วันนี้ (13 พ.ย.) เวลาประมาณ 17.00 น. นรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา โพสต์ข้อความทางเอกซ์ระบุว่า กรรมาธิการมีมติเห็นชอบการแก้ไขร่างมาตรา 256/2 ให้ผู้ประสงค์สมัครรับเลือกเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญให้ยื่นใบสมัครต่อ กกต. พร้อมด้วยหลักฐานและอย่างน้อยต้องประกอบไปด้วยรายการดังนี้
- รายชื่อผู้รับรองที่มีสิทธิ์เลือกตั้งอย่างน้อย 100 คน
- วิสัยทัศน์ในการร่างรัฐธรรมนูญ
โพสต์ดังกล่าวของนรเศรษฐ์ระบุด้วยว่า *บัญชีรายชื่อที่สมัครเข้ามาต้องมีการเผยแพร่ต่อประชาชนและมีช่องทางให้ประชาชนโดยทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยต่อผู้สมัครแต่ละคนได้ตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากัน
จากโพสต์ดังกล่าว มีผู้มาคอมเมนต์ถามเขาว่า ยังเป็นแบบให้ประชาชนเลือกก่อนแล้วให้รัฐสภาเลือกอีกที หรือว่าข้ามไปให้รัฐสภาเลือกเลยแบบภูมิใจไทย ?
เขาตอบกลับว่า “จำเป็นต้องให้รัฐสภาเลือกเลยเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะไปขัดความเห็นศาลรัฐธรรมนูญครับ แต่การมีส่วนร่วมของประชาชน เราจะไปมุ่งเน้นในส่วนของกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้เสียงของประชาชนเป็นผู้กำหนดหน้าตารัฐธรรมนูญฉบับต่อไปครับ”
ประชาไทชวนย้อนดูการลงมติของ กมธ.ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐสภา ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และวันนี้ พร้อมพูดคุยกับตัวแทนภาคประชาชนที่รณรงค์เรื่องรัฐธรรมนูญ ว่าการลงมติในแต่ละเรื่องส่งผลต่อทิศทางของกระบวนการทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร
12 พ.ย. 2568 จากสภาที่ปรึกษา สู่ กมธ.รับฟังความเห็น
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (กมธ.ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ได้มีการพิจารณาและลงมติเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (มาตรา 256/1) โดยมีการลงมติแบ่งเป็น 2 เรื่อง ดังนี้
- กลไกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ:
กมธ.เสียงข้างมาก 21:9 ลงมติให้มี ‘คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ’ เป็นผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพียงองค์กรเดียว
อย่างไรก็ตาม แต่ในบรรดาเสียงข้างมาก 21 เสียง ยังมีความเห็นต่างกันพอควรว่า กมธ. ยกร่าง จะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องไปถกกันในอีกมาตราคือ มาตรา 256/2)
- กลไกรับฟังความเห็น:
กมธ.เสียงข้างมาก 23:8 ลงมติตัดกลไก ‘สภาที่ปรึกษา’ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง โดยเปลี่ยนเป็น ‘กมธ. รับฟังความเห็น’ ที่รัฐสภาแต่งตั้งจำนวน 35 คน
ในส่วนของกลไกรับฟังความเห็น เดิมทีพรรคประชาชน (ปชน.) เสนอให้มี ‘สภาที่ปรึกษา’ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน โดยพรรค ปชน.พยายามอธิบายว่า ข้อเสนอนี้ไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่าประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรงไม่ได้ เนื่องจากสภาที่ปรึกษาไม่ได้มีอำนาจลงมติใดๆ ในเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงไม่เข้าข่ายคำว่า ‘ผู้ร่าง’ ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ กมธ.เสียงส่วนใหญ่มีความเห็นต่าง จึงลงมติตัดกลไกสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงออก
ณัชปกร นามเมือง ตัวแทนจากกลุ่มรณรงค์รัฐธรรมนูญ หรือ CALL ให้สัมภาษณ์กับประชาไทวานนี้ (12 พ.ย.) โดยเขามองว่า มติเสียงข้างมากของ กมธ.ที่ตัดกลไกสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงออกไป คือการทำลายกลไกที่จะมีตัวแทนเชิงพื้นที่
“การลงมติในเรื่องนี้มีความแปลกประหลาด ทำให้เดิมที่มันมีแม่น้ำ 2 สาย สายหนึ่งพยายามตอบโจทย์เรื่องความเชี่ยวชาญด้านนโยบายในการร่างรัฐธรรมนูญ อีกสายหนึ่งคือ การมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับพื้นที่ แต่คุณไปยกเลิกสภาที่ปรึกษาซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ก็คือคุณทำลายกลไกที่จะมีตัวแทนในเชิงพื้นที่ออกไป”
“เพราะฉะนั้นการลงมติแบบนี้ มันก็เลยแปลกประหลาดมาก คือว่าคุณเห็นด้วยกับโมเดลพรรคประชาชน แต่คุณไม่เอามาด้วยทั้งหมด แล้วคุณทำให้สิ่งที่มันต้องมาคู่กันทั้งสองอัน ให้หายไป(อันหนึ่ง) มันเลยผิดเพี้ยน”
เขามองว่า มติของ กมธ.ที่ให้เปลี่ยนจากสภาที่ปรึกษาให้เป็น กมธ.รับฟังความคิดเห็นนั้นไม่สามารถสะท้อนเสียงที่หลากหลายได้จริง
“ประเด็นก็คือ กมธ.รับฟังความเห็น ไม่สามารถเทียบกับสภาที่ปรึกษาได้ เพราะสภาที่ปรึกษามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละพื้นที่ ตามสัดส่วนประชากร แต่ตัวเลข 35 คนของคุณ มันสะท้อนความเป็นสัดส่วนประชากรในแต่ละพื้นที่ยังไง”
“แล้ว 35 คนมีวิธีการเลือกยังไง มันจะคำนึงถึงความหลากหลายในเชิงพื้นที่ยังไง ยกตัวอย่าง บุรีรัมย์มี สว. 17 คน มันสอดคล้องกับสัดส่วนประชากรในจังหวัดยังไง มันจะเกิดปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีกหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นถ้าถามผมว่า คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นมันอุดช่องโหว่สภาที่ปรึกษาหรือยัง คำตอบผมคือไม่ ไม่แก้ปัญหาอะไรเลย มันกลับเป็นภาระซะมากกว่าว่า สุดท้ายกลไกนี้จะฟังก์ชันจริงหรือเปล่า มันจะตอบสนองต่อพื้นที่จริงหรือเปล่า หรือกระบวนการรับฟังความคิดเห็นนี้จะถูกครอบงำโดยกลไกรัฐสภาหรือเปล่า”
13 พ.ย. 2568 เคาะหลักเกณฑ์เลือก กมธ.ยกร่าง สูตร ‘20 หยิบ 1’
กมธ.ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาและลงมติเรื่องเกณฑ์การคัดเลือกผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา (มาตรา 256/5) โดยที่ประชุมเสียงข้างมาก ลงมติให้ใช้สูตร ‘20 หยิบ 1’ ที่พรรคประชาชนเสนอ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 19 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง งดออกเสียง 10 เสียงซึ่งส่วนใหญ่คือ กมธ.ในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย
สำหรับ สูตร 20 หยิบ 1 ที่พรรค ปชน.เสนอในร่างกฎหมาย คือการกำหนดให้สมาชิกรัฐสภา (สส. และ สว.) ที่รวมตัวกันได้ 20 คน (ซึ่งมาจากการนำสมาชิกรัฐสภา 700 คน หารด้วย กรรมาธิการร่าง 35 คน) สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างได้ 1 คน เพื่อให้มีหลักประกันว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง และทำให้ผู้ร่างมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด
นรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา ให้สัมภาษณ์ว่า ในกรณีที่สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถรวมกลุ่มได้ครบ 20 คน และไม่สามารถเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้ครบ 35 คน ได้กำหนดให้รัฐสภาโหวตเลือกจากบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่ถูกชื่อให้เป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ตามจำนวนที่ขาด โดยใช้มติของรัฐสภา จำนวน 2 ใน 3 เพื่อตัดสิน เหตุผลที่ต้องใช้เกณฑ์เห็นชอบ 2 ใน 3 นั้น เพื่อป้องกันการใช้เสียงข้างมากลากไป และอย่างน้อยการให้ความเห็นชอบผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญนั้นต้องมีส่วนผสมระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
“เช่น กรณีที่ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ไม่ครบ 35 คน ขาดอีก 3 คน การเสนอชื่อให้รัฐสภาโหวต ต้องเสนอชื่อเข้ามาเป็น 2 เท่า หรือ 6 คน จากนั้นให้รัฐสภาลงมติ สำหรับคนที่จะได้รับคัดเลือก ให้พิจารณาตามคะแนนโหวตสูงสุดเรียงตามลำดับที่ขาด ทั้งนี้มีเงื่อนไขต้องได้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ด้วย” นายนรเศรษฐ์ กล่าว
นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า สำหรับกรอบเวลาที่รัฐสภาต้องเลือก กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ ภายใน 60 วัน แต่หากครบเวลาแล้ว ไม่สามารถได้ กมธ.ครบ 35 คน แต่ไม่น้อยกว่า 90% หรือ 32 คน ให้ทำหน้าที่ไปตามจำนวนที่มี
จับตาที่มา กมธ.ยกร่าง สำคัญที่สุด !
ในการแถลงข่าว นรเศรษฐ์ กล่าวด้วยว่าช่วงบ่ายวันนี้ (13 พ.ย.) จะพิจารณาเนื้อหาของมาตรา 256/2 ว่าด้วยที่มาของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตามร่างหลักของพรรคประชาชน เสนอให้ใช้กระบวนการที่มามาจากการเสนอบัญชีรายชื่อ ให้ประชาชนเลือกตั้ง และเสนอให้รัฐสภาเลือก แต่ในรายละเอียดนั้นต้องหารือกันอีกครั้งว่าจะปรับรูปแบบเป็นอย่างไร
สิ่งที่ต้องจับตาในขณะนี้คือ เรื่อง ‘ที่มาของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ’ (มาตรา 256/2) ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพูดคุยหาข้อสรุป โดยพรรค ปชน.เสนอให้ใช้กระบวนการที่มาจากการเสนอบัญชีรายชื่อให้ประชาชนเลือกตั้ง รวมแล้ว 70 คน แล้วให้รัฐสภาเลือกอีกทีให้เหลือ 35 คน
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเสนอให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกเองเลยจากตัวแทนจังหวัด และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มาสมัคร
ทั้งนี้ เรื่องนี้จะมีการแถลงข่าวผลการประชุมในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย.) 9.30 น.
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (13 พ.ย.) เวลาประมาณ 17.00 น. นรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา โพสต์ข้อความทางเอกซ์ระบุว่า กรรมาธิการมีมติเห็นชอบการแก้ไขร่างมาตรา 256/2 ให้ผู้ประสงค์สมัครรับเลือกเป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญให้ยื่นใบสมัครต่อ กกต. พร้อมด้วยหลักฐานและอย่างน้อยต้องประกอบไปด้วยรายการดังนี้
- รายชื่อผู้รับรองที่มีสิทธิ์เลือกตั้งอย่างน้อย 100 คน
- วิสัยทัศน์ในการร่างรัฐธรรมนูญ
โพสต์ดังกล่าวของนรเศรษฐ์ระบุด้วยว่า *บัญชีรายชื่อที่สมัครเข้ามาต้องมีการเผยแพร่ต่อประชาชนและมีช่องทางให้ประชาชนโดยทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นโดยเปิดเผยต่อผู้สมัครแต่ละคนได้ตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากัน
จากโพสต์ดังกล่าว มีผู้มาคอมเมนต์ถามเขาว่า ยังเป็นแบบให้ประชาชนเลือกก่อนแล้วให้รัฐสภาเลือกอีกที หรือว่าข้ามไปให้รัฐสภาเลือกเลยแบบภูมิใจไทย ?
เขาตอบกลับว่า “จำเป็นต้องให้รัฐสภาเลือกเลยเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะไปขัดความเห็นศาลรัฐธรรมนูญครับ แต่การมีส่วนร่วมของประชาชน เราจะไปมุ่งเน้นในส่วนของกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้เสียงของประชาชนเป็นผู้กำหนดหน้าตารัฐธรรมนูญฉบับต่อไปครับ”
ในประเด็นนี้ ตัวแทนจากกลุ่มรณรงค์รัฐธรรมนูญบอกกับประชาไทว่า ข้อเสนอของทั้งสองพรรคมีข้อแตกต่างหลักอยู่ที่การจะให้มี ‘คูหา’ ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมผ่านการเลือกตั้งหรือไม่
โดยจุดยืนของภาคประชาชนคือการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง เนื่องจากประชาชนจะได้รู้ว่าคนที่จะไปร่างรัฐธรรมนูญ มีวิธีคิด วิธีการทำงาน นโยบายและอุดมการณ์แบบใด
ในมุมมองของเขา ข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยที่ ‘ไม่ยอมให้มีคูหา’ มีปัญหาอยู่ 3 เรื่อง
- กระบวนการเลือกขาดความยึดโยงกับประชาชน
“(การไม่ให้เลือกตั้ง) คือการที่คุณให้คนเข้ามาสมัครเลย ทั้งตัวแทนแบบจังหวัดและตัวแทนแบบผู้เชี่ยวชาญ สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับเลือก มันไม่สะท้อนความเป็นตัวแทนเลย เหมือนกับนักการเมืองส่งคนของตัวเองเข้าไปสมัคร แล้วก็จิ้มเลือกคนของตัวเองเข้ามาโดยที่ประชาชนไม่มีส่วนรู้เลยว่าคนๆ นี้ได้รับเลือกเพราะอะไร มีนโยบายอะไร จะมาร่างรัฐธรรมนูญแบบไหน”
“เราจะมั่นใจได้ไงว่าตัวแทนที่รัฐสภาจะเลือก เป็นตัวแทนที่ประชาชนเห็นชอบด้วยทั้งในแง่ความไว้วางใจ อุดมการณ์ นโยบาย เพราะประชาชนไม่ได้เลือกก่อน รัฐสภาเป็นคนเลือก”
“ในขณะเดียวกัน คุณจะโยนภาระให้ประชาชนว่า พรรคการเมืองไหนมีนโยบายเรื่องรัฐธรรมนูญก็ให้ไปเลือก สส.พรรคนั้น มันก็ยาก มันเป็นภาระกับประชาชน เพราะว่าประชาชนต้องนั่งคิดตั้งแต่ว่า (พรรคไหน) จะมีนโยบายอะไร (แคนดิเดต สส.) ทำงานในพื้นที่ดีไหม ทำงานในรัฐสภาดีหรือเปล่า คือมันเพิ่มภาระให้กับประชาชน แต่ถ้าคุณให้เลือกตั้ง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง อย่างน้อยที่สุดประชาชนก็จะรู้ว่าเขากำลังจะได้ตัวแทนแบบไหน”
- กระบวนการเลือกเปิดช่องให้พรรครัฐบาลและ สว. ‘กินรวบ’ โดยไม่ได้สะท้อนเสียงข้างน้อย
“ที่ผมใช้คำว่า กินรวบ ก็คือว่า ถ้าเกิดคุณไม่ใช้สูตร ‘20 หยิบ 1’ (ที่พรรค ปชน.เสนอ) แล้วคุณใช้สูตรเสียงข้างมาก (ของสภา) เห็นชอบ มันก็จะนำไปสู่ปัญหาว่าใครเป็นพรรครัฐบาลแล้วดันจับมือกับ สว. เสียงข้างมากซึ่งเป็น สว.สีน้ำเงินได้อีก คุณก็จะได้ครองเก้าอี้ของการร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด
ทั้งนี้ ในวันนี้ (13 พ.ย.) กมธ.ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญลงมติเรื่องเกณฑ์การคัดเลือกผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา (มาตรา 256/5) โดยที่ประชุมเสียงข้างมาก ลงมติให้ใช้สูตร ‘20 หยิบ 1’ ที่พรรคประชาชนเสนอ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 19 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง งดออกเสียง 10 เสียงซึ่งส่วนใหญ่คือ กมธ.ในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย
- กระบวนการเปิดช่องให้สภาเปลี่ยนเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญได้
“การไปให้รัฐสภาพิจารณา 3 วาระแล้วปรับแก้ไขเนื้อหาร่างได้ มันทำให้กระบวนการที่คุณไปจิ้มเลือกคนมาร่างรัฐธรรมนูญแทบไม่มีความหมายเลย เพราะว่าคนที่มีอำนาจที่แท้จริงคือรัฐสภา แล้วมันยังซ่อนกลไกไว้อีกในรัฐธรรมนูญไทยว่าในการพิจารณาวาระ 1 และวาระ 3 ต้องได้เสียงเห็นชอบจากสว. ไม่เกิน 1 ใน 5
เพราะนั้นแปลว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะต้องมาผ่านกระบวนการเสียง สว. 1 ใน 5 อีก ที่จะมาเป็นตัวคัดง้างกับเสียงข้างมากอีก นี่มันก็เลยเป็นความวุ่นวายของร่างพรรคภูมิใจไทย”
อ่านเพิ่มเติมประเด็นนี้ที่ไอลอว์
ณัชปกรกล่าวต่อไปว่า กลุ่มรณรงค์รัฐธรรมนูญมีกำหนดจะไปยื่นหนังสือถึงกมธ.ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 21 พ.ย. ที่จะถึงนี้ เรื่องเหตุผลที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งจากประชาชนก่อน แล้วจึงค่อยให้รัฐสภาเลือกอีกที
“แม้ว่าชั้นกรรมาธิการจะพิจารณาเสร็จแล้ว มันก็จะต้องไปถูกเถียงรายมาตราในวาระที่ 2 (ของสภา) เราหวังว่ามันจะมีการลงมติต่อสู้กันในวาระที่ 2”
ณัชปกรมองว่า ถ้าเกิดพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคเดียวที่ไปจับมือกับ สว. เพื่อไม่ให้เกิดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญแบบที่พรรค ปชน.ต้องการ นี่ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วสำหรับพรรคปชน.ที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อให้นำไปสู่การล้มรัฐบาล เพราะว่าพรรคเพื่อไทยก็มีความต้องการเปิดอภิปรายอยู่แล้ว
“ทีนี้พรรคประชาชนเนี่ยถ้าเกิดสุดท้ายไอ้การร่างรัฐธรรมนูญที่คุณคาดหวังไว้ ที่คุณไปยกมือให้ภูมิใจไทย มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณตั้งใจ คุณจะรักษาเขาให้เป็นรัฐบาลอยู่ทำไม”
“ปัญหาประเด็นสำคัญเลยก็คือว่า ถ้าเกิดโมเดล สสร.แบบที่คุณอยากได้ แบบที่เป็นประชาธิปไตยมันไม่เกิดขึ้น แล้วคุณก็ยอม จะกลายเป็นว่าไอ้ข้อครหาที่เขาบอกว่าคุณเป็นพรรคฝ่ายค้ำ เกี้ยเซีย มันก็จะมีน้ำหนักด้วยตัวมันเองทันที”
“เพราะฉะนั้นสำหรับผม เรื่องรัฐธรรมนูญนี่แหละคือจุดวัดใจ คุณต้องไม่ลืมว่าวันที่คุณยกมือให้เขา คุณบอกว่าคุณมีกระสุนที่เรียกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อเอาเขาออก”
ถ้าวันนี้เรื่องรัฐธรรมนูญมันไม่ได้เป็นแบบที่พรรคประชาชนเคยยืนยันว่าอยากจะได้ แล้วคุณไม่เอาเขาออก มันแปลว่าอะไร นี่ก็คงจะเป็นคำถามใหญ่แล้วมันจะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )












