เปิด 6 ปัจจัยที่สามารถจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ได้

ที่มาของภาพ, Reuters

คำบรรยายภาพ, ทรัมป์ เริ่มต้นตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยการลงนามคำสั่งและกฎหมายหลายฉบับ

Article data

  • Creator, อันเฆล เบอร์มูเดซ
  • Role, บีบีซี นิวส์ มุนโด (ภาษาสเปน)

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของเขา

หลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งหลายฉบับ รวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก กำหนดให้กลุ่มค้ายาเป็นองค์กรก่อการร้าย และอภัยโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021

ในช่วงหาเสียง ทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะทำการ “เนรเทศครั้งใหญ่ที่สุด” ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ปรับปรุงระบบราชการ ลดการเก็บภาษี และกำหนดอัตราภาษีนำเข้าใหม่สำหรับสินค้าจากต่างประเทศ

เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ทรัมป์ต้องใช้การควบคุมสภาคองเกรสและผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษ์นิยมส่วนใหญ่ในศาลสูงสุดในส่วนของพรรครีพับลิกัน

อย่างไรก็ตาม ยังมีกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุล ตลอดจนความท้าทายอื่น ๆ รอเขาอยู่

Skip เรื่องแนะนำ and continue readingเรื่องแนะนำ

Stop of เรื่องแนะนำ

นี่คือ 6 ปัจจัยที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อาจขัดขวางแผนการของเขาได้

1. ครองเสียงข้างมากเกินมาเพียงเล็กน้อยในรัฐสภา

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ไมค์ จอห์นสัน จากพรรครีพับลิกัน เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเสียงข้างมากเกินมาเพียงเล็กน้อย

แม้ว่าพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ในทั้งสภาคองเกรส ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒสภา แต่พวกเขากลับมีข้อได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อธิบายคือ พรรครีพับลิกันมี 220 ที่นั่ง ในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรคเดโมเครตมี 215 ที่นั่งจากการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ต่อมาสมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกัน 2 คนได้ลาออก และคาดว่ายังมีอีก 1 คนที่จะลาออกเช่นกัน ทำให้คะแนนนำของพรรคเหลือเพียง 2 ที่นั่งเท่านั้น แม้การเลือกตั้งเพื่อเติมที่นั่งที่ว่างเหล่านั้นจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ตาม

ศาสตราจารย์ มาร์ก ปีเตอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย กฎหมาย และรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) กล่าวกับ บีบีซี นิวส์ มุมโด กล่าวว่า “เป็นเสียงข้างมากที่น้อยที่สุดในยุคสมัยปัจจุบัน” และแม้ว่าพรรครีพับลิกัน “เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมาก” แต่ถึงกระนั้นก็ยากที่จะทำให้พวกเขาเห็นตรงกันทั้งหมดในประเด็นที่ซับซ้อน เขากล่าว

ในวุฒิสภา พรรครีพับลิกันมีที่นั่ง Fifty three ที่นั่ง เทียบกับพรรคเดโมแครตที่มี 47 ที่นั่ง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาขาดคะแนนเสียงข้างมากอย่างเป็นเอกฉันท์ซึ่งต้องการ 60 เสียง เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดขวางการผ่านญัตติหรือมติในสภา ซึ่งสมาชิกรัฐสภาฝ่ายตรงข้ามอาจทำให้การลงคะแนนเสียงล่าช้าหรือแม้กระทั่งทำให้กฎหมายตกไป

อย่างไรก็ตาม กระบวนการที่เรียกว่า การปรองดอง อนุญาตให้วุฒิสภาสามารถอนุมัติมาตรการด้านงบประมาณได้โดยใช้คะแนนเสียงข้างมากเพียง 51 เสียง

ศาสตราจารย์ปีเตอร์สันกล่าวว่า พรรครีพับลิกันอาจบรรลุเป้าหมายบางประการได้โดยการรวมนโยบายต่างๆ และใช้กระบวนการข้างต้นนี้ แต่ “พรรคเดโมแครตสามารถหยุดทุกอย่างได้เกือบทั้งหมด”

ศาสตราจารย์ปีเตอร์สันชี้ให้เห็นว่าในช่วงครึ่งแรกของวาระแรกของทรัมป์ เขามีเสียงข้างมากในทั้งสองสภา แต่กฎหมายสำคัญฉบับเดียวของเขาที่ผ่านสภาคือ ร่างกฎหมายลดหย่อนภาษี

2.ฝ่ายตุลาการที่มีความอิสระ

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมโดยส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ตัดสินตามที่ทรัมป์ต้องการเสมอไป

โดยปกติ ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ได้รับเลือกโดยประธานาธิบดีเมื่อตำแหน่งว่างลง

จากผู้พิพากษาทั้งหมด 9 คนในปัจจุบัน 6 คนเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม และ 3 คนในนั้นได้รับการเสนอชื่อโดยทรัมป์ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่นี้ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า คำตัดสินของศาลจะเข้าข้างทุกนโยบายของทรัมป์

ศาลสูงสุดเคยยกเลิกการคุ้มครองสิทธิการทำแท้งของรัฐบาลในปี 2022 ที่ทรัมป์ได้สัญญาไว้ระหว่างการหาเสียงในปี 2016 โดยได้รับเสียงเห็นชอบจากผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งโดยทรัมป์เอง

มากไปกว่านั้น ตรงกันข้ามกับความคาดหวังของพรรครีพับลิกัน ศาลยังรักษาการคุ้มครองบางส่วนจากกฎหมายประกันสุขภาพฉบับเก่าของสหรัฐฯ หรือโอบามาแคร์ รวมถึงการคุ้มครองบางส่วนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานสำหรับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ วินิจฉัยให้ความพยายามของทรัมป์ในการยุติโครงการผู้อพยพ DACA เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย

ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ยังปฏิเสธความพยายามที่จะพลิกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 และยุติโครงการ Daca ซึ่งคุ้มครองผู้อพยพบางส่วนที่เข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายเมื่อตอนเป็นเด็ก

นอกเหนือจากศาลสูงสุดแล้ว ตามข้อมูลของ สำนักวิจัยพิว ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ 60% ได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ในขณะที่มีเพียง 40% เท่านั้นที่ได้รับการเสนอชื่อโดยพรรครีพับลิกัน

ศาสตราจารย์ปีเตอร์สันชี้ว่า ผู้พิพากษาได้รับการชี้นำจากกฎหมายและบรรทัดฐานที่ศาลสูงสุดกำหนดไว้ และกล่าวว่าฝ่ายตุลาการ “ยังคงเป็นฝ่ายที่สามที่สำคัญของรัฐบาลซึ่งมีความอิสระสูง”

3. รัฐบาลของแต่ละมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, นครลอสแอนเจลิสผ่านกฎหมาย “เมืองปลอดภัย” ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อห้ามการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง

โครงสร้างของรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ จำกัดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการตัดสินใจทำเนียบขาว

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 10 ให้สิทธิอำนาจที่กว้างขวางแก่รัฐบาลในระดับมลรัฐ ซึ่งโดยปกติแล้วจะดูแลด้านความปลอดภัย สุขภาพ การศึกษา สวัสดิการสังคม กฎหมายอาญา กฎระเบียบแรงงาน และกฎหมายทรัพย์สิน ส่วนเทศมณฑลและเมืองต่างๆ จะดูแลความปลอดภัยสาธารณะ การวางผังเมือง และการใช้ที่ดิน

ศาสตราจารย์ปีเตอร์สันเชื่อว่า พรรคเดโมแครตจะใช้สิทธิอำนาจเหล่านี้เพื่อท้าทายรัฐบาลทรัมป์ในระดับท้องถิ่นมากขึ้น

เขาตั้งข้อสังเกตว่า รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นที่ที่เขาอาศัยอยู่นั้นเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและเป็น “เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับห้า” ของโลก

เขากล่าวว่า “รัฐแคลิฟอร์เนียไม่ได้เป็นประชาธิปไตยในระดับสากล เสรีนิยม หรือก้าวหน้า แต่ก็เป็นไปในทิศทางนั้นอย่างมาก”

เขาคาดหวังว่ารัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐจะ “ทำในสิ่งที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำสิ่งต่างๆที่ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ต้องการให้ทำ หรือท้าทายรัฐบาลทรัมป์ เช่นเดียวกับที่รัฐเท็กซัสและรัฐอื่นๆ เคยท้าทายรัฐบาลไบเดนและรัฐบาลโอบามาในอดีต”

ในปัจจุบัน รัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ จำนวน 23 แห่งจากทั้งหมด 50 รัฐ มีผู้ว่าการรัฐที่มาจากพรรคเดโมแครต

แผนงานบางอย่างของนายทรัมป์ เช่น การเนรเทศครั้งใหญ่ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากคนในพื้นที่ และอาจได้รับการต่อต้านจากรัฐหรือระดับท้องถิ่น เมืองและรัฐหลายแห่งได้ประกาศตนเป็น “สถานที่หลบภัย” สำหรับผู้อพยพแล้วซึ่งเป็นการขัดขวางความร่วมมือกับรัฐบาลกลาง

4. หน่วยงานราชการสหรัฐฯ

ในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีวาระแรกของทรัมป์ พรรครีพับลิกันพูดอยู่บ่อยครั้งว่ามีข้อจำกัดในการดำเนินการตามวาระของตนเนื่องจากถูกต่อต้านจากเจ้าหน้าที่รัฐภายในหน่วยงานราชการ

เมื่อใกล้จะสิ้นสุดวาระแรกทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งซึ่งอนุญาตให้เขาไล่พนักงานรัฐออกไปหลายพันคน และแทนที่ด้วยผู้สนับสนุนของเขา

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐบาลที่รัฐบาลทรัมป์ต้องการปฏิรูป

อดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดนได้ยกเลิกมาตรการนี้ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้นำมาตรการที่คล้ายกันกลับมาใช้ในวันแรกของการดำรงตำแหน่งวาระที่สองของเขา นอกจากนี้ เขายังสั่งให้พนักงานรัฐบาลที่ทำงานจากบ้าน กลับไปทำงานที่สำนักงานอีกด้วย

กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ใกล้ชิดกับนายทรัมป์ได้สร้างฐานข้อมูลของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสมที่จะมาแทนที่เจ้าหน้าที่ราชการ

สหภาพแรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือสหภาพพนักงานกระทรวงการคลังแห่งชาติ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อคัดค้านคำสั่งใหม่นี้แล้ว

ศาสตราจารย์ปีเตอร์สันคาดว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักทั้งจากทั้งสถาบัน กฎหมาย การเมือง และสหภาพแรงงาน

5. ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน

ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องจากสื่อแนวเสรีนิยมและองค์กรภาคประชาสังคม เช่น สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU)

สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันซึ่งมีสมาชิกกว่า 1.7 ล้านคน กล่าวว่า จะพยายามขัดขวางข้อเสนอบางส่วนของทรัมป์ โดยให้เหตุผลว่าข้อเสนอเหล่านี้จะนำไปสู่การแยกครอบครัวผู้อพยพ เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้านการสืบพันธุ์ และทำให้รัฐบาลกลางสามารถปราบปรามผู้ประท้วงและฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ACLU และกลุ่มอื่นๆ ได้ยื่นฟ้องเพื่อท้าทายแผนการของทรัมป์ที่จะยุติการให้สัญชาติโดยกำเนิด นโยบายนี้ให้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติกับทุกคนที่เกิดในสหรัฐฯ

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ในวาระแรกของการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ องค์กรภาคประชาสังคมจำนวนมากได้จัดการประท้วงและดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อขัดขวางวาระการบริหารงานของรัฐบาลเขา

ฝ่ายตรงข้ามของนายทรัมป์บางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับสื่อบางสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์และหนังสือพิมพ์แอลเอไทมส์ตัดสินใจไม่เผยแพร่การรับรองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีก่อนการเลือกตั้งเหมือนที่เคยทำในอดีต

สื่อทั้งสองราย ได้รับการคาดว่าจะสนับสนุน กมลา แฮร์ริส คู่แข่งของทรัมป์จากพรรคเดโมแครต

เจฟฟ์ เบโซส มหาเศรษฐีเจ้าของและผู้ก่อตั้งแอมะซอนกล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มองว่า “สื่อมีความลำเอียง”

ในเดือน ธ.ค. เขาได้ประกาศบริจาคเงินให้กับกองทุนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ และรับประทานอาหารค่ำกับทรัมป์ที่บ้านพักหรูที่รีสอร์ตมาร์-อา-ลาโก ในรัฐฟลอริดา

แพทริก ซุน-เชียง เจ้าของหนังสือพิมพ์แอลเอไทมส์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีเช่นกัน กล่าวว่า เขาเกรงว่า การรับรองผู้สมัครจะทำให้ความแตกแยกในประเทศรุนแรงขึ้น

6. กระแสความนิยม

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์คงจะยังจับตาดูคะแนนความนิยมของเขาอีกด้วย ศาสตราจารย์ปีเตอร์สันชี้ให้เห็นว่า เขาได้รับคะแนนมหาชนเพียง 49.9% ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด และนำหน้าแฮร์ริสเพียง 1.5% เท่านั้น

“นั่นเป็นชัยชนะที่เฉียดฉิวที่สุดครั้งหนึ่งของประธานาธิบดี” เขากล่าว

ศาสตราจารย์ปีเตอร์สันเสริมว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ลงคะแนนให้ทรัมป์จะสนับสนุนนโยบายทั้งหมด

บางคนเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่ไม่ชอบทรัมป์เป็นการส่วนตัวแต่ต้องการการลดภาษีและกฎระเบียบที่น้อยลง ในขณะที่บางคนเลือกเขาเพราะเห็นว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่สูง เขากล่าว

การผสมผสานนี้อาจกดดันให้รัฐบาลต้องปรับจุดยืนบางอย่าง เพื่อรักษาทั้งความนิยมของประธานาธิบดีและโอกาสที่พรรครีพับลิกันจะได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026

ที่มาของภาพ, Getty

คำบรรยายภาพ, นักวิเคราะห์ชี้ว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนโหวตให้นายทรัมป์แต่ไม่ได้สนับสนุนทุกนโยบายของเขาหรือชอบทรัมป์เป็นการส่วนตัว

แม้ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า คำมั่นสัญญาของประธานาธิบดีทรัมป์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดอัตราเงินเฟ้ออาจถูกทำลายลงด้วยนโยบายอื่นๆ ของเขา เช่น การตั้งกำแพงภาษีและการเนรเทศผู้อพยพ

จอห์น ค็อกเครน นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันฮูเวอร์ซึ่งเป็นสถาบันที่มีแนวคิดฝ่ายขวา กล่าวว่า คำถามสำคัญคือ ทรัมป์จะจัดการกับความตึงเครียดระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนธุรกิจและกลุ่ม “ชาตินิยม” ที่มุ่งเน้นในประเด็นต่างๆ เช่น การควบคุมชายแดนและการแข่งขันกับจีนในรัฐบาลผสมของเขาอย่างไร

“เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถได้สิ่งที่ต้องการ” ค็อกเครนกล่าว “นั่นคือปัญหาสำคัญ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”