งนี้ (12 ต.ค.)
ที่มา BBC.co.uk