
แนวคิดอนุรักษนิยมมีส่วนกำหนดแนวคิด “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” มีอิทธิพลและกลายเป็นแกนกลางทางความคิดชนชั้นกลางในสังคมไทยได้อย่างไร หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี ยังคงชวนอ่านหนังสือ “พลวัตทางอุดมการณ์ของชนชั้นกลางไทยในคืนวันที่ผันแปร: บทสังเคราะห์โครงการวิจัย ความเปลี่ยนแปลงทางความคิด ระบบคุณค่า และระบอบอารมณ์ความรู้สึกของชนชั้นกลางไทย พ.ศ. 2500-2560” (2567) ของสายชล สัตยานุรักษ์ (อ่านหนังสือคลิกที่นี่)
โดยตอนหนึ่งของหนังสืออธิบายแนวคิด “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งมีความหมาย และบริบทในแบบไทยๆ และมีพัฒนาการทางความคิดที่ไม่หยุดนิ่งเสียชีวิตตัว
โดยคำนี้ถูกบรรจุไว้ครั้งแรกในมาตรา 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 ” ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ในบริบทที่คณะราษฎรพ่ายแพ้
และแนวคิด “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จะถูกอธิบายอีกในช่วงทศวรรษ 2510 ก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และถูกอธิบายในช่วงพฤษภาคม 2535 และในช่วงก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีคำอธิบายเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ อาทิ “ศูนย์รวมจิตใจของคนไทย” ที่พึ่งพระบารมี ไปจนถึงเป็นสถาบันทางการเมืองที่ตรวจสอบถ่วงดุลกับนักการเมืองและกองทัพ ฯลฯ โดยคำอธิบายเหล่านี้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่างยุคต่างสมัย ผ่านนักวิชาการสำคัญที่มีอิทธิพลในสังคมไทยช่วงต่างๆ อาทิ เสนีย์ ปราโมช, คึกฤทธิ์ ปราโมช, ธีรยุทธ บุญมี, อมร จันทรสมบูรณ์, ชัยอนันต์ สมุทวณิช, ประมวล รุจนเสรี, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ฯลฯ รวมไปถึงปฏิบัติการทางการเมืองที่ขยายมาจากสายธารแนวคิดดังกล่าว เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, พระราชอำนาจ, รัฐธรรมนูญ มาตรา 7 และนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ฯลฯ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )