
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล นำคณะ ก.ต่างประเทศ-กลาโหม-พาณิชย์ แถลงแนวทางการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยเหยียบทุ่นsะเบิด-ขาขวาขาด ที่ห้วยตามาเรีย ยืนยัน ‘ระงับ’ ปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมสันติภาพไทย-กัมพูชา จนกว่ากัมพูชาจะแสดงท่าทีไม่เป็นปรปักษ์ ขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้ แจง ความขัดแย้งไทยกับเวียดนาม แยกออกจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยเป็นประธาน มีมติระงับการปฏิบัติตาม ถ้อยแถลงร่วม (Join Declaration) ไทยกับกัมพูชา ที่มีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียน เป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบสันติภาพ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ทหารเหยียบทุ่นsะเบิดสังหาร บริเวณห้วยตามาเรีน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จนมีผู้บาดเจ็บ 4 นาย โดยหนึ่งในนั้นข้อเท้าขาขาด เมื่อวันที่ 10 พ.ย.68
นายสิริพงศ์กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 68 ที่มีเหตุการณ์ทหารเหยียบกับsะเบิด ข้อมูลทั้งหมด ทั้งกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ข้อมูลไปแล้วครบถ้วนถูกต้องทั้งหมด อย่างไรก็ตามการสื่อสารในช่วงเวลาที่ต่างกัน ส่งผลให้เกิดความสับสนของประชาชน ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการแถลงข่าวในวันนี้ เพื่อชี้แจงให้เกิดความชัดเจนในเรื่องการระงับถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชา
นายสิริพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลยืนยัน นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นตั้งใจแก้ไขบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา รวมถึงต้องการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ หรือ ภาษีต่างตอบแทนให้สำเร็จ เพื่อประโยชน์สุขของคนไทยและคงไว้ซึ่งอธิปไตยของคนไทย
@ ระงับปฏิบัติถ้อยแถลงร่วมสันติภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เหตุการณ์เหยียบทุ่นsะเบิด ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.68 เป็นต้นมา จนถึงวันที่ 10 พ.ย.68 ทหารไทยเหยียบทุ่นsะเบิด 7 ครั้ง รวมถึงทั้งหมดบาดเจ็บ 20 ราย โดยทหารไทยขาขาด 7 ราย ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่อยู่ในอธิปไตยของไทยทั้งสิ้น ซึ่งการเหยียบทุ่นsะเบิดดังกล่าว
“กระทรวงกลาโหมยืนยันว่า เป็นทุ่นsะเบิดใหม่ มีเครื่องหมาย หรือ ตัวเขียนชัดเจน ตัวsะเบิดมีความมันวาว ไม่มีหญ้าปกคลุม ใช้เศษใบไม้กลบเท่านั้น และไทยไม่มีทุ่นsะเบิดครอบครองแต่อย่างไร ซึ่งที่พาดพิงว่า ไทยวางsะเบิดเอง แต่เรายืนยันกับอตตาวาว่า เราไม่มีการสะสมsะเบิดสังหารบุคคลแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีการครอบครองทุ่นsะเบิดไว้วิจัยและศึกษาด้วย”พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าว
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า สรุปได้ว่า การวางทุ่นsะเบิดที่ผ่านมา เป็นการวางทุ่นsะเบิดใหม่ เป็นทางการกัมพูชาวางทุ่นsะเบิด หลักฐานต่างๆ ชัดเจนว่า กัมพูชาละเมิดข้อตกลงสันติภาพ อาทิ เรื่องทุ่นsะเบิด และละเมิดอธิปไตยของไทย มีการตัดรั้วลวดหนามนำทุ่นsะเบิดเข้ามาวางในพื้นที่ของไทย เพื่อแทรกซึม ถือเป็นการละเมิดถ้อยแถลงร่วมสันติภาพ นอกจากนี้ กัมพูชาไม่ได้ปฏิบัติตามสันติวิธี มีการใช้อาวุธแทรกซึก ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ อนุสัญญาอตตาวา และเป็นภัยคุกคาม
“จากการละเมิดถ้อยแถลงร่วมสันติภาพของกัมพูชา ไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องของการระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมไทยกับกัมพูชา คือ การระงับการปฏิบัติตามแผนในการถอนอาวุธหนัก ทุกอย่างชะลอ หรือหยุดไว้ก่อน และการเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นsะเบิดในดินแดนไทย 13 พื้นที่ โดยมี 5 พื้นที่นำร่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ กองทัพไทยยืนยันว่า มีความพร้อมปกป้องอธิปไตยของไทย เป้าหมายสุดท้าย เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ส่วนการปล่อยเชลยศึกจะเป็นการดำเนินการเป็นเรื่องสุดท้าย จนกว่ากัมพูชาจะสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ ตัวบ่งชี้ คือ ความจริงใจและความรับผิดชอบ”พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าว
@ เผยไทม์ไลน์ อนุทิน ต่อสาย ทรัมป์-อันวาร์
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นsะเบิด เมื่อวันที่ 10 พ.ย.68 และเหตุการณ์ปะทะที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้วเมื่อ วันที่ 12 พ.ย.68
นายนิกรเดช กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการในเรื่องที่กัมพูชาละเมิดถ้อยแถลงสันติภาพไทยกับกัมพูชา นายสีหศักดิ์ พวกเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศได้โทรศัพท์ไปยังรองนายกฯและรมว.ต่างประเทศกัมพูชา 2 ครั้ง เพื่อประท้วงทันที และทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังสถานเอกอัครทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย 2 ฉบับ
นายนิกรเดชกล่าวว่า กระทรวงต่างประเทศยังชี้แจงและหารือกับมาเลเซียและสหรัฐ ฯ โดยนายอนุทิน มีหนังสือถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ และสำเนาหนังสือถึงนายอันวาร์ถึงประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ โดยสาระในหนังสือไทยยึดมั่นในสันติภาพเคารพและปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมสันติภาพมาโดยตลอด แต่การที่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดก่อน ไทยจึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย รวมทั้งประกันความปลอดภัยของประชาชนไทย เราจึงจำเป็นต้องระงับการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมสันติภาพเป็นการชั่วคราว และไทยจะกลับมาปฏิบัติอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับท่าทีและความจริงใจของฝ่ายกัมพูชา
นายนิกรเดชกล่าวว่า ตามที่ได้ทราบข่าวในช่วง 2 วันที่ผ่านมา นายอนุทินได้หารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ ในหลายโอกาส โดยประเด็นสำคัญในการหารือ แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ประเด็นที่ 1 นายอนุทินขอให้แยกประเด็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องของความมั่นคง ออกจากประเด็นการค้ารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ประเด็นที่ 2 ขอให้นายอันวาร์ ในฐานะประธานอาเซียนช่วยหาแนวทางฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพโดยคำนึงถึงข้อเสนอของไทย คือ ให้กัมพูชาขอโทษและสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแสดงความรับผิดชอบ รวมถึงป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีกในอนาคต และ ประเด็นที่ 3 นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ เข้าใจและรับพิจารณาข้อเสนอของไทย
“หลังจากหารือทางโทรศัพท์ของนายอนุทินจะมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อย้ำท่าท่าทีของไทยในเรื่องนี้ และความสำคัญของกัมพูชาที่จะต้องกลับมาปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมสันติภาพ โดยเฉพาะการเก็บกู้วัตถุsะเบิด ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นผู้ดำเนินการ และกัมพุชาต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ขึ้นอยู่กับกัมพูชาที่จะกำหนดอนาคตถ้อยแถลงร่วมสันติภาพ”นายนิกรเดชกล่าว
นายนิกรเดชตอบคำถามถึงเหตุผลการระงับการเจรจาการค้าต่างกับแทนกับสหรัฐฯ ของยูเอสทีอาร์ คืออะไร ว่า หนังสือที่มาบอกว่า ขอระงับชั่วคราวจนกว่าไทยจะเข้ามาสู่ถ้อยแถลงร่วมสันติภาพ
“แต่มันเกิดขึ้นวันเดียวกันกับที่ท่านนายกฯ ยกหูหาประธานาธิบดีทรัมป์ ดังนั้น สิ่งที่เราคิด คือ หลังจากที่ท่านนายกฯหารือกับโดนัลด์ ทรัมป์แล้ว คุณทรัมป์แสดงความเข้าอกเข้าใจทุกอย่างว่า ท่าทีไทยต้องการให้แยกประเด็นการค้ากับการเมือง เพราะคนละเรื่อง คนละคู่เจรจา เราเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องบวก บนผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะที่เราโดยละเมิดถ้อยแถลงร่วมสันติภาพ ซึ่งเป็นปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา ความหวังลึกๆของเราก็คือ สหรัฐฯจะไปช่วยกดดันคนที่ละเมิดให้กลับมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งท่านประธานาธบดีทรัมป์มีท่าทีแสดงความเข้าใจและบอกว่าจะดูและพูดให้มีการเก็บกู้วัตถุsะเบิด ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ต้องยึดตามที่ท่านนายกฯพูดเป็นหลัก ส่วนเรื่องยูเอสทีอาร์ขอระงับการเจรจาการค้าตอบแทนกับสหรัฐฯ ถือว่าผ่านพ้นไปแล้ว”นายนิกรเดชกล่าว
@ ย้ำเจรจา ‘ภาษีทรัมป์’ เสร็จสิ้นปี
ด้าน น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีดรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า แนวทางการเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้คุยกับสหรัฐฯ มาตลอดและต่อเนื่อง จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน จากข้อมูลล่าสุดถึงท่าทีของนายอันวาร์และนายโดนัลด์ ทรัมป์ มั่นใจว่า สหรัฐฯ น่ามีเป้าหมายเดียวกันกับไทย และยึดมั่นในเดดไลน์เดิม ซึ่งตั้งใจว่าการเจรจาในรายละเอียดข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีการค้าต่างตอบแทนคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้
“กระทรวงพาณิชย์ย้ำกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือ ยูเอสทีอาร์ มาตลอด โดยรมว.พาณิชย์ ว่า การค้าและความมั่นคงต้องแยกกันอย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีการนำเรื่องความมั่นคงมาอยู่ในกรอบการเจรา อาจจะเป็นปัจจัยที่อยู่ภายนอกการเจรจาการค้าต่างตอบแทน”น.ส.โชติมากล่าว
น.ส.โชติมากล่าวว่า การเจรจาการค้ากับยูเอสทีอาร์หลังจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยืนยันกลับไปว่า เรื่องไทยกับกัมพูชากับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับสหรัฐฯ สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน และยืนยันว่า จะเดินหน้าเจรจากับยูเอสทีอาร์ต่อ
เมื่อถามว่า หนังสือของยูเอสทีอาร์แจ้งระงับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับสหรัฐฯได้แจ้งเหตุผลของการระงับหรือไม่ น.ส.โชติมากล่าวว่า ยูเอสทีอาร์ส่งข้อความมาว่าระงับก่อน อย่างไรก็ดีเราจะยึดตัวที่มีการพูดกับผู้นำครั้งสุดท้าย
@ ขอสงวนสิทธิ์ตอบโต้
นายสิริพงศ์กล่าวว่า หลังจากนายอนุทินเดินทางกลับจากจีนจะทำหนังสือถึงสหรัฐฯ เพื่อแสดงเจตจำนงค์ที่นายอนุทินได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
นายสิริพงศ์กล่าวสรุปว่า ดังนั้น แนวทางการปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมสันติภาพไทยกับกัมพูชา กรณีการดำเนินการใหม่ของความมั่นคง คือ การถอนกำลังภายใน 2 เดือน ให้ระงับไม่มีกำหนด รัฐบาลไทยยืนยันเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นsะเบิดในพื้นที่ของไทยอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงว่ากัมพูชาจะเห็นด้วยหรือไม่ การบริหารจัดการพื้นที่หนองหญ้าแก้วยังเดินการอยู่ ยังดำเนินการต่อ เรื่องสแกมเมอร์เดินหน้าต่อไป หากกลไกทวิภาคีดำเนินการไม่ได้ ก็จะใช้กลไกพหุภาคีดำเนินการ
“การปล่อยเชลยศึกจะเป็นสิ่งสุดท้าย หลังจากกองทัพไทย รัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า ความเป็นปรปักษ์ของกัมพูชาหมดสิ้นไป จึงจะเริ่มมีการเจรจาปล่อยเชลยศึกรอบใหม่”
นายสิริพงศ์กล่าวว่า ในการปฏิบัติการทั้งหมด รัฐบาลและกองทัพยืนยันที่จะใช้แนวทางสันติวิธี แต่ขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้ หากโดยยั่วยุ ตามความเหมาะสม
นายสิริพงศ์กล่าวว่า ข้อกังวลเรื่องสถานการณ์ทางการค้า นายกฯสื่อสารทรัมป์ ให้แยกทวิภาคีไทยกับพูชาออกจากการค้าสหรัฐฯ













