
บอร์ด สปสช. ร่วม สธ. แก้ปัญหางบผู้ป่วยในปี 69 คงอัตราจ่าย 8,350 บาท พร้อมเร่งเสริมสภาพคล่อง-โอนล่วงหน้า 50% ให้ รพ. ยัน '30 บาทรักษาทุกที่' เดินหน้า ไม่เก็บเงินคนไข้
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหางบกองทุนผู้ป่วยในร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ภายหลังประชุมบอร์ด สปสช. ว่า การประชุมบอร์ด สปสช. ในวันนี้ มีวาระที่หารือเพื่อแก้ปัญหางบผู้ป่วยในไม่เพียงพอคือ แนวทางการแก้ไขปัญหางบกองทุนผู้ป่วยในร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และแนวทางการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขล่วงหน้าเพื่อเสริมสภาพคล่องของโรงพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
“แนวทางแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ ผ่านการหารือระหว่าง สปสช. และ สธ. รวมถึงชมรมโรงพยาบาลในระดับต่างๆ แล้ว ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องด้วยกัน ผมได้กำชับให้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด สธ. และ สปสช. ต้องรู้ข้อมูลเท่ากัน เพื่อให้การทำงานกับผู้ป่วยเกิดประโยชน์สูงสุด ผมเชื่อมั่นว่า มติบอร์ด สปสช.ที่ออกมาวันนี้ จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันในครั้งนี้คลี่คลายและยุติลง จับมือเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป มีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน รัฐบาลขอยืนยันว่า 30 บาทรักษาทุกที่ หรือสิทธิบัตรทองของผู้ป่วยยังเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่มีใครล้มระบบ และไม่มีประเด็นให้ผู้ป่วยต้องร่วมจ่ายเพราะงบประมาณไม่เพียงพออย่างแน่นอน ความคิดเห็นและข้อเสนอต่างๆ ขณะนี้ล้วนเป็นไปเพื่อต้องการให้ระบบดีขึ้น และทั้ง สธ. และ สปสช. ก็ปรับปรุงแก้ไขเพื่อทำให้ระบบดีขึ้น ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล การบริการต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับทราบและติดตามการแก้ไขปัญหาอยู่ตลอด ขอให้ทุกคนมั่นใจได้” นายพัฒนา กล่าว
ด้าน นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมา สธ. และ สปสช. ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ผ่านการหารือกับชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน รวมถึงกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ จนนำมาสู่แนวทางที่เสนอบอร์ด สปสช. พิจารณาในวันนี้ โดยในส่วนงบประมาณผู้ป่วยในปี 2568 ได้ข้อยุติแล้ว จากนี้ สธ. และ สปสช. จะเดินหน้าบริหารการจัดสรรงบประมาณปี 2569 ให้กับหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. ร่วมกันต่อไป โดยค่าบริการผู้ป่วยใน ยังคงอัตราจ่าย 8,350 บาทต่อ AdjRW ทั้งปี รวมทั้งร่วมกันบริหารงบประมาณกองทุน จำนวน 5 หมวด ได้แก่ บริการผู้ป่วยนอก (OP) บริการผู้ป่วยใน (IP) บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP overall provider) การจ่ายตามรายการ Price schedule และการบริหารแบบโครงการ โดยยึดหลักการให้ความสำคัญกับการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในให้เพียงพอ และพิจารณาลดรายการบริการที่ไม่จำเป็น
นพ.สมฤกษ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐสังกัด สป.สธ.นั้น ในปี 2569 กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพได้จัดทำข้อเสนอประกอบพิจารณาแยกเงินเดือนบุคลากรภาครัฐสังกัด สป.สธ. ออกมาในภาพรวม จากเดิมที่แยกเงินเดือนเป็นแต่ละหน่วยบริการ เพื่อให้เห็นงบค่าบริการสาธารณสุขที่เหลือจริงหลังจากหักเงินเดือน และเป็นข้อมูลให้ สธ. บริหารการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยบริการภายใต้เครือข่ายหน่วยบริการประจำ นอกจากนั้น สธ. จะร่วมกับ สปสช. จัดระบบการกำกับติดตาม ตรวจสอบเวชระเบียนการให้บริการผู้ป่วยในของหน่วยบริการทุกแห่งให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเสนอของบประมาณเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในกรณีที่มีการให้บริการเกินกว่าเป้าหมายที่ได้รับงบประมาณ
ขณะที่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า จากมติบอร์ด สปสช. ในวันนี้ หลังจากนี้ สปสช. จะเดินหน้าบริหารกองทุนร่วมกับกับ สธ. โดยในส่วนของปี 2568 และปี 2569 มีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนตามที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้กล่าวไปแล้ว ในส่วนของการจัดทำคำของบประมาณปี 2570 นั้น สธ. และ สปสช. จะร่วมกันจัดทำข้อมูลประมาณการผลงานให้บริการผู้ป่วยในรายหน่วยบริการในภาพรวมทุกสังกัด และมีการแยกกลุ่มบริการให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาอัตราการเติบโตการให้บริการของปีงบประมาณ 2569 สำหรับการคำนวณวงเงินปลายปิดรายเขตเพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณปี 2570 ให้เพียงพอ หลังจากนี้จะมีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง สธ. สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันจัดทำต้นทุนบริการที่เหมาะสมในการจัดทำงบประมาณปีถัดไป และใช้สำหรับการประกอบการทำคำของบกลาง
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้หน่วยบริการนั้น จากการหารือร่วมกัน สปสช.ได้โอนงบค่าบริการผู้ป่วยนอก (OP) และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) ในปีงบประมาณ 2569 สำหรับหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติและ รพ.สต.ถ่ายโอนฯ ร้อยละ 50 ให้กับหน่วยบริการไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา
“สปสช. ขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานต่างๆ และทุกความเห็นที่เสนอเรื่องการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หลังจากนี้ขอยืนยันว่าจะทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่ท่านรัฐมนตรีได้กำชับไว้ เพื่อให้หน่วยบริการได้บริการสาธารณสุขตามสิทธิแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” นพ.จเด็จ กล่าว
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )













