ปปง.ตามยึดทรัพย์ คดี‘ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ทนายตั้มกับพวก ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างย่านตลิ่งชัน กทม. เงินฝาก 2 บัญชี รวม 71.4 ล. ในฐานความผิดฉ้อโกงเจ๊อ้อย-ฟอกเงิน
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.243 /2567 ลงวันี่ 16 ธันวาคม 2567 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวรายฐานรายนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระและความผิดฐานฟอกเงิน เป็นทรัพย์สิน รวม 3 รายการ ราคา 71,466,707.64 บาท ประกอบด้วย ที่ดินตามโฉนดที่ดิน 1 แปลง ในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ผู้ถือกรรมสิทธิ์/ผู้ครอบครอง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด มูลค่า 43,000,000 บาท และ เงินในบัญชีเงินฝาก ในชื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด มูลค่า 28,466,707.64 บาท
ภายหลังจากที่ ปปง.ออกประกาศ ให้ผู้เสียหายยื่นคําร้องเพื่อขอรับคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานราย นายษิทรา เบี้่ยบังเกิด กับพวก โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา (ข่าวเกี่ยวข้อง: ราชกิจจาฯแพร่ประกาศ ปปง.ให้ผู้เสียหายขอรับคืนเงิน‘คดีทนายตั้ม’ฉ้อโกงเจ๊อ้อย 71 ล.)
ที่มาคดี : หลอกลงทุนทำแอปฯซื้อขายสลาก
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตามหนังสือที่ ตช 0066.171/9137 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เรื่อง รายงานการกระทำความผิดมูลฐานรายนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระและความผิดฐานฟอกเงิน กล่าวคือ นางสาวจตุพร อุบลเลิศ โดยนายสมชาติ พินิจอักษร ผู้รับมอบอำนาจผู้กล่าวหา ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรปากช่อง ให้ดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ต้องหา ในความผิดฐานฉ้อโกง เนื่องจากขณะที่นางสาวจตุพร อุบลเลิศ อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้ชักชวนให้นางสาวจตุพร อุบลเลิศ ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ในประเทศไทย (ข่าวเกี่ยวข้อง: ปปง.ยึด-อายัดทรัพย์สิน ‘ทนายตั้ม-พวก' รวม 71 ล. คดีฉ้อโกงเจ๊อ้อย-ฟอกเงิน )
นางสาวจตุพร อุบลเลิศ จึงตัดสินใจลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ตามคำชักชวนของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดยโอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของตนเองที่ประเทศฝรั่งเศส จำนวน 3,000,000 ยูโร เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของตนเองในประเทศไทยเงินฝากบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาขน) สาขา โลตัสปากช่อง เลขที่บัญชี 79510966XX ชื่อบัญชี นางสาวจตุพร อุบลเลิศ จากนั้นได้โอนเงินต่อให้กับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาโลตัสปากช่อง เลขที่บัญชี 79511155XX ชื่อบัญชี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด จำนวน 2,000,000 ยูโร หรือเป็นเงินไทย จำนวนวน 71,076,764.70 บาท จากนั้นนายพิทรา เบี้ยบังเกิด ได้นำสัญญาว่าจ้างเขียนและพัฒนาโปรแกรมแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ ฉบับลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งมีบริษัท อินโนไฟฟ์ จำกัด ผู้รับจ้างเขียนโปรแกรม และต้องส่งมอบงานภายในวันที่ 1 กันยายน 2567 แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาปรากฏว่านางสาวจตุพร อุบลเลิศ ไม่ได้รับมอบแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ตามสัญญาแต่อย่างใด
โดยพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรปากช่องรับคำร้องทุกข์ไว้ ตามคดีอาญาที่ 930/2567 ต่อมาได้โอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาดังกล่าวให้พนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม รับผิดชอบสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว และได้ออกเลขตามสารบบคดีอาญาเป็นคดีอาญาที่ 48/2567 ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 พนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขออนุมัติหมายจับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ตามหมายจับเลขที่ จ.5337/2567 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้กระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน” และอนุมัติหมายจับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยาของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด) ตามหมายจับเลขที่ จ. 5338/2567) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้กระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน” การกระทำของผู้ต้องหาเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระและความผิดฐานฟอกเงินอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (18) และความผิดฐานฟอกเงินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับกรกระทำความผิดดังกล่าว
เข้ามูลฐานความผิด กม.ฟอกเงิน
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 13/2567 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมมีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ 682/2567 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รายนายพิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมหรือขอมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของของบุคคลดังกลาวแลว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (18) และความผิดฐานฟอกเงินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 3 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินตามโฉนตที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นทรัพย์สินที่ปรากฎหลักฐานในทางทะเบียน ในการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองโดยผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง อาจดำเนินการทางนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองในทางทะเบียนได้ และสังหาริมทรัพย์ประเภพเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย หากมิได้มีการอกคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายพิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
ยึดอายัดทรัพย์ 3 รายการ รวม 71 ล.
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุมครั้งที่ 15/2567 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่องการตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธรรมจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 3 รายการ พร้อมดอกผล ได้แก่
-
ยึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 117913 เลขที่ดิน 343 แขวงบางเชือกหนัง เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 งาน Seventy 9 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ผู้ถือกรรมสิทธิ์/ผู้ครอบครอง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ราคาประเมิน 43,000,000 บาท (สี่สิบสามล้านบาทถ้วน) ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567
-
อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขา โลตัส ปากช่อง เลขที่บัญชี 79511155XX ชื่อบัญชี นายพิทรา เบี้ยบังเกิด ยอดเงินคงเหลือจำนวน 5,535.91 บาท (ห้าพันห้าร้อยสามสิบห้าบาทเก้าสิบเอ็ดสตางค์) ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567
-
อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา สมุทรสาคร เลขที่บัญชี 18429710XX ชื่อบัญชี นายพิทรา เบี้ยบังเกิด ยอดเงินคงเหลือจำนวน 28,461,171.73 บาท (ยี่สิบแปดล้านสี่แสนหกหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเอ็ดบาทเจ็ดสิบสามสตางค์) ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567
รวมราคาประเมินจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 71,466,707.64 บาท (เจ็ดสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นหกฟันเจ็ดร้อยเจ็ดบาทหกสิบสี่สตางค์) พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวับวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2568
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )