
รัฐบาลเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยง ตั้งใจกวาดล้างสแกมเมอร์ใน “ชเวโก๊กโก่” จริงหรือไม่

ที่มาของภาพ : STR
- Writer, นงนภัส พัฒน์แช่ม
- Characteristic, ผู้สื่อข่าว.
ช่วง 2 วันที่ผ่านมาเกิดความระส่ำระสายขึ้นในหมู่ชาวจีนและชาวต่างชาติในเมืองชเวโก๊กโก่ ซึ่งเป็นพื้นที่สแกมเมอร์ขนาดใหญ่ทางใต้ อ.เมียวดี จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ตรงข้ามบ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด และบ้านวังแก้ว ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก หลังกองกำลังป้องกันชายแดนกะเหรี่ยง หรือ กะเหรี่ยงบีจีเอฟ (Karen Border Guard Power – Karen BGF) ประกาศจะปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ออนไลน์ในพื้นที่นี้ให้ราบคาบ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงสามสัปดาห์หลังจากที่รัฐบาลทหารเมียนมาทิ้งsะเบิดต่อเนื่องในเมืองเคเค พาร์ค อ.เมียวดี ซึ่งเป็นฐานสแกมเมอร์อีกแห่งหนึ่ง 4 วันต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 23-26 ต.ค. และจากนั้นก็มีการทิ้งsะเบิดซ้ำในเมืองนี้อีกหลายครั้ง
พันโทหน่ายหม่อง โซ โฆษกกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ เปิดเผยในการแถลงข่าวเมื่อ 17 พ.ย. ผ่านล่ามแปลเป็นภาษาไทยว่า การประกาศจะกวาดล้างกลุ่มสแกมเมอร์ในเมืองชเวโก๊กโก่ครั้งนี้ “ไม่เกี่ยวกับแรงกดดันจากการปราบปรามเคเค พาร์คเลย” แต่ “เป็นการที่ว่าชุดบีจีเอฟมีชุดปฏิบัติการต่อต้านแก๊งสแกมเมอร์อยู่แล้ว มันถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติการครั้งนี้ให้ราบคาบไปโดยสิ้นเชิง”
เขายืนยันว่าตั้งแต่ที่กองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟเริ่มปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์ในเมืองชเวโก๊กโก่ครั้งแรกในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มีการส่งชาวต่างชาติผ่านมาทางประเทศไทยรวมแล้วหลายพันคนจากทั้งหมด 13 ประเทศ โดยกลุ่มสแกมเมอร์ได้ย้ายถิ่นฐานออกไปแล้ว แต่หลังจากนั้นก็แอบกลับมาทำเป็นจุด ๆ หรือในบางพื้นที่รอบนอกเมืองชเวโก๊กโก่ จึงต้องออกมาปราบปรามเพิ่ม ซึ่งคาดว่ามีจำนวนผู้ร่วมขบวนการประมาณ 1,000 – 2,000 คน ที่กำลังเตรียมดำเนินการจับกุม
ทั้งนี้ กองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ที่นำโดย พ.อ.ชิต ตุ เป็นกองกำลังที่มีประวัติเคยหักหลังชาวกะเหรี่ยงด้วยกัน โดยหันไปเข้าข้างกองทัพเมียนมา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รับอนุญาตดูแลพื้นที่ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งในปีที่แล้วพวกเขาเปลี่ยนชื่อเป็นเป็นกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ เคเอ็นเอ (Karen Nationwide Military – KNA) ทว่าก็ยังมักถูกเรียกในนามกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟอยู่เช่นเดิม
ล่าสุดวันนี้ (19 พ.ย.) สมจิต รุ่งจำรัสรัศมี ผู้สื่อข่าวพิเศษ. รายงานว่าทหารเมียนมา ตำรวจ สภ.เมืองเมียวดี และกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ได้สนธิกำลังเข้ายึดพื้นที่สแกมเมอร์ในเมืองชเวโก๊กโก่ จับกุมชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนมากเป็นชาวจีน จำนวน 346 คน และยึดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย โดยมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่เมียนมาได้ปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้ชาวต่างชาติหนีออกจากเมืองชเวโก๊กโก่

ที่มาของภาพ : STR
ตั้งใจกวาดล้าง หรือแค่ลดแรงเสียดทานนอกประเทศ ?
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ จาก ม.เกษตรศาสตร์ และ ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี จาก ม.เชียงใหม่ มองตรงกันว่าสาเหตุที่รัฐบาลทหารเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟเปิดปฏิบัติการกวาดล้างฐานสแกมเมอร์อย่างหนักหน่วงขึ้นในช่วงเดือนนี้ ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลทหารเมียนมากำลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่ง ผศ.ดร.ลลิตา ระบุว่าได้รับผลกระทบในเชิงภาพลักษณ์จากการมีศูนย์สแกมเมอร์ต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม สองอาจารย์จากคณะสังคมศาสตร์ซึ่งติดตามสถานการณ์ในเมียนมา มองต่างกันในแง่ที่ว่ากองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟสมรู้และยินดีกับการปราบปรามครั้งนี้ด้วยหรือไม่ หรือแค่จำใจต้องเล่นตามเกมของรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่ง.ขอสรุปแยกไว้เป็นสองสมมติฐาน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุดof ได้รับความนิยมสูงสุด
- สมมติฐานที่ 1: รัฐบาลทหารต้องการสกัดกองกำลังกะเหรี่ยง ช่วงชิงพื้นที่ก่อนการเลือกตั้ง
ผศ.ดร.ลลิตา มองว่ากองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟไม่ได้เต็มใจที่จะกวาดล้างศูนย์สแกมเมอร์ในเมืองเคเค พาร์ค และชเวโก๊กโก่ เพราะเป็นแหล่งรายได้ของกองกำลัง แต่จำใจต้องทำเช่นนั้นเพราะถูกรัฐบาลทหารเมียนมากดดัน
สมมติฐานนี้ของเธอมาจากการที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าก่อนการทิ้งsะเบิดที่เมืองเคเค พาร์ค กองทัพเมียนมาในนามของคณะความมั่นคงและสันติภาพแห่งชาติ (Nationwide Safety and Peace Commission – เพิ่งเปลี่ยนชื่อมาจากสภาบริหารแห่งรัฐ หรือ SAC) นั้น ได้เรียก พ.อ.ชิต ตุ ผู้นำกลุ่มบีจีเอฟ ไปประชุมที่เมืองผาอัน เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมของรัฐบาลทหารเมียนมา
“เขาเรียกชิต ตุ เข้าไปพบ เพื่อที่ต้องการจะส่ง message (ข้อความ) ว่า เขาต้องการให้ธุรกิจสแกมเมอร์ scam center (ศูนย์สแกมเมอร์) มันหมดไป” ผศ.ดร.ลลิตา วิเคราะห์ “ส่วนหนึ่งถ้าให้เดาก็คือมันมาจากการกดดันมาจากจีนด้วย เพราะว่าจีนเขาก็มีนโยบายเพื่อที่จะเอาจีนเทาพวกนี้ออก”
“แล้วก็ประการต่อมา ตัวของรัฐบาลทหารพม่าเอง ก็เล็งเห็นความสำคัญว่า ถ้าเขาจะมีการเลือกตั้ง ในช่วงปลายเดือน ธ.ค. วันที่ 28 นี้ เป็นเฟสแรก สิ่งจำเป็นเลยที่จะทำให้ทั่วโลกเขากลับมาให้ความสำคัญแล้วก็กลับมาเอ็นดูพม่าอีกครั้ง ก็คือการที่พม่ามีความจริงใจเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า เขาอยากจะกลับมา rebrand (ปรับภาพลักษณ์) ประเทศของเขานะ เขาอยากจะกลับมาทำความสะอาดประเทศของเขานะ อันนี้ก็เป็น 2-3 เหตุผลใหญ่ ๆ ว่าทําไมมันจึงมีการปราบปรามในรอบนี้เกิดขึ้น” เธอระบุ

ที่มาของภาพ : STR
นักวิชาการจาก ม.เกษตรศาสตร์ ผู้นี้มองว่า ปฏิบัติการที่ดูจะขึงขังขึ้นในช่วงนี้ ไม่ใช่ “การจัดฉาก” “มวยล้มต้มคนดู” หรือ “ละครฉากหนึ่งริมแม่น้ำเมย” ตามที่บางฝ่ายวิเคราะห์
“การที่ ชิต ตุ ถูก summon (เรียกตัว) ไปพูดคุยกับตัวแทนของรัฐบาลทหารพม่าที่ผาอัน มันก็ชี้ให้เห็นแล้วว่ามันเป็นแผนการที่ชัดเจน แล้วก็เป็นขั้นเป็นตอนของรัฐบาลพม่าที่จะพยายามเอาแหล่งสแกมเมอร์พวกนี้ออกไปให้ได้มากที่สุด” เธอกล่าว
ส่วนสาเหตุที่บีจีเอฟต้องยอมเดินตามเกมของรัฐบาลทหารเมียนมา แม้ว่าจะเป็นเหมือนการตัดท่อน้ำเลี้ยงของตัวเองนั้น ผศ.ดร.ลลิตา มองว่า เป็นเพราะศักยภาพทางการทหารของกองกำลังกะเหรี่ยงยังสู้ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ได้
“สิ่งที่ ชิต ตุ กลัวมากที่สุด ก็คือกลัวว่าพม่าจะมาทิ้งsะเบิดในพื้นที่ของตัวเอง” ผศ.ดร.ลลิตา วิเคราะห์ “จะไม่ยอมได้ยังไง… กองทัพพม่ายังมีไม้เสียชีวิต ยังมีเครื่องบินมาทิ้งsะเบิด”
“ตราบใดก็ตามที่ชนกลุ่มน้อยยังไม่มีอาวุธต่อต้านอากาศยาน ยังไม่มีเครื่องบินรบเป็นของตัวเอง มันจะต้านเครื่องบินรบเอาsะเบิดมาทิ้งอย่างนี้ได้ยังไง… ต้องบอกว่าศักยภาพมันยังมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างกองทัพของพม่ากับชนกลุ่มน้อย”
ผศ.ดร.ลลิตา เสริมว่า ผู้นำกะเหรี่ยง อาทิ บีจีเอฟ และกองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย หรือ ดีเคบีเอ (Democratic Karen Buddhist Military – DKBA) ต้องการให้พื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขายังมีความสงบ ยังสามารถค้าขายหรือเพาะปลูกได้ โดยที่ไม่ต้องวิ่งหนีsะเบิดเหมือนในพื้นที่ของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ เคเอ็นยู (Karen Nationwide Union – KNU)
“ชิต ตุ กลัวมาก มากที่สุด เขาจะไม่ยอมเลย คือเขาไม่ต้องการ เขาทําทุกสิ่งทุกอย่างเลยนะเพื่อที่จะกันพม่าออกไป พม่าเองก็รับส่วยจากบีจีเอฟ กะเหรี่ยงเคเอ็นยูก็รับเงินจากบีจีเอฟ เขาให้เงินพม่าเพราะเขาไม่ต้องการให้พม่าเข้ามาวุ่นในพื้นที่ของเขา ในขณะเดียวกันถ้ามีอะไรพม่าก็มากดดันบีจีเอฟ บอกให้บีจีเอฟไปคุยกับเคเอ็นยูหน่อย มันก็ยันกันอยู่แบบนี้” เธอกล่าว
“จริง ๆ แล้วมันก็กลับมาที่เรื่องของผลประโยชน์นั่นแหละ สงครามมันเป็น fair change (ธุรกิจที่ดี) เนาะ มันต้องมีคนได้ มันต้องมีคนที่เสีย มันต้องมีคนที่ร่ำรวยขึ้นมาจากการค้าสงคราม พวกบีจีเอฟ พวกดีเคบีเอ ก็ร่ำรวยขึ้นจากสงครามกลางเมืองที่ผ่านมา โดยการเปิดโอกาสให้พวกจีนเทาเข้ามาลงหลักปักฐาน” เธอกล่าว
ก่อนหน้านี้ สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Institute of Peace – USIP) เคยระบุไว้ในรายงานปี 2566 ว่ากองทัพเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ “ให้การคุ้มครองเขตอิทธิพลของกลุ่มอาชญากรรมในเมียนมา”
รายงานดังกล่าวระบุไว้ในช่วงหนึ่งว่ากองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ได้จัดหาที่ดินและให้การสนับสนุนแหล่งการพนันผิดกฎหมายขนาดใหญ่สองแห่งใกล้ชายแดนไทยในเมืองชเวโก๊กโก่และในเขตตงเหมย โดยหลังจากที่ตำรวจไทยได้จับกุม เฉอ จื้อเจียง ในปี 2565 และ หวัน ค็อกคอย ผู้ซึ่งถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ เดินทางกลับจีนนั้น ทำให้กองกำลังบีจีเอฟมีอำนาจควบคุมมากขึ้นในกิจการอาชญากรรมเหล่านี้ โดยพวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกิจการที่ผิดกฎหมายดังกล่าว ขณะที่กองทัพเมียนมาเองก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเข้ามาจัดการหรือควบคุม

ที่มาของภาพ : Getty Images
.ถามว่า หากรัฐบาลทหารเมียนมารับส่วยจากบีจีเอฟ แล้วเหตุใดจึงต้องตัดท่อน้ำเลี้ยงของกองกำลังกลุ่มนี้ ทั้งที่ตัวเองก็อาจจะเสียประโยชน์ด้วย ?
