ทำไมผู้หญิงที่เคยผ่าตัดเสริมหน้าอก นิยมเอาถุงเต้านมเทียมออกกันมากขึ้น ?

ที่มาของภาพ : Katerina Krupkina

ภาพก่อนและหลังการถอดซิลิโคนเสริมหน้าอกและการสลายฟิลเลอร์ริมฝีปากของคาเตรีนา ครุปกินา

Article data

  • Author, อิโลนา ฮรอมลิยุก และ ลูอิส บาร์รูโช
  • Role, บีบีซีแผนกภาษายูเครน และ บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส

เมื่อคาเตรีนา ครุปกินา บล็อกเกอร์และนักโภชนาการชาวยูเครนวัย 32 ปี เปิดเผยทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า เธอได้ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดนำถุงเต้านมเทียม (breast implant) ที่ใช้เสริมหน้าอกออกแล้ว ปฏิกิริยาตอบรับจากผู้คนจำนวนมหาศาลได้ทำให้เธอประหลาดใจอย่างยิ่ง

คาเตรีนาไม่คาดฝันมาก่อนว่า คลิปวิดีโอที่เธอเผยแพร่ทางอินสตาแกรมดังกล่าวจะมีผู้สนใจเข้าชมถึง 7.5 ล้านครั้ง ทั้งยังมีผู้หญิงหลายคนส่งข้อความถึงเธอกว่าหนึ่งพันข้อความ โดยบอกว่ากำลังพิจารณาจะเอาถุงเต้านมเทียมของตนเองออกอยู่เหมือนกัน

คาเตรีนาบอกกับผู้สื่อข่าวบีบีซีแผนกภาษายูเครนว่า “ฉันเพิ่งคิดได้ว่าการมีหน้าอกใหญ่นั้น ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น หรือมีรูปลักษณ์ที่สวยงามยิ่งขึ้นเลยแม้แต่น้อย” เธอยังกล่าวเสริมว่าได้ตัดสินใจนำถุงเต้านมเทียมออกในที่สุด เมื่อลูกสาวที่ยังเล็กของเธอบอกว่า “หนูอยากมีหน้าอกใหญ่เหมือนแม่”

“เหตุการณ์ตอนนั้นทำให้ฉันฉุกคิดได้ทันทีว่า ตัวเองได้กลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีสำหรับลูก” คาเตรีนากล่าว

เธอไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่มีประสบการณ์ดังข้างต้น เพราะปัจจุบันผู้หญิงจำนวนไม่น้อยทั่วโลก กำลังนิยมเอาถุงเต้านมเทียมที่พวกเธอเคยใช้ในการผ่าตัดเสริมหน้าอกออกไปกันมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ชวนให้สงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ ?

and continue finding outเรื่องแนะนำ

Quit of เรื่องแนะนำ

กลับไปมีหน้าอกเล็กด้วยหลากหลายสาเหตุ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

การผ่าตัดนำถุงเต้านมเทียม (breast implant) ที่ใช้เสริมหน้าอกออกไปได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมศัลยกรรมพลาสติกเพื่อความงามระหว่างประเทศ (ISAPS) องค์กรวิชาชีพชั้นนำของโลกที่บรรดาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงาม ซึ่งล้วนมีใบรับรองจากคณะกรรมการแพทยสภาของประเทศต่าง ๆ ร่วมเป็นสมาชิกอยู่ ระบุว่ากรณีการผ่าตัดเอาถุงเต้านมเทียมออก (breast explant) ได้เพิ่มขึ้นถึง 46.3% นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา

ส่วนการผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งเคยเป็นศัลยกรรมความงามประเภทหลักที่เฟื่องฟูอย่างมากเมื่อหลายสิบปีก่อน และยังคงได้รับความนิยมอยู่ในช่วงปี 1990-2010 กลับมีผู้เข้ารับการผ่าตัดเพิ่มขึ้นเพียง 5.4% ในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนในช่วงปี 2022-2023 ตัวเลขสถิตินี้ดิ่งตกลงถึง 13% เลยทีเดียว

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า เหตุผลหลักที่ผู้หญิงทั่วโลกตัดสินใจเอาถุงเต้านมเทียมออกกันมากขึ้น มาจากทั้งความห่วงกังวลต่อสุขภาพกายและจิตที่ส่งผลต่อความงามจากภายในแบบองค์รวม (aesthetics) ผนวกกับแนวโน้มหรือเทรนด์ของการเสริมแต่งความงามจากภายนอก (cosmetics) หันไปนิยมหน้าอกเล็กซึ่งดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

พญ.คริสตี แฮมิลตัน ประธานคณะอนุกรรมการด้านสื่อมวลชน ของสมาคมศัลยแพทย์พลาสติกอเมริกัน (ASPS) แสดงความเห็นว่า “ผู้หญิงยุคใหม่ในปี 2025 ต้องการมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งไม่เหมือนกับความงามแบบพิมพ์นิยมเมื่อราว 5-10 ปีก่อน”

“ถุงเต้านมเทียมเสริมหน้าอกที่เราใช้เมื่อยุคทศวรรษ 1990 จนถึงช่วงทศวรรษ 2000 นั้น มักจะใหญ่เกินไปมาก ตอนนี้ผู้หญิงที่เคยผ่าตัดเสริมหน้าอกจึงพิจารณาลดขนาดของมันลง หรือไม่ก็เอาออกทิ้งไปทั้งหมด หากผู้นั้นมีเนื้อเยื่อถุงเต้านมตามธรรมชาติล้นเหลืออยู่แต่เดิมแล้ว หลังจากนั้นแพทย์อาจจะพิจารณาทำศัลยกรรมช่วยยกหน้าอกธรรมชาติให้กระชับและตั้งขึ้น บางคนอาจปลูกถ่ายไขมันจากอวัยวะส่วนอื่นลงไปนิดหน่อย เพื่อให้ปริมาตรของเต้านมกลับคืนมาบางส่วน หรืออาจไม่ต้องทำเช่นนั้นเลยก็ได้” พญ.แฮมิลตันอธิบาย “อย่างไรเสีย ตอนนี้หน้าอกเล็กกลายเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมมากกว่า”

นพ.บรูโน เฮอร์เคนฮอฟฟ์ ประธานสมาคมศัลยแพทย์พลาสติกบราซิล (SBCP) ในนครริโอเดจาเนโร ก็แสดงความเห็นสอดคล้องตรงกันกับพญ.แฮมิลตันว่า “คนไข้จำนวนหนึ่งรู้สึกว่า ตนเองไม่เหมาะกับการมีหน้าอกใหญ่โตผิดธรรมชาติอีกต่อไป” นพ.เฮอร์เคนฮอฟฟ์ยังบอกว่า ทุกวันนี้คลินิกของเขามีคนมารับการผ่าตัดเอาถุงเต้านมเทียมออก มากกว่าคนที่ต้องการมาผ่าตัดเสริมหน้าอกเสียอีก

อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจเอาถุงเต้านมเทียมออก อาจเป็นเพราะ “ผู้หญิงบางคนต้องการตัดปัญหา เนื่องจากไม่อยากผ่าตัดเปลี่ยนถุงเต้านมเทียมอีกหลายครั้งในอนาคต ซึ่งตามปกติแล้วต้องผ่าตัดเปลี่ยนถุงเก่าที่หมดอายุการใช้งาน และใส่ถุงใหม่ทุก 10-20 ปี” นพ.เฮอร์เคนฮอฟฟ์กล่าวอธิบาย

นอกจากนี้ นพ.เฮอร์เคนฮอฟฟ์ยังชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันมีกระแสความห่วงกังวลในเรื่องโรคภัยที่เป็นผลข้างเคียงของการผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งรวมถึงโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเองแบบต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้องการเอาถุงเต้านมเทียมออก หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงการผ่าตัดเสริมหน้าอกไปเลย

“เดี๋ยวนี้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคจากถุงซิลิโคน และปฏิกิริยาต่อต้านตนเองของภูมิคุ้มกันร่างกายมากขึ้น ร่างกายของบางคนอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อถุงซิลิโคน โดยทำให้มีอาการปวดข้อ ผมร่วง หรือน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ การเกิดมะเร็งบางชนิดยังเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับถุงเต้านมเทียมด้วย” นพ.เฮอร์เคนฮอฟฟ์กล่าว

ในกรณีของโรคมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดเสริมหน้าอกนั้น นพ.เฮอร์เคนฮอฟฟ์บอกว่า เนื้อร้ายอาจก่อตัวในลักษณะของเนื้อเยื่อที่มาห่อหุ้มถุงเต้านมเทียมเอาไว้ แต่หากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถทำการรักษาให้หายขาดได้ โดยผ่าตัดนำเนื้อร้ายที่เหมือนแคปซูลห่อหุ้มถุงเต้านมเทียมออก

“กรณีเช่นนี้พบได้ยากมาก แต่ก็เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว” พญ.แฮมิลตันกล่าวยืนยัน เธอยังบอกว่าโรคมะเร็งมักเกิดกับถุงเต้านมเทียมบางชนิด ซึ่งตัวเธอไม่ได้เลือกใช้วัสดุประเภทนี้ในการผ่าตัดเสริมหน้าอกที่คลินิกของตนเอง

คาเตรีนาบอกว่า เธอเคยมีถุงเต้านมเทียมชนิดที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งในร่างกายเช่นกัน ความรู้สึกที่อยากเอาสิ่งแปลกปลอมนี้ออกไปเพิ่มขึ้นสิบเท่าทันที เมื่อเธอได้ทราบถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ร้ายแรงดังกล่าว แม้ผลตรวจร่างกายของคาเตรีนาจะไม่พบข้อบ่งชี้ว่าเธออาจเป็นโรคมะเร็งเลยก็ตาม

แต่ถึงกระนั้น พญ.แฮมิลตันกลับมองประเด็นนี้ว่า “ฉันว่านั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก ที่ผู้หญิงทุกวันนี้ผ่าตัดเอาถุงเต้านมเทียมออกกันมากขึ้น แต่น่าจะเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงของกระแสนิยมด้านความงามมากกว่า”

พญ.แฮมิลตันบอกว่า ปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ในการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก ซึ่งจูงใจให้ผู้ที่เคยรับการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบเก่ามาแล้วต้องการแก้ไข โดยเทคนิคใหม่ใช้วิธีผ่าตัดนำถุงเต้านมเทียมออกจากตำแหน่งเดิมที่ใต้ชั้นกล้ามเนื้อ แล้วนำมาใส่ไว้ตรงตำแหน่งใหม่เหนือชั้นกล้ามเนื้อแทน

“หากคุณลองสังเกตผู้หญิงที่รับการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบเก่า ปัญหาใหญ่ของพวกเธอหลายคน คือการเกร็งและดึงรั้งของกล้ามเนื้อหน้าอกขณะที่เคลื่อนไหวออกกำลังกาย อาการนี้เกิดขึ้นแม้แต่ตอนที่สวมกอดผู้อื่นหรือในขณะที่กำลังเล่นโยคะ ถุงเต้านมเทียมของพวกเธอจะเคลื่อนออกไปตรงด้านข้างของหน้าอกเสมอ” พญ.แฮมิลตันกล่าว “เทคนิคใหม่ที่ใส่ถุงเต้านมเทียมไว้เหนือชั้นกล้ามเนื้อ จะแก้ไขปัญหาการเคลื่อนไหวที่ดูแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาตินี้ได้”

เทรนด์ใหม่มาแรง

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ผู้หญิงที่เสริมหน้าอกอาจต้องได้รับการผ่าตัดเพิ่มเติมในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนตามระยะเวลาหรือเพื่อเอาซิลิโคนออกทั้งหมด

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า กระแสนิยมหรือเทรนด์ด้านความงามที่เน้นความเป็นธรรมชาติกำลังมาแรง นอกเหนือจากการเสริมหน้าอกแล้ว เทรนด์นี้ยังแผ่ลามไปทั่ววงการศัลยกรรมความงาม ทั้งการปรับรูปหน้า การทำจมูก และการผ่าตัดเสริมความงามที่อวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกายด้วย

พญ.แฮมิลตันบอกว่า ในอดีตมีคนจำนวนไม่น้อยเข้ารับการทำหัตถการเพื่อความงามที่ไม่ใช่การผ่าตัด อย่างเช่นการฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ (filler) และการฉีดพิษโบท็อกซ์ (Botox) บ่อยครั้งมากเกินไป ทำให้พวกเขามีรูปลักษณ์ที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ และต้องหันมาพิจารณาทบทวนวิธีเสริมความงามของตนเองเสียใหม่

“พวกเราต่างเคยเห็นคนที่ฉีดฟิลเลอร์แบบล้นเกิน จนหน้าตาดูไม่เป็นธรรมชาติกันมาแล้วทั้งนั้น” พญ.แฮมิลตันกล่าว ส่วนนพ.เฮอร์เคนฮอฟฟ์ก็บอกว่า “ใบหน้าที่ควรจะถูกปรับแต่งให้มีสัดส่วนของอวัยวะต่าง ๆ สอดรับกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว กลับกลายเป็นการศัลยกรรมใบหน้าให้ดูเหมือนปีศาจร้าย หลายคนต้องลงเอยด้วยการผ่าตัดแก้ไข จนท้ายที่สุดก็กลับมามีรูปหน้าเหมือนเดิม ทำให้ตอนนี้ผู้ที่สนใจจะทำศัลยกรรมความงาม ต้องการได้ใบหน้าที่ดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่อยากได้ใบหน้าที่ดูโดดเด่นเกินจริงเหมือนในอดีตอีกแล้ว”

พญ.แฮมิลตันบอกว่า ตอนนี้คนไข้ของเธอหลายคนพยายามหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนที่ไม่คุ้นเคยกับหัตถการแบบนี้มาก่อน “เดี๋ยวนี้คนที่ไม่เคยฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์มาก่อน ไม่สนใจแม้แต่จะลองทำเลยสักครั้ง เพราะได้เห็นตัวอย่างของผลลัพธ์ที่ย่ำแย่จากการทำหัตถการผิดวิธีมามาก”

“สมัยก่อนวงการอุตสาหกรรมความงามคอยบอกเราว่า ต้องฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อย ๆ ทุก 3-6 เดือน แต่ฉันคิดว่านั่นเป็นคำแนะนำที่ผิดพลาด ซึ่งมาจากการมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของพวกเขาเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วกรรมได้ตามสนอง เพราะผู้คนเริ่มเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ทำให้ตนเองมีใบหน้าแปลกประหลาด” พญ.แฮมิลตันอธิบาย

ปัจจุบันผู้คนหันไปเน้นเสริมความงามด้วยการดูแลสุขภาพจากภายใน ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยนพ.เฮอร์เคนฮอฟฟ์อธิบายว่า หนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในแนวทางนี้ คือการใช้อุปกรณ์กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน ซึ่งจะทำให้ผิวมีคุณภาพดีและอิ่มฟูขึ้น โดยไม่ต้องฉีดสารเพิ่มปริมาตรเข้าไป

คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดที่พบได้มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยเป็นส่วนประกอบของกระดูก ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นต่าง ๆ แต่ปริมาณคอลลาเจนจะลดลงตามวัย เมื่อคนเราแก่ชรามากขึ้น

ความจริงที่อยู่เบื้องหลัง “ความสวยแบบธรรมชาติ”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัจจุบันผู้ป่วยเลือกวิธีการรักษาที่อ่อนโยนกว่า หลังจากการทำหัตถการเพื่อความงาม เช่น การเสริมริมฝีปากได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาหลายปี

ทุกวันนี้คาเตรีนาทุ่มเทให้กับการเสริมความงามตามเทรนด์ใหม่อย่างเต็มที่ หลังจากผ่าตัดนำถุงเต้านมเทียมออกแล้ว เธอยังลดปริมาตรของริมฝีปากที่ฉีดฟิลเลอร์จนอวบหนาเกินเหตุให้เล็กลง รวมทั้งหยุดฉีดโบท็อกซ์เพื่อกลบเกลื่อนริ้วรอยแห่งวัยด้วย “ฉันฝันว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปจะกลายเป็นกระแสนิยม จนผู้หญิงอย่างเราไม่หมกมุ่นหลงใหลกับการเสริมแต่งรูปโฉมอีกต่อไป”

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทด้านความงามชั้นนำของโลกแห่งหนึ่ง กล่าวยืนยันกับบีบีซีว่า อุตสาหกรรมความงามในปัจจุบันกำลังลงทุนไล่ตามกระแส “สวยแบบธรรมชาติ” อยู่จริง ๆ “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผู้คนจะจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์เสริมสวยกันน้อยลง หรือเลิกทำหัตถการเสริมความงามกันไปอย่างสิ้นเชิง ทว่าผู้คนยุคใหม่จะหันมาปรับแต่งรูปโฉมของตนเอง ในแบบที่ดูเหมือนไม่ได้พยายามทำอะไรเป็นพิเศษ และใช้วิธีขับเน้นส่วนที่ดูดีตามธรรมชาติอยู่แล้วให้โดดเด่นขึ้น”

รายงานของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจแม็กคินซีย์ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลวิจัยการตลาดที่จัดทำโดยบริษัทยูโรมอนิเตอร์ ระบุว่าในปี 2023 ตลาดค้าปลีกผลิตภัณฑ์ความงามของโลก มียอดขายเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 446,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นถึง 10% จากปีก่อนหน้า

“นั่นเป็นเพราะผู้หญิงยังคงแต่งหน้าทาแป้งกันอยู่ เทรนด์สวยธรรมชาติไม่ได้ทำให้พวกเธอแต่งหน้าน้อยลง แต่จะหันไปนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ที่สร้างภาพลวงตา ให้ดูเสมือนว่ากำลังโชว์หน้าสดที่ผิวเนียนผ่องใสมาแต่กำเนิด” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าว

ด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็แสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า เทรนด์สวยธรรมชาติจะไม่ทำให้คนเลิกทำหัตถการเสริมความงาม ไม่ว่าจะเป็นการทำศัลยกรรมหรือไม่ก็ตาม “แทนที่จะฉีดสารเพิ่มปริมาตรเข้าไปเฉย ๆ ตอนนี้เรามุ่งเน้นทำหัตถการยกกระชับและปรับแต่งรูปหน้าใหม่มากกว่า” พญ.แฮมิลตันกล่าว

ตัวเลขสถิติของสมาคมศัลยกรรมพลาสติกเพื่อความงามระหว่างประเทศ (ISAPS) ชี้ว่าศัลยแพทย์ทั่วโลกได้ผ่าตัดทำศัลยกรรมความงามไปถึง 15.8 ล้านครั้ง ในปี 2023 ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้น 5.5% จากปีก่อนหน้า ส่วนการทำหัตถการเพื่อความงามที่ไม่ใช่ศัลยกรรม ก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2% ในช่วงเวลาเดียวกัน