“วิทยาศาสตร์แห่งการลวงลวง” ใบหน้าแบบไหนดูเหมือนจริงใจซื่อสัตย์ และเทคนิคจับคนโกหก

Article Recordsdata
    • Author, พัลลภ โกศ
    • Characteristic, ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์

“ไม่มีใครจับคนโกหกได้หรอก หากมีคนทำได้นั่นหมายความว่า อย่างน้อยจะต้องสังเกตเห็นการพลั้งปาก หรือความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง แต่ไม่ใช่ด้วยการใช้ ‘สัญชาตญาณ' ของตัวเอง อย่างที่คนเรามักจะให้ค่ากันมากเกินจริง”

คำพูดข้างต้นเป็นของเซอร์ สตีเฟน ฟราย ผู้ถือบัตรสมาชิกของสมาคมอัจฉริยะระดับโลก “เมนซา” (Mensa World) เขาผู้นี้มีระดับสติปัญญาหรือไอคิวสูงถึง 170 แต่ก็ถูกโหวตให้แพ้และออกจากเกมจับโกหก The Celeb Traitors ทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีวัน (BBC One) ไปเรียบร้อยแล้ว

การเล่นเกมจับโกหกที่เกิดขึ้นในรายการดังกล่าว ดูเหมือนจะพิสูจน์ว่าคำพูดของเซอร์ฟรายนั้นถูกต้องโดยแท้ เพราะผู้เข้าแข่งขัน 16 คน ที่เป็นฝ่าย “คนซื่อสัตย์” และพูดความจริงเสมอ ต้องใช้เวลาเล่นเกมนานถึง 7 ตอนของรายการที่ออกอากาศ ก่อนจะจับได้ว่าใครคือ “คนทรยศ” หรือคนที่พูดโกหกสามคนแรกในหมู่ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด

แนวคิดของเซอร์ฟรายนั้น ออกจะขัดแย้งกับภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ถ่ายทอดกันมายาวนานหลายศตวรรษ ซึ่งผู้คนมักจะเชื่อกันว่า มีวิธีอ่านสีหน้าหรือมีศาสตร์ในการดูลักษณะทางกายภาพบนใบหน้า (physiognomy) เพื่อทำนายนิสัยหรือคุณสมบัติต่าง ๆ ของแต่ละคน ซึ่งชาวจีนเรียกว่าการดูโหงวเฮ้งนั่นเอง

ศาสตร์ดังกล่าวถูกนำมาใช้ในช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อชี้ตัวอาชญากร โดยถือกันว่าคนที่มีโครงสร้างใบหน้าซึ่งรวมเอาลักษณะของ “มนุษย์ที่ยังไม่เจริญ” เอาไว้มาก เช่นมีขากรรไกรและโหนกแก้มใหญ่, รูปหน้าไม่สมมาตร, สันคิ้วสูงเด่น, หรือมีจมูกใหญ่และแบน มีโอกาสสูงที่จะเป็นคนไร้ศีลธรรมประจำใจและคดโกงไม่ซื่อสัตย์ได้

แน่นอนว่าศาสตร์การดูโหงวเฮ้งดังข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นของวัฒนธรรมตะวันออกหรือตะวันตก ไม่ได้มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และมักจะมีที่มาจากอคติทางสังคมและเชื้อชาติ จนไม่ได้รับความเชื่อถือในวงการประชานศาสตร์ (cognitive science) หรือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ศึกษาเกี่ยวกับความคิดและความฉลาดแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาวิจัยล่าสุดได้ชี้ให้เห็นว่า คนเรายังคงถูกลวงให้มีอคติหรือเห็นผิดได้ ด้วยลักษณะทางกายภาพภายนอกที่ผิวเผิน จนไปหลงเชื่อคนโกหกลวงลวง เพียงเพราะเขาหรือเธอมีหน้าตาดี ใบหน้าได้รูปสมมาตรเข้าขั้นสวยหล่อ หรือเพียงเพราะมีการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูเหมือนเป็นคนซื่อตรงเท่านั้น

เหล่านักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาดังข้างต้น สามารถจะทำให้คนโกงมีใบหน้าที่ดูเหมือนคนจริงใจน่าเชื่อถือ แม้ในความเป็นจริงแล้วคนผู้นั้นจะเป็นนักต้มตุ๋นที่เหลี่ยมจัด ยิ่งกว่าผู้เข้าแข่งขันฝ่าย “คนทรยศ” ในรายการของบีบีซี อย่างเช่นโจนาธาน รอสส์, อลัน คาร์, และแคต เบิร์นส์ รวมหัวกัน

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Close of ได้รับความนิยมสูงสุด

ปรากฏการณ์รัศมีลวงตา (Halo compose)

หลักฐานหนึ่งที่ช่วยพิสูจน์ยืนยันว่า คนเราล้วนมีแนวโน้มจะเชื่อถือรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก ก็คืองานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2000 ซึ่งพบว่าคนหน้าตาดีจะถูกมองในแง่บวกจากผู้อื่นมากกว่า หมายความว่าคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดน่าหลงใหล จะถูกมองว่าฉลาด, มีความสามารถ, และเชื่อถือพึ่งพาได้ไปด้วย

“อะไรที่ดูสวยงามนั้นดีเสมอ นั่นคือข้อสันนิษฐานที่คนเรามักจะทึกทักเอาเองอยู่เรื่อย” ดร.ราเชล มอลิเตอร์ นักจิตวิทยาและอาจารย์ผู้สอน จากมหาวิทยาลัยโคเวนทรีของสหราชอาณาจักรกล่าว “หากคุณเห็นว่าใครหน้าตาดีแล้วละก็ คุณจะเชื่อโดยอัตโนมัติว่า เขามีคุณสมบัติที่ดีในด้านอื่น ๆ ไปด้วย”

อย่างไรก็ตาม การตัดสินว่าใครหน้าตาดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น และค่านิยมของผู้คนในยุคสมัยต่าง ๆ ด้วย ทว่างานวิจัยหนึ่งที่ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2015 ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเสน่ห์ดึงดูดและความน่าเชื่อถือ พบว่าใบหน้าที่มีความสวยงามในระดับปานกลาง และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของคนทั่วไป กลับดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าและดูน่าเชื่อถือมากกว่า

นั่นหมายความว่ามีปรากฏการณ์ “รัศมีลวงตา” หรือ “เฮโลเอฟเฟกต์” (Halo compose) แค่ในระดับหนึ่ง ที่สามารถนำไปสู่ความน่าเชื่อถือในระดับสูงได้ ส่วนคนที่สวยหล่อสุดขีดอย่างเหลือล้ำ หรือมีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลก ๆ ที่แตกต่างจากคนหน้าตาดีโดยทั่วไป กลับถูกมองว่าน่าเชื่อถือน้อยลงได้

ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของคนเรา ซึ่งใช้จิตใต้สำนึกตัดสินว่าใครเชื่อถือได้หรือไม่ได้ ในทันทีที่มองเห็นหน้ากันนั้น มักจะลำเอียงเข้าข้างใบหน้าที่ยิ้มแย้มดูมีความสุข และใบหน้าที่ดูเป็นมิตรมากกว่า โดยผลการทดลองหลายครั้งของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในปี 2008 ชี้ว่าผู้เข้าร่วมการทดลองที่เป็นนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย จะให้คะแนนใบหน้าที่ยิ้มแย้มร่าเริงว่าเป็นใบหน้าของคนที่ซื่อสัตย์จริงใจมากกว่า เมื่อเทียบกับใบหน้าที่ดูโกรธขึ้ง, เศร้าสร้อย, หรือดูเฉยเมยบึ้งตึง

ส่วนผลการศึกษาในปี 2015 ที่ทำกับอาสาสมัครชาวฝรั่งเศส พบว่ารอยยิ้มที่ได้รับการประเมินว่าดูจริงใจกว่านั้น จะพลอยได้รับการตัดสินว่ามีความน่าเชื่อถือสูงกว่าด้วย ทั้งยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เจ้าของรอยยิ้มนั้นมีโอกาสหาเงินเข้ากระเป๋าได้สูงกว่าผู้อื่น

ในทางตรงกันข้าม ดร.มอลิเตอร์บอกว่าใบหน้าที่สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน เช่นใบหน้าที่สวมแว่นดำ, สวมหน้ากากอนามัย, หรือแค่มีผมม้าหรือปอยผมปกปิดหน้าผากนั้น กลับถูกประเมินว่ามีความน่าเชื่อถือต่ำกว่า

ใบหน้าของเราดูน่าเชื่อถือแค่ไหน ?