ผศ.ดร.ลลิตา มองว่าเพราะรัฐบาลทหารเมียนมาต้องการ “ช่วงชิงพื้นที่” และ “จัดระเบียบชายแดนใหม่ทั้งหมด” ซึ่งรวมถึงเรื่องเศรษฐกิจและการค้า เพื่อหาความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy) ให้ทหารสืบทอดอำนาจต่อ นอกจากนี้ พวกเขาอาจประเมินแล้วว่าแม้การปราบปรามแหล่งสแกมเมอร์จะทำให้ตัวเองเสียประโยชน์ไปด้วยเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันทำลายความเข้มแข็งของกองกำลังกะเหรี่ยงได้มากกว่า
เธอมองว่ารัฐบาลทหารเมียนมาต้องการควบคุมพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นเส้นทางการค้าระหว่างไทยกับเมียนมา เพื่อที่จะสามารถเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาพบว่ารัฐบาลทหารเมียนมาปูพรมทิ้งsะเบิดเข้ามาใกล้ชายแดนมากขึ้น เพื่อต้องการยึดพื้นที่คืนจากกลุ่มกะเหรี่ยง ขณะเดียวกันก็มีช่วงที่ปิดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 โดยออกนโยบายจํากัดไม่ให้สินค้าบางชนิดจากประเทศไทยเข้าไปภายในประเทศ และทำลายเส้นทางท่าข้ามต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งลำเลียงทรัพยากรของชนกลุ่มน้อย
“มันเป็นนโยบายจัดระเบียบทั้งชายแดนของพม่า ก็เหมือนกับลองนึกถึงไทยกับเขมร จะมีข้อตกลงหยุดยิv สมมติข้อตกลงหยุดยิvเที่ยงคืน ไทยก็ต้องรบให้ได้มากที่สุด เอาพื้นที่กลับมาให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะมีสนธิสัญญาข้อตกลงหยุดยิv จริงหรือเปล่า” ผศ.ดร.ลลิตา ให้ความเห็น
“ถ้าเราติ๊ต่างว่าการเลือกตั้งคือข้อตกลงหยุดยิvประมาณหนึ่ง เพราะการเลือกตั้งมันเท่ากับสิ่งที่เรียกว่า political legitimacy (ความชอบธรรมทางการเมือง) ที่จะทําให้ทหารสืบทอดอํานาจต่อไปได้อย่างชอบธรรม มันก็ต้องสร้างความชอบธรรมไปพร้อม ๆ กับการได้พื้นที่และได้คน” นักวิชาการจาก ม.เกษตรศาสตร์ วิเคราะห์
- สมมติฐานที่ 2: สองฝ่ายร่วมเล่นละครฉากใหญ่ ลดแรงกดดันจากนานาชาติ
ด้าน ศ.ดร.ปิ่นแก้ว จาก ม.เชียงใหม่ มองท่าทีที่ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟในการกวาดล้างแหล่งสแกมเมอร์ ว่าเป็นเพียงแค่ “การละคร”
เธอให้เหตุผลว่าเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เคยมีการกวาดล้างแหล่งสแกมเมอร์ในเมืองชเวโก๊กโก่ไปแล้วรอบหนึ่ง หากกองกำลังบีจีเอฟมีความตั้งใจจริง เหตุใดจึงมีชาวจีนกลับเข้าไปดำเนินการในแหล่งสแกมเมอร์จนต้องประกาศปราบปรามซ้ำอีกรอบ
“มันกวาดล้างซ้ำซากอยู่ตลอด… เราก็เห็นอยู่ มันก็คงเป็นการละคร คือกวาดล้างไปแล้ว นี่คือจะมากวาดล้างอีกแล้ว แล้วการที่คนจีนกลับเข้าไปดำเนินกิจการคืออะไร” นักวิชาการจาก ม.เชียงใหม่ ให้ความเห็น
