
คณะรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไฟเขียว ตามที่ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เสนอปรับปรุงแนวทางเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของครม. เร่งหน่วยงานส่งความเห็นกรณีเรื่องไม่ซับซ้อน เร็วขึ้น เหลือ 7 วัน จากเดิม 2 สัปดาห์ ระบุ เหตุผล ‘รัฐบาลอนุทิน’ มีเวลาบริหารราชการเพียง 4 เดือน
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยเป็นประธาน มีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของครม. ตามที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอครม.ในการปรึกษาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 เนื่องจากนายบวรศักดิ์ให้เหตุผลว่า รัฐบาลมีระยะเวลาในการบริหารราชการแผ่นดินเพียง 4 เดือน โดยสาระสำคัญ คือ ให้หน่วยงานของรัฐเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของครม. กรณีเรื่องที่ไม่มีความซับซ้อนภายใน 7 วัน นับแต่วันที่สำนักเลขาธิการครม.มีหนังสือแจ้งขอความเห็น จากเดิมที่ต้องยึดแนวปฏิบัติตามมติครม.เมื่อวันที่ 10 ก.พ.58 เรื่อง การยืนยันร่างกฎหมายที่สำนักคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และการเสนอความเห็นของส่วนราชการเพื่อประกอบการพิจารณาจองครม. ในข้อ 2 ที่ให้ทุกส่วนราชการส่งความเห็นกรณีเรื่องปกติภายใน 2 สัปดาห์ หรือ 14 วัน
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบในกรณีเรื่องที่เสนอครม. เป็นเรื่องที่ผ่าวความเห็นชอบของคณะกรรมการใดๆ แล้ว สำนักเลขาธิการครม. (สลค.) จะไม่ขอความเห็นเพิ่มเติมไปยังหน่วยงานของรัฐที่มีผู้แทนร่วมเป็นกรรมการอยู่แล้วอีก เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2560 มาตรา 25 วรรคสอง ที่ให้การพิจารณาเรื่องใดๆ โดยคณะกรรมการ เมื่อคณะกรรมการมีมติเป็นประการใดแล้ว ให้มติของคณะกรรมการผูกพันส่วนราชการซึ่งมีผู้แทนร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย
ทั้งนี้ พ.ร.ฎ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้ารเมืองที่ดี พ.ศ. 2560 มาตรา 25 วรรคสอง บัญญัติว่า ในการพิจารณาเรื่องใด ๆ โดยคณะกรรมการ เมื่อคณะกรรมการมีมติเป็นประการใดแล้ว ให้มติของคณะกรรมการผูกพันส่วนราชการซึ่งมีผู้แทนร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย แม้ว่าในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องนั้นผู้แทนของส่วนราชการที่เป็นกรรมการจะมิได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจฉัยก็ตาม ถ้ามีความเห็นแตกต่างกันสองฝ่าย ให้บันทึกความเห็นของกรรมการฝ่ายข้างน้อยไว้ให้ปรากฏในเรื่องนั้นด้วย โดยมีรายละเอียดทั้งหมด ดังนี้
คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ลงมติว่า
1. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1.1 ให้หน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายในกรอบระยะเวลา ดังนี้
1.1.1 กรณีเรื่องที่ไม่มีความซับซ้อน ให้หน่วยงานของรัฐเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายใน 7 วัน นับแต่วันที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้งขอความเห็น
1.1.2 กรณีเรื่องที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน หรือมีประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาให้หน่วยงานของรัฐเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายใน 15 วัน นับแต่วันที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้งขอความเห็น
1.1.3 กรณีเรื่องที่มีความเร่งด่วน ให้หน่วยงานของรัฐเสนอความเห็นภายในระยะเวลาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนด
1.2 ในกรณีเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการใด ๆ แล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะไม่ขอความเห็นเพิ่มเติมไปยังหน่วยงานของรัฐมีผู้แทนร่วมเป็นกรรมการอยู่แล้วอีกเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 25 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ที่บัญญัติให้ในการพิจารณาเรื่องใด ๆ โดยคณะกรรมการ เมื่อคณะกรรมการมีมติเป็นประการใดแล้ว ให้มติของคณะกรรมการผูกพันส่วนราชการซึ่งมีผู้แทนร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย
ทั้งนี้ แนวปฏิบัติตามข้อ 1.2 ให้ใช้กับเรื่องที่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการใด ๆ ภายหลังจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในครั้งนี้เป็นต้นไป
2.ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 (เรื่อง การยืนยันร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว แล้ว และการเสนอความเห็นของส่วนราชการเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) เฉพาะในส่วนของข้อ 2
@ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี @
@ ครม.อนุมัติรายชื่อ วปอ. เป็นบรรทัดฐานที่ผิด
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ในการประชุมครม.วันที่ 7 ต.ค.68 นายบวรศักดิ์ยังเสนอให้ที่ประชุมครม. ยกเลิกมติครม.เมื่อวันที่ 26 ส.ค.68 เรื่อง การขออนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2568 – 2569 จากครม. จำนวน 298 คน ยกเว้นรายชื่อลำดับที่ 243 (ธนพร ศรียากูล) หลังจากมีการไปร้องศาลปกครอง นายบวรศักดิ์จึงให้ความเห็นว่า การพิจารณารายชื่อบุคคลเข้าเรียนหลักสูตรใดๆก็ตามไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวนำเข้ามาสู่ที่ประชุมครม.
“การประชุมครม.ควรเป็นเรื่องสำคัญของชาติ เรื่องนโยบาย เรื่องเศรษฐกิจ เรื่อปากท้อง เรื่องภัยพิบัติ ไม่ควรจะนำเรื่องใครจะได้เรียน หรือ ไม่ได้เรียนหลักสูตรไหน มาเข้าในที่ประชุมครม. และการประชุมครม.ในครั้งนั้นจะเป็นบรรทัดฐานที่ผิด แต่หากจะต้องเข้าครม.ให้เป็นดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีว่าจะเข้าครม.หรือไม่”นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )