สำเนียงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ แต่ละยุคเปลี่ยนไปอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ มีคำตอบ

ที่มาของภาพ : PA Media

สำเนียงแบบท้องถิ่นและระดับเสียงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้รับการพัฒนาไปพร้อม ๆ กับงานด้านดนตรีของเธอ

Article Files

    • Author, เดซี สตีเฟนส์
    • Aim, บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส

“ผลงานเพลงเก่าของเธอฟังดูแตกต่างจากผลงานใหม่ของเธอมาก ๆ เลย” นี่คือเสียงสะท้อนจากแฟนเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้

จากการออกเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งล่าสุดของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ซึ่งแบ่งผลงานเพลงของเธอออกเป็น “ยุคต่าง ๆ” อย่างชัดเจน ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าผลงานดนตรีของเทย์เลอร์ดูเหมือนว่าจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา

แต่งานวิจัยล่าสุดพบว่า มีเรื่องอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน นั่นคือเสียงของนักร้องสาวคนนี้

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตาในสหรัฐอเมริกา วิเคราะห์เสียงสัมภาษณ์ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ กว่า 100 นาทีในช่วงเวลาที่แตกต่างกันสามช่วงสามยุคในเส้นทางสายดนตรีของเธอ ตั้งแต่ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า Brave ในปี 2008 ขณะที่เธอยังอยู่ในเมืองแนชวิลล์ ตามมาด้วยช่วงที่เธอออกอัลบั้ม Crimson ในปี 2012 ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านงานดนตรีสู่แนวเพลงป็อป และช่วงที่เธอปล่อยอัลบั้ม Lover ในปี 2019 ขณะที่เธอย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในนครนิวยอร์กแล้ว

ที่มาของภาพ : Getty Images

เสียงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วตั้งแต่ช่วงที่เธอออกอัลบั้ม Brave

งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสมาคมเสียงแห่งอเมริกา (The Journal of the Acoustical Society of The United States) พบว่า สำเนียงภาษาท้องถิ่นและระดับเสียงของเทย์เลอร์นั้นพัฒนาไปพร้อม ๆ กับงานเพลงของเธอ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

ดร.เฮเลน เวสต์ อาจารย์อาวุโสจากภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเชสเตอร์ในสหราชอาณาจักร ซึ่งยอมรับว่าเป็น “สวิฟตี้” หรือชื่อเรียกกลุ่มแฟนเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานวิจัยข้างต้น แต่ได้ทำวิจัยที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับสำเนียงการพูดที่เปลี่ยนไปของเทย์เลอร์ สวิฟต์ มีคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้

เธอบอกว่าการศึกษาวิจัยลักษณะนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ตอบคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ “การเป็นมนุษย์ที่ซับซ้อนและอยู่ร่วมกับสังคมว่าคืออะไรได้บ้าง” ยกตัวอย่างเช่น เสียงแบบไหนของมนุษย์ที่เราสามารถจับเสียงหรือรับรู้ได้ หรือเหตุใดบางคนจึงมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนสำเนียงถิ่นดั้งเดิมของตัวเองให้เข้ากับบริบทสังคมที่เปลี่ยนไปได้มากกว่าคนอื่น

การเปลี่ยนสำเนียงภาษาถิ่น

นักวิจัยพบว่า เมื่อเทย์เลอร์ สวิฟต์ ย้ายไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐฯ และพัฒนางานดนตรีของเธอ การออกเสียงสระบางตัวของเธอได้เปลี่ยนไป

ในช่วงเริ่มต้นสายอาชีพดนตรี การออกเสียงตัว “ไอ” (I) ของเทย์เลอร์ ในคำศัพท์อย่างเช่น ไรด์ (plod) ของเธอจะสั้นกว่า คล้ายกับการออกเสียงคำว่า “rod” มากกว่า ทีมนักวิจัยบอกว่านี่เป็นเสียงแบบดั้งเดิมของสำเนียงภาษาทางตอนใต้ของสหรัฐฯ

นอกจากนี้การออกเสียง “อู” (oo) ในคำต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

การออกเสียงด้านหน้า (Fronting) ซึ่งหมายถึงการออกเสียงสระโดยเอาลิ้นไปทางด้านหน้าของปากแทนที่จะอยู่ด้านหลัง พบได้เด่นชัดมากกว่าในสำเนียงที่พูดกันรัฐทางตอนใต้ ทีมนักวิจัยพบว่าการออกเสียงสระ oo (อู) ของเทย์เลอร์ตอนที่เธอยังอาศัยอยู่ในเมืองแนชวิลล์ มีการใช้วิธีออกเสียงด้านหน้ามากกว่ายุคอื่น ๆ ถึงสามเท่า

ที่มาของภาพ : Getty Images

เทย์เลอร์ สวิฟต์ ออกเสียงสระบางตัวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากช่วงที่เธออยู่ในเมืองแนชวิลล์

ระดับเสียงที่เปลี่ยนไป

นักวิจัยยังค้นพบด้วยว่า ระดับโทนเสียงของนักร้องสาวยังเปลี่ยนไปในช่วงเวลาหลายปี

ถึงแม้ว่าในช่วงสองยุคแรกระดับเสียงจะค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่เมื่อเธอย้ายมาอาศัยอยู่ในนครนิวยอร์กก็ปรากฏว่าเสียงนั้นต่ำกว่าอย่างชัดเจน

แม้ว่ามันจะค่อนข้างเหมือนกันในช่วงสองยุคแรกที่ศึกษา แต่ก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจนว่าเสียงนั้นต่ำกว่าเมื่อเธออาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก

ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดจากอายุของเธอ เนื่องจากในยุคแรกที่นำเสียงของเธอมาศึกษาเทย์เลอร์มีอายุ 19 ปี และยุคสุดท้ายที่นำเสียงของเธอมาวิเคราะห์ เธอมีอายุ 30 ปีเข้าไปแล้ว

แต่ทีมนักวิจัยชี้ด้วยว่าความเปลี่ยนแปลงนี้อาจไปสอดคล้องกับการที่เทย์เลอร์กล่าวถึงประเด็นทางสังคมหลากหลายประเด็นมากขึ้น เช่น การเหยียดเพศ และสิทธิของนักดนตรี ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่สะท้อนออกมาในงานเพลงของเธอในช่วงเวลาเดียวกัน

นักวิจัยกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นโดยตั้งใจเพื่อ “แสดงความสามารถของเธอในการพูดคุยเรื่องนี้ด้วยความมั่นใจ” ซึ่ง ดร.เวสต์ อาจารย์ภาควิชาภาษาอังกฤษจาก ม.เชสเตอร์ กล่าวว่าเป็น “มีความเป็นไปได้จริง”

เหตุใดสำเนียงท้องถิ่นของเราจึงเปลี่ยนได้

นักวิจัยระบุว่า มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสำเนียงภาษาถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวผสานเข้ากับชุมชน ซึ่งเทย์เลอร์ สวิฟต์ จะต้องทำเช่นนั้นเมื่อเธอย้ายจากเมืองฟิลาเดลเฟียไปเมืองแนชวิลล์

การศึกษาชี้ให้เห็นด้วยว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแนวดนตรีที่เธอแต่งขึ้น นักวิจัยกล่าวว่าภาษาถิ่นทางตอนใต้มีบทบาทสำคัญในดนตรีแนวคันทรี ซึ่งเป็นดนตรีที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ ทำเพลงในขณะนั้น

พวกเขายังตั้งข้อสังเกตถึงงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ชี้ให้เห็นว่าองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งของแนวเพลงนี้คือ ความเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง นั่นคือแนวคิดที่นักร้องกำลังแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่การสวมบทบาท

ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยเรื่องนี้จึงกล่าวว่า มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ จะนำลักษณะเฉพาะของสำเนียงภาษาถิ่นทางใต้ของสหรัฐฯ มาใช้ในการพูดของเธอ แม้ว่าจะไม่ได้แสดงบนเวทีก็ตาม

ที่มาของภาพ : Getty Images

การเปลี่ยนแปลงในสำเนียงภาษาของสวิฟต์อาจเป็นผลมาจากประเภทดนตรีที่เธอทำการแสดง

“เธอเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ‘ฉันอยู่ในฉากหลังแบบคันทรี' ดังนั้น ฉันจำเป็นต้องเป็นต้วเองอย่างแท้จริงในการอยู่ในฉากแบบแนวคันทรี และฉันเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้” ดร.เวสต์ กล่าว

“และเพื่อให้เป็นเช่นนั้น แม้ในขณะที่ไม่ได้ร้องเพลง เธอยังคงนำเสนอถ้อยความเดียวกันว่า ‘ฉันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้ ฉันเหมาะกับแนวเพลงแบบนี้'”

ดร.เวสต์ กล่าวด้วยว่ามีหลักฐานว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์ กำลังรับรู้เสียงที่มนุษย์มักจะรับรู้ได้เพียงแต่เป็นไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหมายความว่า เธออาจไม่ได้เปลี่ยนสำเนียงของเธอโดยตั้งใจ แต่มันเกิดขึ้นจากการรับรู้สิ่งรอบตัวโดยธรรมชาติ

ทำไมจึงศึกษา กรณีเทย์เลอร์ สวิฟต์

ดร.เวสต์กล่าวว่า เทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นหัวข้อการศึกษาที่น่าสนใจ ทั้งจากช่วงเวลาและการโยกย้ายของเธอไปยังแต่ละเมืองในสหรัฐฯ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่า เสียงของเธอได้รับการเก็บบันทึกไว้เป็นอย่างดีในช่วงเวลาหลายปี

เธอบอกด้วยว่าการศึกษาคนอย่างเทย์เลอร์ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจวิธีที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร

ที่มาของภาพ : Getty Images

การศึกษาเทย์เลอร์ สวิฟต์จะบอกนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นไปของมนุษย์โดยรวม” ดร.เวสต์ กล่าว

“เธอเป็นเลนส์ที่มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์ทฤษฎีทางสังคม การรู้คิด และจิตวิทยา ที่เราพยายามทำความเข้าใจ” ดร.เวสต์ กล่าว

“เราทราบว่าผู้คนจะปรับเปลี่ยนการพูดของตัวเองไปตามคนที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วย… แต่ผู้คนปรับเปลี่ยนเรื่องนี้มากน้อยต่างกันไป”

“เรารับรู้อะไรเกี่ยวกับสำเนียงที่เราได้ยิน และเราปรับเปลี่ยนมันอย่างไร… แล้วอะไรคือแรงกระตุ้นของมนุษย์ในการที่จะปรับเปลี่ยนการพูดแบบนี้ ? เรากำลังพยายามทำอะไร ?”

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากล่าวด้วยว่า “มีเรื่องราวมากมายที่เราต้องทำความเข้าใจ เพื่อที่จะเข้าใจว่าเรามีความซับซ้อนเพียงใดในฐานะสิ่งมีชีวิตทางสังคม”