แม้จะเสี่ยงต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่พัลลภ โกศ ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์ของบีบีซี ก็ได้ทดลองให้นักวิจัยช่วยวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าของตนเอง ว่าดูมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนกันแน่

ดร.มีร์เซีย ซโลเตียนู นักจิตวิทยาและอาชญาวิทยา จากมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน (KCL) บอกว่าสิ่งที่นักวิจัยตรวจสอบเป็นอันดับแรกก็คือความสมมาตรของใบหน้า ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าใบหน้าของคนผู้หนึ่งมีความสวยงาม อันเป็นสัญญาณของความจริงใจน่าเชื่อถือในจิตใต้สำนึกของคนทั่วไปหรือไม่

พัลลภ โกศ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ขอให้นักวิจัยช่วยวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของใบหน้าตนเอง

“ทุกคนมีความอสมมาตรระหว่างใบหน้าทั้งสองซีกอยู่ไม่มากก็น้อย ดังนั้นลักษณะบางอย่างบนใบหน้าที่สมมาตร จะทำให้คนเราดูสวยหล่อได้ แต่หากความสมมาตรนั้นมีมากจนเกินไป จะทำให้ดูแปลกประหลาดไม่เป็นธรรมชาติได้” ดร.ซโลเตียนู กล่าวอธิบาย

นั่นคือเหตุผลที่ใบหน้าของตัวละครดิจิทัลหรืออวตารในเกมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งใบหน้าที่ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอสร้างขึ้น มักจะดูหลอนน่ากลัวและไม่น่าไว้วางใจ จนก่อความรู้สึกหวาดกังวลที่เรียกว่า uncanny valley ซึ่งหมายถึงความไม่สบายใจหรือรังเกียจ เมื่อพบเห็นสิ่งที่คล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ เพราะใบหน้าของสิ่งเหล่านี้มีความสมมาตรมากเกินไปจนผิดธรรมชาตินั่นเอง

เพื่อสาธิตถึงวิธีการที่ทำให้ใบหน้าของคนเราดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ดร.มิลา มิเลวา อาจารย์ผู้สอนวิชาจิตวิทยา ประจำมหาวิทยาลัยพลีมัธของสหราชอาณาจักร ได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าของผู้สื่อข่าวบีบีซี ให้มีความสมมาตรมากขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ทั้งยังปรับแต่งรูปทรงของริมฝีปาก ให้ดูคล้ายกับตอนกำลังยิ้มมากขึ้นด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ดร.มิเลวายังได้ปรับแต่งรูปหน้าของผู้สื่อข่าวบีบีซี ให้มีลักษณะของความเป็นหญิงสูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเคยมีงานวิจัยที่ชี้ว่า ใบหน้า, เสียง, และชื่อที่ฟังดูคล้ายผู้หญิง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าคนผู้นั้นจริงใจและซื่อตรง ได้มากกว่าใบหน้าและน้ำเสียงที่มีความเป็นชายสูง ยิ่งใบหน้ามีลักษณะของความเป็นหญิงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ในขั้นตอนต่อไป นักวิจัยได้ทดลองให้อาสาสมัคร 26 คน ให้คะแนนทางออนไลน์ เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของผู้สื่อข่าวบีบีซี จากการดูใบหน้าของผู้สื่อข่าวในภาพถ่าย ซึ่งผ่านการปรับแต่งมาแล้วหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งสิ้น 36 ภาพ โดยสามารถให้คะแนนได้ตั้งแต่ 1 คะแนน (ไม่น่าเชื่อถือเลย) ไปจนถึง 9 คะแนน (น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง)

ดร.มิเลวา วิเคราะห์ความสมมาตรของใบหน้าผู้สื่อข่าวบีบีซี (ไม่ใช่ภาพที่ใช้ในการทดลองกับอาสาสมัคร)

ผลการประเมินที่ออกมานั้นเป็นไปตามคาด โดยภาพใบหน้าที่ถูกปรับแต่งให้ดูอ่อนวัยลง ทั้งยังดูสดใสร่าเริงและมีลักษณะของความเป็นหญิงมากขึ้น คือภาพที่อาสาสมัครส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าดูมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ผลการทดลองที่ไม่เป็นทางการนี้ให้คติสอนใจกับผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า หากต้องการให้ผู้ชมเชื่อถือรายงานข่าววิทยาศาสตร์ของเขาให้มากขึ้น ในครั้งต่อไปก็ควรจะต้องยิ้มบ่อย ๆ เมื่ออยู่หน้ากล้อง

การคิดหรือทำตามคนหมู่มากที่อาจผิดได้

สำหรับผู้เข้าแข่งขันในรายการ The Celeb Traitors แล้ว การค้นหาว่าใครคือคนโกหกที่ทรยศหักหลังพวกพ้อง และใครคือคนที่พูดความจริงนั้น ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งกว่าสถานการณ์อื่น ๆ มาก เพราะมีพลวัตทางสังคมของการรวมกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง

ดร.มอลิเตอร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาอาชญาวิทยาของการลวงลวง ทั้งยังเป็นแฟนพันธุ์แท้ของรายการ The Celeb Traitors ด้วย ได้ทำการวิเคราะห์ว่าเหตุใดผู้เข้าแข่งขันในรายการของปีนี้ จึงใช้เวลานานมากกว่าจะจับโกหกคนทรยศได้ โดยดร.มอลิเตอร์ชี้ว่าการคิดหรือทำตามกลุ่ม (herd mentality) เพราะไม่ต้องการแปลกแยกจากผู้อื่นในสังคม ซึ่งถือเป็นอคติทางความคิดอย่างหนึ่งนั้น ทำให้บุคคลคิดไตร่ตรองได้ไม่รอบคอบพอ และเกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย

“การคิดตามอย่างของกลุ่มหรือคนหมู่มาก ล่อลวงให้ผู้คนทำผิดพลาดร่วมกันเป็นหมู่คณะได้ แม้หลักฐานที่คนโกหกยกมากล่าวอ้างให้เชื่อถือ จะฟังดูเลื่อนลอยหรือมีอยู่น้อยมากก็ตาม” ดร.มอลิเตอร์ยังบอกว่าในสถานการณ์ดังกล่าว จิตใต้สำนึกของคนเราจะมองข้ามเหตุผลหรือหลักฐานใด ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับแนวคิดหรือข้อสันนิษฐานเดิมของกลุ่มไปโดยอัตโนมัติ แม้ความเชื่อหรือการพิจารณาตัดสินของกลุ่มมักจะผิดพลาดก็ตาม

นอกจากนี้ การที่คนเรามักด่วนสรุปหรือรีบตัดสินผู้อื่นว่าเชื่อถือได้หรือไม่นั้น ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ถูกลวง ซึ่งดร.มิเลวาให้คำอธิบายต่อเรื่องนี้ว่า บรรพบุรุษมนุษย์ในยุคเริ่มแรก ก็เริ่มมีวิวัฒนาการทางสังคมเพื่อความอยู่รอดแล้ว โดยต้องแยกแยะมิตรและศัตรูออกจากกันให้ได้ในชั่วพริบตา “ดังนั้นการตัดสินใจว่าใครน่าเชื่อถือหรือไม่นั้น จึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองอย่างรวดเร็วมาก โดยคนเราใช้เวลาเพียง 1/10 วินาที ในการหาข้อสรุปที่แน่นอนแบบปักใจเชื่อในเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่ผลการวิจัยของเราพบว่า การใช้สัญชาตญาณของตนเองมาตัดสินนั้นมักจะผิดพลาด”

ทำไมคนเราจับโกหกไม่ค่อยเก่ง

ดร.ซโลเตียนู ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้หลักวิทยาศาสตร์มาจับโกหก และเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องบทบาททางสังคมของการลวงลวง กล่าวแสดงความเห็นด้วยกับผลวิจัยของดร.มิเลวา เนื่องจากงานวิจัยของเขาได้ค้นพบความรู้ที่สำคัญยิ่งสองประการ

ประการแรกคือคนเรามักจะเชื่อมั่นว่า ตนเองเก่งในเรื่องแยกแยะว่าใครโกหกลวงลวงและใครที่ซื่อสัตย์จริงใจ ส่วนประการที่สองนั้น ปรากฏว่าความจริงคนเราไม่ได้จับโกหกเก่งอย่างที่ตัวเองคิด

“ทุกคนมั่นใจว่าเราจับโกหกได้แน่ ด้วยการดูสีหน้าท่าทางของคนผู้นั้น เช่นดูว่าเหงื่อออกหรือเปล่า เมินหน้าไม่สบตาเวลาพูด หน้าแดง หรือขยับตัวยุกยิกกระสับกระส่ายหรือไม่ แต่อันที่จริงแล้วสัญญาณทางกายเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหรือบริบทเป็นอย่างมาก และไม่ใช่สัญญาณบ่งชี้ที่เชื่อถือได้เลย หากต้องการดูว่าใครคือคนลวงลวง” ดร.ซโลเตียนูกล่าว

