
สภาผู้บริโภค ผิดหวัง รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย นโยบายลดค่าเดินทางขนส่งสาธารณะไม่เป็นรูปธรรม ชี้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯ-รมว.คมนาคม ไม่ต่ออายุมาตรการรถไฟฟ้าสายสีแดง-สีม่วง 20 บาท เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด-ส่งผลต่อผู้บริโภคจำนวนมาก แนะ ไม่ควรสะดุดหยุดลงเพราะแค่เป็นนโยบายของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 27 กันยายน 2568 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคนกรุงเทพ คิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้ และกว่า 50% ชองคนกรุงเทพฯ มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน เท่ากับเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางแล้วถึง 5,000 บาท ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันถือเป็นภาระที่หนักมาก สภาผู้บริโภคจึงสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้านโยบายขนส่งสาธารณะที่ประชาชนทุกคนขึ้นได้ทุกวัน เพราะจะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนได้ทันที
นางสาวสารีกล่าวว่า นอกจากนี้ การสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะในราคาที่เหมาะสม ยังช่วยลดปัญหาการจราจรแออัด มลพิษจากฝุ่นควัน พีเอ็ม 2.5 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่ต้องการผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น รถไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะอีกด้วย
“จุดยืนของสภาผู้บริโภค เห็นว่าค่าโดยสารโดยรวมต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำ และเห็นด้วยหากรัฐบาลจะเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ เช่น รถเมล์ เรือ เชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะอย่างไร้รอยต่อ จะช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนได้โดยตรงไม่น้อยกว่า 3,000 บาทต่อเดือน รวมถึงการสนับสนุนการเข้าถึงขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัดด้วยเช่นเดียวกัน” นางสาวสารีกล่าว
นางสาวสารีกล่าวว่า ขณะที่ในวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทย จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่หนึ่งในนโยบายที่น่าผิดหวัง คือ นโยบายด้านการสนับสนุนขนส่งสาธารณะให้กับประชาชน ที่ไม่ปรากฎอย่างเป็นรูปธรรมในคำแถลงนโยบาย จึงทำให้ไม่อาจเชื่อมั่นได้ว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับนโยบายขนส่งสาธารณะที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้บริโภคเหมือนตอนที่เคยหาเสียงไว้แต่อย่างใด ทั้งที่นโยบายรถไฟฟ้าเหมาจ่าย 40 บาทต่อวันไม่จำกัดเที่ยวเคยเป็นนโยบายสำคัญของพรรคภูมิใจไทยในช่วงหาเสียงมาก่อน
นางสาวสารีกล่าวว่า จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางราง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนมีนโยบาย 20 บาท (2 ปี) พบว่า สายสีแดงมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 84.30 และสามารถจัดเก็บค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 12.07 ขณะที่สายสีม่วงมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.04 และเมื่อรวมทั้งสองสายแล้วมีผู้โดยสาร
เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.72 จะเห็นได้ชัดเจนว่า
“จากตัวเลขของกรมการขนส่งทางรางยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการมีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เพราะนโยบายดังกล่าวเดินมาถูกทางแล้ว สัดส่วนผู้ใช้บริการกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรายได้ที่รัฐต้องอุดหนุนก็จะน้อยลง หากรัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่เพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้คนที่อยู่ชานเมือง นิสิตนักศึกษา สามารถเดินทางจากชานเมืองเข้ามาทำงาน เรียนหนังสือ ในเขตเมืองได้เพิ่มมากขึ้น ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ และลดการใช้รถยนต์บนท้องถนน ซึ่งดีต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตโดยรวมเช่นกัน” นางสาวสารีกล่าว
นางสาวสารีกล่าวว่า ทั้งนี้ ในระหว่างที่รัฐบาลยังไม่มีนโยบายหรือมาตรการที่ชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนขนส่งสาธารณะให้กับประชาชน ประกอบกับรัฐบาลมีระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่จะบริหารประเทศ ดังนั้นนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท สำหรับสายสีแดงและสายสีม่วงที่มาถูกทาง รัฐบาลจึงควรเดินหน้าต่อไป ไม่ควรสะดุดหยุดลง เพียงเพราะเป็นแค่นโยบายของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ประชาชนจำนวนมากเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ ซึ่งการที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศทันทีที่รับตำแหน่งว่าจะไม่ต่อมาตรการ 20 บาท สำหรับสายสีแดงและสีม่วงที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนนี้ จึงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดและจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับข้อเสนอจากสภาผู้บริโภค สภาผู้บริโภค มีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการสนับสนุนบริการขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ดังนี้
1. ยืนยันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท สายสีแดงและสายสีม่วง เพราะคือเส้นทางหลักของประชาชนชานเมืองที่ต้องเข้าเมืองทำงานและเรียนทุกวัน เปิดโอกาสให้คนทุกระดับเข้าถึงเมืองอย่างเท่าเทียม และส่งเสริมให้การเดินทางที่เป็นธรรมคือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
2. แพ็กเกจลดค่าครองชีพขนส่งสาธารณะ เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ทุกวัน (Car Free Day after day) รวมถึงสนับสนุนการรับรองสิทธิการเดินทางของประชาชน เช่น เดินทางจากที่พักถึงจุดให้บริการขนส่งสาธารณะไม่เกิน 500 เมตร การคิดค่าโดยสารขนส่งสาธารณะไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้ขั้นต่ำ ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างมหาศาล
3. กำหนดมาตรการ “ตั๋วร่วม หรือ อัตราเดียว” รัฐบาลควรวางกรอบการคิดอัตราค่าโดยสารที่เป็นธรรมและไม่เป็นภาระต่อผู้บริโภค เช่น 30 บาท รวมทุกระบบ หรือกำหนดค่าโดยสารสูงสุดไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำ สำหรับทุกเส้นทาง เป็นต้น
4. สนับสนุนการขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัด รัฐควรสนับสนุนงบประมาณและแนวทางบริหารจัดการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดบริการขนส่งสาธารณะให้กับประชาชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน
ด้านนางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ตัวแทนผู้บริโภคที่ใช้รถไฟฟ้า กล่าวว่า หากรัฐบาลยกเลิกมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท จะส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะแรงงานในกรุงเทพฯ ที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหารก็ไม่เพียงพอแล้ว และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ชานเมืองที่ต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพื่อเข้ามาทำงานในเมือง หากไม่สามารถใช้รถไฟฟ้าในราคาที่จ่ายได้ จะเสียทั้งเวลา โอกาส รวมถึงคุณภาพชีวิตลดลง
นางสุจินกล่าวว่า การที่รัฐบาลประกาศไม่มีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน เดิมหากผู้โดยสารที่เคยจ่าย 20 บาท แต่ต้องจ่ายจริง 35–50 บาทต่อเที่ยว หากเดินทาง 2 เที่ยวต่อวัน จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นวันละ 15 – 30 บาท หรือเดือนละ 450 – 900 บาท และยิ่งกระทบหนักสำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อระบบหลายสาย เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน (MRT) ต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) จะมีภาระค่าเดินทางมากขึ้น ปัจจุบันสายสีน้ำเงินเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 17 – forty five บาท และสายสีเขียวเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 17 – 62 บาท ไม่รวมส่วนต่อขยาย เช่น แบริ่ง – เคหะ หมอชิต – คูคต หรือสะพานตากสิน – บางหว้า ที่เชื่อมต่อชานเมืองกับศูนย์กลางกรุงเทพฯ
นางสุจินกล่าวว่า การยกเลิกนโยบาย 20 บาทตลอดสายสำหรับสายสีแดง–ม่วง อาจก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนใหญ่ในชีวิตผู้บริโภคหลายแสนคนในกรุงเทพฯ และชานเมือง ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าต้องเตรียมรับภาระค่าเดินทางที่สูงขึ้นทันที ขึ้นอยู่กับ “ความกล้าทางการเมือง” และความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ปัญหาให้ประชาชน
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )