วาระร้อนที่เพื่อไทยต้องรับมือ หลังภูมิใจไทย “ถอนตัว” จากรัฐบาล “แพทองธาร”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

อนุทิน ชาญวีรกูล บอกว่า การที่นายกฯ ส่งเลขาธิการนายกฯ มาพูดคุยขอกระทรวงมหาดไทยคืนไป แสดงให้เห็นชัดเจนว่านายกฯ “คงไม่มีความสบายใจนักที่จะมาพูดคุย เพราะความสัมพันธ์ของเรามันดีมาก” ในภาพเป็นวันแถลงสนับสนุนแพทองธารเป็นนายกฯ เมื่อ 15 ส.ค. 2567

พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ส่อเค้าจะถูกปรับพ้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ชิงถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล “แพทองธาร” แล้ว โดยให้รัฐมนตรีในสังกัดทุกคนส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี มีผลวันพรุ่งนี้ (19 มิ.ย.)

พรรค ภท. ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 2 ของรัฐบาล ออกแถลงการณ์ในช่วงเวลา 20.30 น. ของวันนี้ (18 มิ.ย.) โดยอ้างถึงกรณีการโทรศัพท์เจรจาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ของประเทศไทย และกองทัพไทย

กรรมการบริหารพรรค ภท. จึงมีมติให้ รมต. ของพรรค ภท. ทุกคนส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผล 19 มิ.ย. เป็นต้นไป

แถลงการณ์ของพรรค ภท. ยังยังเรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ประเทศไทย ต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชน และกองทัพ

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเช้า พรรค ภท. ส่อเค้าจะตกที่นั่งฝ่ายค้าน ภายหลังไม่อาจตกลงเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) กับพรรคแกนนำรัฐบาลได้ลงตัว

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed finding outได้รับความนิยมสูงสุด

Conclude of ได้รับความนิยมสูงสุด

ชนวนเหตุที่ทำให้พรรคสีน้ำเงินถูกบังคับให้พ้นจากอำนาจฝ่ายบริหารในช่วงกลางเทอมของรัฐบาลเพื่อไทย เป็นเพราะพรรคแกนนำต้องการทวงคืนเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. นั่งอยู่ แต่หัวหน้าพรรคร่วมฯ รายนี้ไม่ยินยอม

เขาประกาศผ่านสื่อหลายครั้งว่า “พร้อม” เป็นฝ่ายค้านหากถูกยึดเก้าอี้ มท. 1 และได้แจ้งการตัดสินใจกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาพบปะ-พูดคุยที่กระทรวงมหาดไทย ช่วงบ่ายวันที่ 17 มิ.ย. ว่า “ให้ไม่ได้”

“คุณหมอพรหมินทร์ได้มาหารือกันและบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีความจำเป็น อยากจะบริหารกระทรวงมหาดไทยเอง ซึ่งได้ปฏิเสธไปแล้ว เพราะมันผิดข้อตกลง แต่หมอพรหมมินทร์บอกว่าเป็นความต้องการของพรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่า ‘ไพ่ใบสุดท้าย' เมื่อเริ่มต้นมาเช่นนี้ ไม่ต้องรอ 2-3 วัน ตอบได้เลย และได้ตอบไปแล้ว” รองนายกฯ เปิดเผยบทสนทนากับเลขาธิการนายกฯ หลังปรากฏข่าวว่าพรรค พท. ให้เวลา 48 ชม. ในการพิจารณาข้อเสนอ “2 แลก 1” คือ เอาเก้าอี้ 1 รมว.สาธารณสุข และ 1 รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไป แลกกับการคืน รมว.มหาดไทย

หัวหน้าพรรค ภท. วัย 58 ปี เคยเป็นทั้ง “ลูกน้อง” ของนายกฯ ชินวัตรผู้พ่อ ทักษิณ ชินวัตร และนายกฯ ชินวัตรผู้ลูก แพทองธาร ชินวัตร