“บางคนอาจเหงื่อแตกหรือมองไปทางอื่น เพียงเพราะรู้สึกวิตกกังวลหรือเขินอาย แต่ไม่ใช่เพราะเขากำลังพูดโกหกอยู่ เรามักแปลความหมายของสัญญาณเหล่านี้ผิด โดยเชื่อว่าเป็นการแสดงออกโดยไม่รู้ตัวของคนที่คิดไม่ซื่อ ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นเพียงสัญญาณของความอึดอัด และการถูกกระตุ้นเร้าทางอารมณ์ในบางสถานการณ์เท่านั้น”

ในการทดลองชุดหนึ่งที่มีการทดสอบกับอาสาสมัครหลายครั้ง ทีมวิจัยของดร.ซโลเตียนู ได้ให้พวกเขาดูคลิปวิดีโอหรือฟังบทสนทนา ที่ผู้พูดกลุ่มหนึ่งกำลังโกหกและอีกกลุ่มพูดความจริง โดยให้เหล่าผู้สังเกตการณ์ใช้วิธีดูสัญญาณทางกาย เช่นดูว่ามีเหงื่อออก, ไม่สบตา, หรือหน้าแดงหรือไม่ มาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าคนผู้นั้นพูดโกหกหรือพูดความจริง

ผลปรากฏว่า อาสาสมัครไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าใครพูดจริงหรือพูดเท็จ นอกจากนี้ยังไม่สามารถสังเกตเห็นการลวงลวงด้วยวิธีอื่น ๆ เช่นการเสแสร้งแสดงอารมณ์ปลอม ๆ หรือการกุเรื่องขึ้นมาได้ ความแม่นยำในการจับเท็จยิ่งตกต่ำลงไปอีก เมื่ออาสาสมัครต้องคิดตัดสินใจร่วมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งพิสูจน์ว่าคำคนโบราณที่บอกว่าสองหัวดีกว่าหัวเดียวนั้น ไม่เป็นจริงในกรณีนี้

ความมั่นอกมั่นใจในสัญชาตญาณของตนเองนั้น ไม่ช่วยให้จับโกหกได้ดีขึ้น “หากเราย้อนดูผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา และผลวิจัยล่าสุดของเราที่สอดคล้องกับผลการศึกษาเหล่านั้น จะเห็นได้ว่าอัตราความน่าจะเป็นในการจับโกหกได้สำเร็จของมนุษย์ ไม่ได้ดีไปกว่าโอกาสที่สามารถเกิดขึ้นโดยความบังเอิญเลย เรียกได้ว่าไม่ต่างจากการโยนเหรียญ เพื่อเสี่ยงทายว่าจะออกหัวหรือออกก้อย” ดร.ซโลเตียนูกล่าว

เล่ห์เหลี่ยมชั้นครูของคนลวงลวง

สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่รับบทคนทรยศในรายการ The Celeb Traitors นั้น ผู้เชี่ยวชาญมีคำอธิบายให้กับพวกเขาว่า เหตุใดแต่ละคนจึงสามารถรอดพ้นจากการถูกแฉหรือจับเท็จได้ในหลายตอน ทั้งยังเป็นบทเรียนสอนใจที่เตือนให้เราตระหนักไว้เสมอว่า เราอาจถูกคนที่ไว้ใจลวงเอาได้ทุกเมื่อ

ดร.ซโลเตียนูบอกว่า การที่เรามีแนวโน้มจะถูกลวงโดยคนรอบข้าง อาจไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเสมอไป เพราะการโกหกและการถูกลวง ล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเป็น “กาวเชื่อมความสัมพันธ์ทางสังคม”

“การโกหกสีขาวหรือการพูดเท็จในเรื่องที่ไม่สำคัญ เช่นการโกหกเพื่อให้เพื่อนสบายใจ โดยบอกว่าเพื่อนดูดีมีเสน่ห์, ปัญหาต่าง ๆ ของเพื่อนกำลังจะคลี่คลาย, หรือบอกว่าเพื่อนสามารถกินเค้กเพิ่มได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะอ้วนขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดในทางศีลธรรม และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่กลมเกลียว ทั้งยังช่วยให้ผู้อื่นรู้สึกดีขึ้น”

นอกจากนี้ บทเรียนที่ได้จากการชมรายการ The Celeb Traitors ยังช่วยเตือนให้เราตระหนักรู้ถึงอคติต่าง ๆ ของตนเอง รู้จักตั้งข้อสงสัยกับความรู้สึกประทับใจแรกที่เกิดขึ้นเมื่อได้พบหน้าผู้คน รวมทั้งพยายามเชื่อถือสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์ของตนเองให้น้อยลง ก็อาจจะทำให้เราจับโกหกได้แม่นยำขึ้นในวันข้างหน้า