“ดิฉันพานักศึกษาไปลงพื้นที่อ.แม่สอดเมื่อช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา จากฝั่งตรงข้าม ฝั่งไทย มองเข้าไปที่ชเวโก๊กโก่ สิ่งที่เราเห็นเลยก็คือว่า มันมีการก่อสร้าง ตึกใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น การที่เขาประกาศว่าเขากวาดล้าง มันเป็นการลดแรงเสียดทาน หรือลดแรงกดดันจากนานาชาตินั่นแหละ” เธอวิเคราะห์
ศ.ดร.ปิ่นแก้ว ยังตั้งข้อสงสัยถึงการ “เล่นใหญ่” ของรัฐบาลทหารเมียนมาในการทิ้งsะเบิดอาคารที่เมืองเคเค พาร์ค ว่านอกจากต้องการจะลดแรงเสียดทานจากต่างประเทศแล้ว ยังอาจต้องการทำลายหลักฐานกรณีที่เคยมีข่าวเกี่ยวกับการค้าขายอวัยวะในแหล่งสแกมเมอร์หรือไม่ด้วย

ที่มาของภาพ : Getty Images
กลางเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเดลีเมลของสหราชอาณาจักร รายงานกรณีของเวรา คราฟต์โซวา นางแบบวัย 26 ปีชาวเบลารุส ถูกลักพาตัวจากประเทศไทยไปยังศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมา ก่อนจะถูกฆ่-าและขายอวัยวะ ซึ่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย ยืนยันในเวลาต่อมาว่า เธอไม่ได้ “ถูกอุ้ม” ไปยังเมียนมา แต่เดินทางไปด้วยตนเอง โดยเดินทางเข้าประเทศไทยจริง เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2568 ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ และเดินทางออกจากไทยด้วยเที่ยวบิน TG301 เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ไปยังปลายทางสนามบินย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา
“ก็เป็นข้อสงสัยจากที่ว่า นอกจากเรื่องการเล่นละคร เล่นใหญ่เพื่อที่จะทำให้เห็นว่าจริงจัง มันมีเรื่องอื่นที่แฝงเร้นที่รัฐบาลทหารเมียนมาไม่ต้องการให้คนภายนอกได้รับรู้ ก็เลยใช้วิธีการsะเบิดตึกเป็นเครื่องมือหรือเปล่า ดิฉันเพียงแค่สงสัย อันนี้ไม่ได้มีข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น” เธอตั้งคำถาม
ศ.ดร.ปิ่นแก้ว มองต่างจาก ผศ.ดร.ลลิตา ว่าปฏิบัติการปราบปรามที่กำลังเกิดขึ้นนั้น “เป็นความร่วมมือกัน มากกว่าที่จะเป็นการหักกัน” ระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ
“บีจีเอฟกับรัฐบาลทหารพม่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” เธอกล่าว “บีจีเอฟเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลทหารพม่าอยู่แล้ว เป็นกองกำลังที่สนับสนุนรัฐบาลทหาร”
“พื้นที่ตรงนั้นคนที่เก็บค่าต๋งเป็นบีจีเอฟ… ทั้งเคเค พาร์ค ทั้งชเวโก๊กโก่ เป็นพื้นที่ของบีจีเอฟ การที่ชิต ตุออกมาบอกว่าจะกวาดล้าง แล้วคนจีนหนีออกมา ก็แสดงว่าบีจีเอฟนั้นเล่นตามเกมของรัฐบาลทหารพม่า” เธอให้ความเห็น