เขา “ไม่เคยคิด” ว่าจะเดินมาถึงจุดที่ต้องแยกทางจากรัฐบาลเพื่อไทย “คิดว่าทุกคนจะรักษาข้อตกลง แต่ไม่เป็นไร ถ้าข้อตกลงรักษากันไม่ได้ เราก็ต่างคนต่างไป”

ตอนนี้แยกทางกันแล้วหรือไม่? นายอนุทินตอบคำถามสื่อว่า “ถ้าหากเป็นไปตามนี้ ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ”

หัวหน้าพรรค 69 เสียงยังบอกด้วยว่า “เชื่อมั่นว่าไม่มีนายกฯ คนไหนที่อยากมีโครงสร้างรัฐบาลที่อยู่ได้เพราะเอางูเห่ามาค้ำยัน” ส่วนหลังจากนี้ “หากเป็นฝ่ายค้านก็คงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างอย่างเต็มที่” ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเล่นเกมอะไร ต้องทำตามบทบาท เหมือนกับตอนเป็นฝ่ายบริหารก็บริหารอย่างเต็มที่

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

สส. ภูมิใจไทย “เจนใหม่” มี ภราดร ปริศนานันทกุล รวมอยู่ด้วย

ผลจากการถอนยวงของพรรค ภท. ซึ่งมี สส. อยู่ 69 เสียง ทำให้รัฐบาลเหลือเสียงในสภาผู้แทนราษฎร 261 เสียง เกินกึ่งหนึ่งไปเพียง 13 เสียง (กึ่งหนึ่งคือ 248 เสียง จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 495 คน)

โดยพรรค พท. จะได้เก้าอี้รัฐมนตรีคืนกลับมา 8 ตำแหน่ง เพื่อจัดสรรให้แก่นักการเมืองของพรรคและพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือเพิ่มเติม

อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารตั้งแต่เดือน ก.ย. 2567 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ คนที่ 30 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง” จากกรณีแต่งตั้งบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญเป็น รมต.

ผลจากการพ้นเก้าอี้ของนายกฯ เศรษฐา ทำให้ ครม. ต้องพ้นไปทั้งคณะ ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลเดิมยืนยันว่าจะสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ จากพรรค พท. เป็นผู้นำรัฐบาลคนใหม่

เช็กเสียงรัฐบาล vs ฝ่ายค้าน

โฉมหน้าของรัฐบาล “แพทองธาร 1/2” ตามที่แกนนำพรรค พท. ให้ข้อมูลเอาไว้ คาดว่าจะประกอบด้วย 11 พรรคการเมืองหลักที่มี สส. รวมกัน 256 เสียง ร่วมด้วย สส. จากพรรคฝ่ายค้านที่มีพฤติกรรมโหวตสนับสนุนรัฐบาลในหลายกรรมหลายวาระอีก 5 เสียง รวมเป็น 261 เสียง

ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมี 5 พรรค มีเสียงในสภารวมกัน 234 เสียง

นั่นหมายความว่า เสียงในสภาของรัฐบาลกับฝ่ายค้านห่างกันอยู่ 27 เสียง

รัฐบาลผสม 11 พรรคการเมืองหลัก ประกอบด้วย 1. พรรคเพื่อไทย (พท.) 142 เสียง 2.พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 36 เสียง 3. พรรคกล้าธรรม (กธ.) 26 เสียง 4. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 25 เสียง (แต่มีกลุ่ม “ผู้อาวุโส” 4 คนที่ใช้เอกสิทธิ์งดออกเสียงในหลายกรรมหลายวาระ) 5.พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 10 เสียง 6. พรรคประชาชาติ (ปช.) 9 เสียง 7. พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) 3 เสียง 8. พรรคไทรวมพลัง (ทร.) 2 เสียง 9. พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) 1 เสียง 10. พรรคเสรีรวมไทย (สร.) 1 เสียง 11. พรรคไทยก้าวหน้า (ทกน.) 1 เสียง

ส่วน 5 สส.ฝ่ายค้านที่เข้าร่วมรัฐบาลโดยพฤตินัยภายใต้การประสานงานของแกนนำพรรค กธ. มาจากพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) 3 เสียง (นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ, นางรำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี และนางสุภาพร สลับศรี สส.ยโสธร) พรรคประชาชน (ปชน.) 1 เสียง (น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 1 เสียง (น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ)

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ต้องตกที่นั่งฝ่ายค้านในช่วงจัดตั้งรัฐบาล “แพทองธาร” เมื่อพรรค พท. เลือกกลุ่ม “ร้อยเอก” และไม่รับกลุ่ม “พลเอก” เข้าร่วมรัฐบาล

ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน 5 พรรค มีเสียงรวมกัน 234 เสียง หลังหัก สส. ที่มีพฤติกรรมร่วมรัฐบาลออกแล้ว ประกอบด้วย 1.พรรคประชาชน (ปชน.) 142 เสียง 2. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 69 เสียง 3. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 19 เสียง 4. พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) 3 เสียง (2 คนคือ นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ และนายหรั่ง ธุระพล ที่เปิดตัวร่วมงานกับพรรค ภท. และอีกคนคือนายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด) และ 5. พรรคเป็นธรรม (ปธ.) 1 เสียง

จับตาฝุ่นตลบรอบใหม่ เกลี่ยเก้าอี้ รมต.

เมื่อพรรค ภท. หายไปจากโต๊ะ ครม. จะทำให้มีเก้าอี้ รมต. ว่างลงถึง 8 ตำแหน่ง แบ่งเป็น 4 รัฐมนตรีว่าการ (รมว.) ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงแรงงาน, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงศึกษาธิการ และ 4 รัฐมนตรีช่วยว่าการ (รมช.) ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย 3 ตำแหน่ง, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงพาณิชย์

ในคราวจัดตั้งรัฐบาล “แพทองธาร” มี 6 พรรคร่วมฯ และ 1 กลุ่มการเมืองได้เก้าอี้ รมต. ไปครอบครอง ภายใต้สูตร 9 สส. ต่อ 1 เก้าอี้ รมต. โดยพรรคแกนนำอย่างเพื่อไทย ได้โควต้า รมต. สูงสุด 16 คน รวม 20 ตำแหน่ง ส่วนพรรค ภท. ได้โควต้า 8 คน 9 ตำแหน่ง พรรค รทสช. ได้โควต้า 4 คน 5 ตำแหน่ง “กลุ่มธรรมนัส” ได้โควต้า 3 คน 3 ตำแหน่ง พรรค ปชป. ได้โควต้า 2 คน 2 ตำแหน่ง ส่วนพรรค ชทพ. และพรรค ประชาชน ได้โควต้าพรรคละ 1 ตำแหน่ง

ในช่วงรอยต่อรัฐบาล “เศรษฐา” มาสู่ “แพทองธาร” มีความเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้นกับพรรคร่วมฯ เมื่อพรรค พปชร. ซึ่งมี สส. อยู่ 40 เสียงถูกผ่าออกเป็น 2 ซีก ครึ่งหนึ่งอยู่กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และอีกครึ่งหนึ่งอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยต่างฝ่ายต่างส่ง “โผ ครม.” ให้ผู้นำรัฐบาล แต่สุดท้ายนายกฯ อุ๊งอิ๊งเลือกรับโผของ “ร้อยเอก” และยัดเยียดสถานะฝ่ายค้านให้ “พรรค-พวกลุงป้อม” ก่อนไปคว้าเอา “พรรคคู่แค้น” 2 ทศวรรษอย่างพรรค ปชป. มาเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อเติมเต็มเสียงของพรรค พปชร. ที่หายไปครึ่งพรรค

มาถึงความอลหม่านการเมืองล่าสุดก่อนปรับ ครม. “แพทองธาร 1/2” พรรค รทสช. ซึ่งถูกเรียกขานว่า “มรดกลุงตู่” คล้ายเดินตามรอย “พรรคลุงป้อม” เมื่อเกิดความขัดแย้ง-แย่งอำนาจของ 2 ขั้วอำนาจภายในพรรค โดย สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรค รทสช. ยื่นหนังสือถึงนายกฯ เสนอให้ปรับ ครม. ในสัดส่วนของพรรค รทสช. ทุกตำแหน่ง พร้อมแนบรายชื่อพร้อมลายมือชื่อ สส. รวม 21 คน โดยให้เหตุผลว่า รมต. ในสัดส่วนของพรรค “ยังขาดความรู้ความสามารถในการบริหารงาน…” และยังเรียกร้องให้ต้นสังกัดขับพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อเปิดประตู่สู่การย้ายไปอยู่พรรคโอกาสใหม่

จากนั้นได้เกิดการโต้กลับจากฝ่าย “หัวหน้าพี” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรค รทสช. ที่ผนึกกำลังกับ “เลขาฯ ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรค รทสช. กลายเป็นวิวาทะข้ามสัปดาห์-ท้าทายกันไปมาผ่านสื่อ ทั้งนี้สถานการณ์ล่าสุดคือ 36 สส. ของพรรค รทสช. แตกเป็น 2 เสี่ยง ฝ่ายละ 18 เสียง

ที่มาของภาพ : สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ครม. “แพทองธาร 1” ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันที่สนามหญ้า หน้าตกึไทยคู่ฟ้า ทำเนียบฯ

ดังนั้นถ้ามีการปรับ ครม. ใหญ่ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดภาวะฝุ่นตลบทางการเมือง ทั้งจากคนในพรรค พท. เอง รวมถึงจาก 2 พรรคร่วมฯ อย่างพรรค รทสช. และพรรค กธ. ที่ไม่ได้มีสถานะเป็นเพียงกลุ่มการเมืองแล้ว แต่เป็น “พรรคกล้าธรรม(นัส)” ที่กุมเสียงอยู่ในมืออย่างน้อย 31 เสียง

เมื่อเสียงของรัฐบาล “แพทองธาร” ลดลงเหลือ 261 เสียง สูตรคำนวณเก้าอี้ รมต. ย่อมต้องปรับเปลี่ยนตาม โดยความน่าจะเป็นอยู่ที่ 7.5 สส. ต่อ 1 เก้าอี้ รมต. ซึ่งคาดว่าจะมีนักการเมืองอีกหลายคนวิ่งเข้าหาศูนย์กลางอำนาจอีกหลายยก

แต่ถึงกระนั้นใช่ว่าใครอยากเป็นแล้วจะได้เป็น เพราะแคนดิเดต รมต. ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้นายกฯ คนที่ 31 ต้องตกเก้าอี้เพราะถูกยื่นตรวจสอบมาตรฐานจริยธรรม

วาระร้อนที่รออยู่ในสภา

แม้รัฐบาลยังครองเสียงข้างมากของสภา แต่เลยองค์ประชุมไปเพียง 13 เสียงเท่านั้น ท่ามกลางสารพัดวาระร้อนที่รออยู่ตั้งแต่วันเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ 3 ก.ค.

.ขอประมวลปฏิทินพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญไว้ ดังนี้

ก.ค.

ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่ถูก “ยับยั้ง” ไว้ 180 วัน นับจากสภาเมื่อ 18 ธ.ค. 2567 มีมติ “ไม่เห็นชอบ” กับร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วม สส.-สว. ด้วยคะแนนเสียง 326 ต่อ 61 จะกลับเข้าสู่ที่ประชุมสภาอีกครั้งเพื่อให้ลงมติยืนยันตามร่างดั้งเดิมของ สส. (ครบกำหนด 180 วันเมื่อ 17 มิ.ย. 2568 แต่เป็นช่วงปิดสมัยประชุม)

นี่ถือเป็นร่างกฎหมายสำคัญที่พรรค พท. ร่วมผลักดันเพื่อเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตามที่หาเสียงเลือกตั้งเอาไว้

สาระสำคัญของกฎหมายนี้คือ การกำหนดให้ใช้ “เสียงข้างมากชั้นเดียว” (Easy Majority) ของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในการผ่านความเห็นชอบในเรื่องที่ขอลงประชามติ ก่อนเกิดเหตุพลิกผันเมื่อ “สว. สีน้ำเงิน” นำทีมรื้อสาระสำคัญโดยให้กลับไปใช้เกณฑ์ “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” (Double Majority) ในการหาข้อยุติกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนต้องตั้ง กมธ. ร่วมเพื่อพิจารณา มี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.สีน้ำเงิน เป็นประธาน กมธ.

ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ได้รับการบรรจุระเบียบวาระแล้ว ซึ่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง จากพรรค พท. ระบุว่า เป็นเรื่องแรกที่ไปจ่ออยู่ในระเบียบวาระที่จะเข้าในสมัยสามัญเดือน ก.ค. ถ้าผ่านวาระ 1 ก็ตั้ง กมธ. ซึ่งการทำ กม. ใช้เวลาเป็นปี

“สภาเหลือ 2 ปี ถ้าไม่เสร็จสิ้นขั้นตอนกฎหมาย ก็จะเริ่มต้นที่ 0 ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็จะดำเนินการกฎหมายให้เสร็จในอายุของรัฐบาลชุดนี้” นายจุลพันธ์แถลงเอาไว้เมื่อ 4 มิ.ย.

ก่อนหน้านี้ นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรค ภท. ประกาศกลางสภาเมื่อ 9 เม.ย. ว่า “จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน และไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.ฉบับนี้” ทั้งที่ในเวลานั้นยังเป็นพรรคร่วมฯ เต็มตัว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ประชาชนเคลื่อนขบวนไปรัฐสภา ย่านเกียกกาย เมื่อ 9 เม.ย. เพื่อแสดงออกในเชิงเชิงต่อต้านร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

ส.ค.

ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 จะกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระ 2-3 ในช่วงกลางเดือน (คาดว่าเป็น 13-15 ส.ค.) และส่งเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในช่วงปลายเดือน (คาดว่าเป็น 25-26 ส.ค.)

รัฐบาลต้องอาศัย “เสียงข้างมาก” ในการผ่านร่างกฎหมายแต่ละฉบับ และกรณีเป็นกฎหมายสำคัญโดยเฉพาะกฎหมายการเงิน หากสภาไม่อนุมัติ นักการเมืองไทยมีธรรมเนียมปฏิบัติว่าต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือยุบสภา

หากพรรค ภท. ต้องหมดสถานะรัฐบาลจริง ก็จะไม่กระทบต่อเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ของนายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรค ภท. เหมือนเมื่อครั้งที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ชวดสิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลภายหลังเลือกตั้ง 2566 แต่เก้าอี้รองประธานสภาคนที่ 1 ก็ยังเป็นของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก เนื่องจากมาด้วยการโหวตของ สส. ในสภา และเป็นตำแหน่งที่ต้องโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

สำหรับอำนาจสำคัญ ๆ ที่อยู่ในมือรองฯ ภราดร ตามคำสั่งแบ่งงานของประธานสภาคือ การพิจารณากลั่นกรองร่าง พ.ร.บ., การจัดระเบียบวาระการประชุมสภาที่เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ./พ.ร.ก., การเป็นประธานในการประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธาน กมธ. ทุกคณะเพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณีสงสัยว่าร่าง พ.ร.บ. ใดเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงิน

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

มีการประเมินว่า “สว. สีน้ำเงิน” มีไม่ต่ำกว่า 130 เสียงในวุฒิสภา

นอกจากเสียงของสภาล่าง อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาซึ่งคุมเกมโดย “สว.สีน้ำเงิน” ยังเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเคยทำให้การเดิมเกมการเมืองของรัฐบาลต้อง “สะดุด” มาแล้วกับกรณีร่างกฎหมายประชามติ

สว. ยังเคยใช้เวทีวุฒิฯ “ฟาด” รัฐบาล ในระหว่างพิจารณาญัตติของ 2 สว. ให้ตั้ง กมธ.ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร เมื่อ เม.ย.

หรือการจับมือของ กมธ. 2 ชุดคือ กมธ.สาธารณสุข ที่มีนายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สว.สีน้ำเงิน เป็นประธาน กับ กมธ.กฎหมายและการยุติธรรม ที่มี พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว.สีน้ำเงิน เป็นประธาน เพื่อดำเนินงานร่วมกันในประเด็นจริยธรรมทางการแพทย์ หลังแพทยสภามีมติลงโทษ 3 แพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา “ชายชั้น 14”

เช่นเดียวกับ กมธ.การทหารและความมั่นคงของรัฐ ที่มี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว.สีน้ำเงิน เป็นประธาน เตรียมใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เพื่อให้ ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินจากกรณีปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่สำคัญคือ สว. 1 ใน 10 ของสมาชิกที่มีอยู่ หรือ 20 คน สามารถเข้าชื่อกันยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ให้ตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ และยื่นถอดถอนนายกฯ และ ครม. ออกจากตำแหน่งได้

ถึงขณะนี้วุฒิสภาชุดที่ 13 ยังเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แม้ สว. เกินกว่าครึ่งของสภาจะถูกคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ที่มี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธาน ออกหนังสือเรียกให้ไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ทำให้การเลือก สว. ปี 2567 มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือที่รู้จักในชื่อ “คดีฮั้วเลือก สว.”

ขณะนี้มีการออกหมายเรียกแล้ว 7 ล็อต แจ้งข้อกล่าวหาบุคคลรวม 162 คน ซึ่งนอกจาก สว. “สีน้ำเงิน” ยังมีกรรมการบริหารพรรค ภท. รมต. และ สส. บางส่วนของพรรคด้วย

นายอนุทิน ซึ่งเป็น 1 ในบุคคลที่ถูกออกหมายเรียก ได้นำเรื่องนี้ไปคุยกับนายกฯ ในระหว่างพบกันภายในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 16 มิ.ย. โดยบอกว่า ไม่เคยเจอแบบนี้ ถ้าบอกว่าสมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เคยโดนรัฐประหารก็ไม่โดนขนาดนี้ นี่ในระบอบประชาธิปไตย ระบอบรัฐสภาแท้ ๆ ทำไมต้องเล่นกันขนาดนี้

“ผมก็ได้เรียนท่านไปว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ในคณะรัฐบาลชุดนี้จริง ๆ ก็มาขอความเป็นธรรม ให้ท่านนายกฯ ได้ช่วยคุ้มครอง ถ้าทำได้” หัวหน้าพรรค ภท. กล่าว

ย้อนวาทะทักษิณ ผู้เปิดประเด็นยึดมหาดไทย

แนวคิดในการยึดเก้าอี้ รมว.มหาดไทย เปิดประเด็นครั้งแรกโดยนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 30 พ.ค. โดยระบุว่า “กระทรวงมหาดไทยเป็นหัวใจหลักในการนำนโยบายไปสู่ประชาชน วันนี้ยังทำได้ไม่เต็มที่ และเวลาเหลือน้อย จึงจำเป็นต้องให้เพื่อไทยเข้ามาดูแลเพื่อเร่งผลักดันผลงานให้เป็นรูปธรรม”

ในระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “3 บก.” ทางเนชั่นทีวี พ่อนายกฯ สวมบทบาท “บก. คนที่ 4” วิเคราะห์สถานการณ์การเมือง พร้อมแนะให้พรรค พท. ปรับครม. เพื่อยึดกระทรวงหลัก นอกจากกระทรวงมหาดไทย มีการเอ่ยถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงการคลัง, กระทรวงคมนาคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้ถึงมือประชาชนภายในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 ปี ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า

อดีตนายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกับหัวหน้าพรรคโดยตรง แต่ในเชิงวิเคราะห์ก็เห็นว่าเป็นโอกาสที่พรรคควรใช้เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับประชาชน โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายคือการชนะใจประชาชนในสนามเลือกตั้ง

ผู้ดำเนินรายการถามว่า หากพรรค พท. ยึดกระทรวงมหาดไทย พรรค ภท. จะถอนตัวหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า “คงไม่ถึงขั้นนั้น เพราะคุยกันได้ เราอยู่ร่วมกันมานาน” แต่ยอมรับว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง พรรคใดจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรคที่ไม่สามารถควบคุมได้