
‘สภาผู้บริโภค’ เตรียมยื่นฟ้อง ‘ศาลปกครอง’ ขอเพิกถอนประกาศ ‘กกพ.’ กำหนดค่า ‘แอดเดอร์’ ชี้ไม่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน คาดช่วยลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนปีละ 3.74 หมื่นล้าน
…………………………………..
เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา น.ส.สนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบาย สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปี 2567 สภาผู้บริโภคได้ส่งความเห็น เรื่อง แนวทางการลดค่าไฟฟ้าถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยหนึ่งในเนื้อหาหลัก คือ ขอให้ดำเนินการเจรจาปรับลดสัญญาส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายภาครัฐ(Coverage Expense) หรือค่า PE ซึ่งถูกนำมาคำนวณรวมอยู่ในบิลค่าไฟฟ้าของประชาชน
ต่อมาเดือน ก.พ.2568 กกพ. ได้มีความเห็นถึงคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เสนอให้มีการยกเลิกค่าแอดเดอร์ ซึ่งจะทำให้ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าลดลง 17 สตางค์/หน่วย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ไม่ได้ตอบรับความเห็นของ กกพ.ดังกล่าว โดยอ้างว่า ทำสัญญากับบริษัทเอกชนเรียบร้อยแล้ว และไม่มีแนวโน้มว่าจะยกเลิกการต่อสัญญาแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ คณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ในฐานะตัวแทนของผู้บริโภค จึงมีมติให้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้มีการเพิกถอน ประกาศ กกพ. เรื่อง กรอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า ปี 2564 และ ประกาศ กกพ. เรื่องกระบวนการ ขั้นตอนการใช้สูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ปี 2565 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับมาตรการจูงใจด้านราคาผ่านระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP โดยกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือแอดเดอร์ (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้า โดยจะยื่นฟ้อต่อศาลปกครองภายในต้นเดือน ก.ย.นี้
น.ส.รสนา ระบุว่า การกำหนดค่าแอดเดอร์ เป็นนโยบายของรัฐที่ต้องสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งอาจเหมาะสมกับสถานการณ์ในอดีต แต่ปัจจุบันต้นทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถูกลง ค่าแอดเดอร์ จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่ควรถูกตัดทิ้ง และที่ผ่านมาการทำสัญญาซื้อไฟกับภาคเอกชนมีการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติทุก 5 ปี ต่อเนื่องถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาถึง 18 ปี ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงเกินจริงมาโดยตลอด
“ปัจจุบันประชาชนต้องจ่ายค่าไฟปีละ 900,000 ล้านบาท แต่กระบวนการรับซื้อไฟฟ้าในราคาแพงก็ยังดำเนินต่อเนื่อง โดยค่าแอดเดอร์เป็นเหมือนไขมันส่วนเกินของค่าไฟฟ้าซึ่งไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐใช้อุ้มเอกชน จึงควรตัดจ่ายใช้จ่ายนี้ออก ทั้งนี้ การยกเลิกค่าแอดเดอร์จะช่วยให้ค่าไฟฟ้าลดลง 17 สตางค์ต่อหน่วย และทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าปีละ 37,400 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา กกพ.ไม่ทำอะไรเลย ไม่ตอบสนองอะไรทั้งสิ้น นี่คือสาเหตุที่สภาผู้บริโภคจะฟ้องศาลปกครองเพื่อให้ยกเลิกค่าแอดเดอร์ที่อยู่ในประกาศของกกพ.” น.ส.รสนา กล่าว
ด้าน ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ อดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า การที่รัฐสนับสนุนค่าแอดเดอร์ ทำให้ต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้าสูงกว่าราคาต้นทุนจริงในภาวะปัจจุบัน และยังมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติ โดยนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายภาครัฐ (Coverage Expense) รวมอยู่ในบิลค่าไฟของประชาชนในอัตรา 17 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งถือว่าขัดต่อ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน ปี 2550 มาตรา 65 (1) และ (4) ซึ่งระบุว่า กำหนดอัตราค่าบริการของผู้รับใบอนุญาตแต่ละประเภท ควรสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงและคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุนของการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมแก่ทั้งผู้ใช้พลังงานและผู้รับใบอนุญาต
ศ.ดร.บรรเจิด ยังระบุว่า การเก็บอัตราค่าไฟฟ้าในส่วนค่าใช้จ่ายภาครัฐ (Coverage Expense) ในอัตรา 17 สตางค์ต่อหน่วย เป็นภาระกับประชาชนเกินสมควร โดยมีเหตุผล 3 ประการ ดังนี้
1.ค่าไฟฟ้าถูกคิดตามต้นทุนจริงในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น การรับซื้อไฟฟ้าในแต่ละรอบย่อมมีราคาต่างกัน ปัญหาคือ สัญญารับซื้อไฟฟ้าที่กำหนดอายุ 5 ปี แต่กลับต่อสัญญาได้เรื่อยๆ จนเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ทำให้ราคาซื้อไฟฟ้าไม่ปรับตามต้นทุนจริง แต่ประชาชนกลับต้องจ่ายค่าไฟในราคาดังกล่าว ซึ่งไม่เป็นธรรม และถือเป็นการผลักภาระเกินสมควรให้กับผู้ใช้ไฟ
2.สัญญารับซื้อไฟฟ้าแบบแอดเดอร์ถูกอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรการส่งเสริมพลังงานสะอาด เช่น เมื่อปี 2552 เคยกำหนดให้รับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หน่วยละ 11 บาท แต่ในปี 2565 รัฐประกาศรับซื้อที่เพียงหน่วยละ 2.16 บาท โดยเปิดให้รับซื้อ 5,000 เมกะวัตต์ แต่มีเอกชนยื่นขายถึงกว่า 17,000 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าถึง 3 เท่า แสดงให้เห็นว่า รัฐไม่จำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม เพราะภาคเอกชนแย่งกันขายอยู่แล้ว ดังนั้น ค่า PE ที่ใช้เป็นเหตุผลรองรับจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ และการยังคงผลักภาระนี้ให้ประชาชนจ่าย จึงขาดเหตุผลโดยสิ้นเชิง
3.ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของการรับซื้อไฟทั้งหมด แต่กลับนำค่า PE ไปบวกในค่าไฟของประชาชนทั่วไป และยังไม่มีการกำหนดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ทำให้ประชาชนต้องรับภาระเกินควร โดยที่ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือปกป้องสิทธิของตนเองได้
“การยกเลิกหรือถอดค่าใช้จ่ายภาครัฐออกจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ไม่ได้สร้างความเสียหายหรือสร้างผลกระทบต่อการประกอบกิจการของเอกชนแต่อย่างใด เพราะการคิดอัตราค่าไฟฟ้าบนพื้นฐานของต้นทุนที่แท้จริงนั้น ถือเป็นการคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่างผู้ใช้พลังงานกับผู้รับใบอนุญาต” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว
ขณะที่ นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความผู้รับผิดชชอบคดีฯ กล่าวว่า สภาผู้บริโภคในฐานะผู้แทนผู้บริโภคตามกฎหมาย จะเดินหน้าฟ้องคดีแทนผู้บริโภค โดยยื่นฟ้องคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อโต้แย้งกฎของรัฐที่สร้างภาระให้กับประชาชนเกินสมควร โดยมีกำหนดยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายในวันที่ 4 ก.ย.2568
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )