
ขอร้องเรียน ‘2 พ.' ยื่นขอยกเลิกหลักสูตรไม่เป็นผล – บ.ย.ส. ประกาศรายชื่อผู้เข้าอบรมรุ่น 30 ปี 68 เป็นทางการแล้ว ‘บิ๊กเนม'ผู้บริหารองค์กรรัฐ-เอกชน-สถานบันการศึกษา เพียบ 90 คน
จากกรณีปรากฏข่าว เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 คณะกรรมการบริหารหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) ที่มีนางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฏีกาเป็นประธาน ได้มีการประชุมพิจารณากำหนดรายชื่อผู้เข้าอบรม บ.ย.ส. รุ่น 30 ประจำปี 2568 หลังการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าร่วมการอบรมและเสนอรายชื่อให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติในการประชุมนัดดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า ขณะนี้ คณะกรรมการบริหารหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) ได้มีการอนุมัติรายชื่อผู้ผ่านเข้าอบรม บ.ย.ส. รุ่น 30 ประจำปี 2568 เป็นทางการแล้ว มีผู้บริหารระดับสูงองค์กรภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ผู้พิพากษา เข้าร่วมจำนวนมากถึง 90 ราย
มีรายชื่อตามเอกสารดังต่อไปนี้
อนึ่งเกี่ยวกับการจัดอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) นั้น ก่อนหน้านี้ปรากฏข่าว นายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา กรรมการบริหารศาลยุติธรรม และ นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ ทำถึงหนังสือถึงประธานศาลฏีกาเพื่อขอให้ยกเลิกหลักสูตรดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากทำเรื่องเสนอมาหลายครั้ง พร้อมผลสำรวจความเห็นของผู้พิพากษาเกี่ยวกับหลักสูตรนี้ พบว่า ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ เห็นว่าควรยกเลิกหลักสูตรนี้ พร้อมขอให้ประธานศาลฏีกา ยกเลิกหลักสูตรฯ อบรมนี้ และนำงบประมาณที่ใช้สำหรับหลักสูตรไปเพิ่มแก่หลักสูตร อื่นๆ ที่มีขึ้นเพื่ออบรมข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม
ขณะที่เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 วาระที่ 2 และ 3
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายขอปรับลดงบประมาณในมาตรา 31 หน่วยงานของศาล ในส่วนของโครงการหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)
นายพริษฐ์ ระบุว่า “การเป็นผู้พิพากษาจะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียนที่เป็นบุคคลภายนอก ไปทานข้าวกัน ไปดื่มไวน์กัน มันไม่ได้เป็นความผิดในตัวมันเอง แต่ความเสี่ยงมันจะเกิดขึ้นทันที หากผู้เรียนที่เป็นบุคคลภายนอกนั้นในอนาคตกลายมาเป็นคู่ความในคดีที่ผู้พิพากษาที่เรียนร่วมกันนั้นไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษาสำหรับคดีดังกล่าว”
“เห็นว่าสถาบันตุลาการนั้นเป็นองค์กรที่จำเป็นครับ ที่ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเองในสายตาสังคม ดังประโยคที่กล่าวไว้ว่า “Justice must no longer easiest be done, but must even be seen to be done” แปลว่าความยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องเกิดขึ้น แต่ต้องเป็นที่ประจักษ์ด้วยเช่นกัน”
@ พริษฐ์ วัชรสินธุ
“ฉะนั้น ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม มันจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ว่า ผู้พิพากษานั้นแท้จริงแล้วปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมหรือไม่ แต่มันยังขึ้นอยู่กับว่าประชาชนนั้นเชื่อมั่น หรือว่าผู้พิพากษานั้นถูกมองว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมหรือไม่” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ ยังระบุด้วยว่า หากภาพลักษณ์ดังกล่าว หรือหากมุมมองดังกล่าวจะถูกกระทบจากหลักสูตรเหล่านี้ ก็ย่อมทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมนั้นถูกกระทบตามไปด้วย เห็นว่า หากประโยชน์ที่ผู้ร่วมเรียนและสังคมจะได้รับจากหลักสูตรเหล่านี้เป็นประโยชน์ที่วัดผลได้ยากหรือไม่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงต่อความเป็นอิสระและภาพลักษณ์ความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ซึ่งอาจจะเกิดจากกิจกรรมระหว่างผู้เรียนที่เกินเลยการควบคุมของผู้จัดหลักสูตร จึงเห็นว่า การเดินหน้าหลักสูตรเช่นนี้ อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ได้ไม่คุ้มเสีย