“ที่ผ่านมาบีจีเอฟไม่ได้ออกมามีท่าทีหรือมี statement (แถลงการณ์) ประณามรัฐบาลทหารพม่าเรื่องไปsะเบิดเคเค พาร์คเลย แล้วก็ไม่มีท่าทีใด ๆ กับการปฏิเสธเรื่องการกวาดล้างสแกมเมอร์ เขาก็เล่นบทพระเอกมาตั้งแต่ต้นปีแล้วจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นดิฉันคิดว่าเป็นความร่วมมือกันมากกว่าที่จะเป็นการหักกัน” เธอกล่าวสรุป
อาจารย์จาก ม.เชียงใหม่ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ปฏิบัติการปราบปรามแหล่งสแกมเมอร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีลักษณะของการเลือกเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย (target) ที่ถูกกดดัน แต่ไม่ได้ปราบปรามตลอดแนวพื้นที่ชายแดน
“เราก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นการเลือก target (เป้าหมาย) พื้นที่ที่ถูกกดดันใช่ไหม แต่ไม่ได้แปลว่าพื้นที่ตลอดแนวชายแดน ซึ่งมีการสร้างตึกใหม่โผล่ขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา มันได้รับการจัดการในวิธีเดียวกัน” เธอกล่าว
ศ.ดร.ปิ่นแก้ว ยกตัวอย่างว่ายังมีแหล่งสแกมเมอร์เกิดใหม่อีกมากมายตามแนวพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ถูกปราบปราม รวมถึงบางจุดที่มีความเชื่อมโยงกับกองกำลังดีเคบีเอ ทั้งที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำไปแล้ว
“มันมีพื้นที่เกิดใหม่ของตึกสแกม มันเกิดขึ้นอยู่เต็มไปหมด คือsะเบิดตึกตรงนี้ไม่ได้แปลว่ากลุ่มทุนพวกนี้ย้ายที่ไม่ได้” เธอแสดงทรรศนะ
“กรณีชเวโก๊กโก่เราก็เห็นอยู่แล้วว่าsะเบิดโชว์ ก็คือไล่โชว์ เขาก็หนี คือตัวหลักก็หนีไปซ่อนใช่ไหม เสร็จแล้วพอเรื่องมันซา ไม่ทันถึงปีด้วยซ้ำ เขาก็กลับมาใหม่ เคเค พาร์คก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าsะเบิดตึก แต่ที่ดินยังอยู่” เธอกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มทุนจีนในแหล่งสแกมเมอร์ มีสัญญาเช่าที่ดินระยะยาวในพื้นที่
“กรณีชเวโก๊กโก่ มีสัญญาเช่าที่ 60 ปี ต่อได้ถึง 99 ปี กรณีของเคเค พาร์ค เข้าใจว่าเป็นเคเอ็นยูไปทำสัญญาไว้” ศ.ดร.ปิ่นแก้ว ระบุ “ตราบเท่าที่สัญญาเช่าโดยทุนจีนยังอยู่ sะเบิดตึกไม่มีประโยชน์ ไม่มีผล เขาก็กลับมา คือสัญญามันอายุยาวมาก มันร่วมสองชั่วอายุคน ดังนั้นกลุ่มทุนเดิมจะกลับมาแน่นอน”
ปราบสแกมเมอร์แบบ “ราบคาบ” ทำได้จริงหรือไม่ ?
นักวิชาการทั้งสองรายมองตรงกันว่ายังทำไม่ได้
“ตราบใดก็ตามที่พม่ายังมีสงครามกลางเมือง มีการสู้รบระหว่างรัฐบาลทหาร กองทัพพม่ากับชนกลุ่มน้อยอยู่ มันก็จะมีธุรกิจสีเทา ๆ ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น scam center (ศูนย์สแกมเมอร์) ยาเสพติด หรือธุรกิจผิดกฎหมายอื่น ๆ อยู่ต่อไป” ผศ.ดร.ลลิตา บอกกับ.
เธอบอกว่าแม้รัฐบาลทหารเมียนมาจะตั้งใจจริงในการตัดกำลังของกองกำลังกะเหรี่ยงต่าง ๆ แต่เมื่อปราบปรามฐานสแกมเมอร์ในที่หนึ่ง ๆ สิ่งที่กลุ่มขบวนการจะทำก็แค่ย้ายฐานไปที่อื่น ๆ
“มันไม่มีทางปราบหมดหรอก ยกเว้นคุณเอาคนจีนออกไปจากพื้นที่ตรงนี้ให้หมด กลับไปดำเนินคดีที่จีนให้หมด มันก็อาจจะพอหมด” เธอกล่าว “แต่นี่มันไม่มีทาง คือปราบชเวโก๊กโก่ มันก็เข้าไปเคเค พาร์ค ปราบเคเค พาร์ค มันก็เข้าไปชเวโก๊กโก่ ปราบชเวโก๊กโก่ มันก็เข้าไปที่เมืองช่องแคบอย่างนี้ คือมันมีที่ไป” เธอระบุ
ขณะที่ ศ.ดร.ปิ่นแก้ว มองว่า หากรัฐบาลทหารเมียนมาต้องการปราบปรามแหล่งสแกมเมอร์ให้หมดไปจริง ๆ ก็ต้องยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินทั้งหมดที่มีกับกลุ่มทุนจีนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสแกมเมอร์ และขึ้นบัญชีดำ “หัวโจกใหญ่” ทั้งหมดให้เป็นอาชญากร
“สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่รื้อตึก” เธอกล่าวย้ำ “สิ่งที่ต้องทำก็คือทำให้อาชญากรจีนพวกนี้เป็นอาชญากรตามกฎหมาย ทำแบบที่สหรัฐอเมริกา อังกฤษทำ เจอที่ไหนจับที่นั่น”
ความเสี่ยงของไทยหากอยู่เฉย

ที่มาของภาพ : Getty Images
ผศ.ดร.ลลิตา มองว่าในช่วงเวลาที่รัฐบาลทหารเมียนมากำลังเดินเกมปราบปรามสแกมเมอร์ หากฝ่ายไทยแค่ตั้งรับ อาจต้องรับมือกับการแตกฮือของกลุ่มคนหลายหมื่นคน ที่อาจหนีข้ามมาฝั่งไทย
“ข้อมูลที่ได้มา บ่อนฝั่งนู้นทั้งหมดที่มันยังเหลือ มันไม่ถูก bomb (sะเบิด) หมดนะ ทั้งเคเค พาร์ค ชเวโก๊กโก่ ไท่ชาง วาเลย์ ฯลฯ มีอีก 60,000 คน” เธอเปิดเผย “สมมติอยู่มาวันหนึ่ง พม่าตัดสินใจแล้ว เอาเครื่องบินมาปูพรมทิ้งsะเบิด ถามว่าประเทศไทยมีศักยภาพไหมที่จะรับคนเป็นหมื่นคนข้ามมาฝั่งเรา แล้วไม่รับก็ไม่ได้ เขาถือว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน”
อาจารย์จาก ม.เกษตรศาสตร์ ผู้นี้มองว่า ทางที่ดีรัฐบาลไทยควรอาศัยจังหวะนี้ร่วมวงปราบสแกมเมอร์ฝั่งเมียนมา ด้วยการปราบปรามธุรกิจสีเทาที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน และอายัดบัญชีกลุ่มกองกำลังกะเหรี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสแกมเมอร์
“พวกนี้ network (เครือข่าย) มันอยู่ในฝั่งไทยทั้งนั้นนะ ชิต ตุ อะไรพวกอย่างนี้มาไทยเรื่อย ๆ นะ มันก็ต้องทำอะไรสักอย่างสิ ไม่ใช่ว่าโอ้โห เห็นเขาทะเลาะกันแล้วก็เป็นผู้ดูอย่างเดียว ไม่คิดจะทำอะไรเพื่อที่จะทำให้ชายแดนของเรามันมีความเข้มแข็งและทันสมัยกว่าเดิมเลย” ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว
“อเมริกันเขามีบัญชีรายชื่อดีเคบีเอกี่คน มีบีจีเอฟไปก่อนหน้านี้ คุณก็สืบเลยแล้วคุณ freeze (แช่แข็ง) บัญชีทั้งหมด หรือทหารตำรวจชายแดนนี่เขารู้หมดว่า ชิต ตุ มีธุรกิจอะไรบ้างอยู่ชายแดน ผู้นำพวกนี้มีธุรกิจอะไรอยู่ในฝั่งแม่สอด แต่ไม่ทำไง มัวรออะไรอยู่”
“ตราบใดที่ชายแดนมันยังเป็นพื้นที่สีเทา ๆ มันยังไม่มีการ preserve watch over (ควบคุม) แบบ 100% มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ” นักวิชาการรายนี้กล่าวทิ้งท้าย