นายพริษฐ์ กล่าวย้ำว่า ปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาที่ถูกตั้งคำถามจากคนภายนอกสถาบันตุลาการเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่ผู้พิพากษาบางส่วนเองก็มีความกังวลเช่นกัน เมื่อเดือนมกราคม 2568 จะเห็นว่ามีผู้พิพากษาศาลฎีกา 2 ราย ได้ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกา เพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ของศาลยุติธรรม รวมถึงเรียกร้องให้มีการกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษา นั้นเข้าร่วมอบรมหลักสูตรของหน่วยงานอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน
“เมื่อเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2568 มีการทำแบบสำรวจครับของผู้พิพากษา มีผู้มาตอบแบบสอบถามอยู่ที่ประมาณ 1,455 คน ผลปรากฏว่า 87% ของผู้ตอบ เห็นว่าหลักสูตร บ.ย.ส. นั้นกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษา และ 82% ของผู้ตอบ เห็นว่าสมควรที่จะยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส.” นายพริษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายพริษฐ์ ยังได้เสนอแนวทางปรับลดงบประมาณในส่วนของหลักสูตร บ.ย.ส. มี 2 แนวทาง ดังนี้
แนวทางที่ 1 การตัดงบประมาณออกทั้งหมดเลย 16 ล้านบาท เพื่อนำไปสู่การยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ในปีนี้
แนวทางที่ 2 หากเห็นถึงความจำเป็นในการมีอยู่ของหลักสูตร บ.ย.ส. ต่อ ขอเสนอให้พิจารณาปรับลดงบประมาณของหลักสูตร บ.ย.ส. ออกบางส่วน เพื่อให้ศาลยุติธรรมนั้นปรับรูปแบบของหลักสูตร บ.ย.ส. ให้เป็นรูปแบบที่ทั้งใช้งบประมาณน้อยลงและไปลดความเสี่ยงต่อความเป็นอิสระของผู้พิพากษาให้เหลือน้อยที่สุด
ตัวอย่างที่ 1 ปรับรูปแบบของการจัดการเรียนการสอน ให้เปลี่ยนมาเป็นการจัดเรียนการสอนออนไลน์มากขึ้น เพื่อลดกิจกรรมสันทนาการระหว่างผู้ร่วมเรียน หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยน จากหลักสูตรที่รับผู้เข้าเรียนเป็นรุ่นๆ มาเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนหัวข้อ และผู้เข้าร่วมเป็นครั้งๆ ตามความเหมาะสม เป็นต้น
ตัวอย่างที่ 2 ปรับเรื่องขององค์ประกอบของผู้เรียน แยกชัดเจนระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้ร่วมเรียนนั้นเป็นผู้พิพากษาจากภายในองค์กร กับกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้ร่วมเรียนนั้นเป็นบุคคลภายนอก
ตัวอย่างที่ 3 เพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับประโยชน์ที่สังคมจะได้จากหลักสูตรนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือการเผยแพร่ตัวคลิปการสอนจากหลักสูตร บ.ย.ส. ตรงนี้
ตัวอย่างที่ 4 ลดความเสี่ยงต่อความเป็นอิสระของผู้พิพากษาหลังจากที่ได้เรียนหลักสูตรนี้จบไป เช่น การจัดเก็บฐานข้อมูลผู้เรียน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้พิพากษาคนใดนั้นต้องมาปฏิบัติหน้าที่ในคดีความที่เกี่ยวข้องกับคนที่เคยเรียนร่วมกันในหลักสูตรนี้
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากหลักสูตร บ.ย.ส. นั้น ประเทศก็ยังมีอีกหลายหลักสูตรตัวย่อต่างๆ ของหน่วยงานอื่นก็มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน และก็มีจุดยืนเดียวกันต่อหลักสูตรดังกล่าวของหน่วยงานอื่นเช่นกัน
“แต่ในเมื่อหลักสูตร บ.ย.ส. เป็นหลักสูตรที่ผมเคยได้มีโอกาสหารือกับทางผู้บริหารหลักสูตรโดยตรง ไม่ว่าจะในคณะกรรมาธิการงบประมาณ หรือในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและในเมื่อหลักสูตรนี้ครับ ก็เป็นหลักสูตรที่มีความชัดเจนว่ามีการเรียกร้องจากภายในองค์กรให้มีการยกเลิกหรือว่าทบทวนหลักสูตรดังกล่าว ผมก็เลยมีความหวังเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าหากศาลยุติธรรมจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาเรื่องของระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทย โดยการยกเลิกหรือทบทวนหลักสูตรดังกล่าว” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เชื่อว่าความกล้าหาญของผู้บริหารศาลยุติธรรมนั้น จะได้รับความชื่นชมจากหลายภาคส่วนในสังคม และเชื่อเช่นกันว่าความกล้าหาญดังกล่าวนั้น จะสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับผู้บริหารของหน่วยงานอื่นที่มีการจัดหลักสูตรในลักษณะคล้ายๆ กัน เดินตามความกล้าหาญของศาลยุติธรรมเช่นกัน”
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )