
เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงก่อเหตุ 7 นาที เหตุ โจรกรรมกลางวันแสก ๆ ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

ที่มาของภาพ : Louvre Museum
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประกาศปิดทำการ หลังเกิดเหตุโจรกรรมขึ้นในวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น โดยนับจนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังเร่งไล่ล่ากลุ่มโจรที่บุกปล้นพิพิธภัณฑ์ฯ ในช่วงเวลากลางวันแสก ๆ และขโมยเครื่องประดับที่ถูกอธิบายว่า “ประเมินค่าไม่ได้”
ราชิดา ดาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์แจ้งว่า เหตุโจรกรรมเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่พิพิธภัณฑ์กำลังเปิดให้บริการ เธอกล่าวว่าเธอได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวน
ต่อมา ดาติเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่พบเครื่องประดับชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นของที่ถูกขโมยไปใกล้กับที่เกิดเหตุ ซึ่งดูเหมือนจะถูกทำตกไว้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เธอกล่าวว่า “กำลังอยู่ในขั้นตอนประเมินค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น” ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเป็นของชิ้นใด
ดาติอธิบายว่าคนร้าย “ปฏิบัติการอย่างเป็นมืออาชีพ โดยไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ก่อให้เกิดความแตกตื่น”
ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Discontinuance of ได้รับความนิยมสูงสุด
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก และเป็นที่เก็บรักษาผลงานศิลปะและสมบัติอันล้ำค่าจำนวนมากของโลก

ที่มาของภาพ : EPA/Shutterstock
เครื่องประดับที่ถูกขโมย
รายงานพบว่ามีเครื่องประดับทั้งหมด 8 ชิ้นที่ถูกขโมยไปจากห้องจัดแสดง ซึ่งสิ่งของทั้งหมดนั้นล้วนเป็นของราชวงศ์ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 และประดับด้วยเพชรนับพันเม็ด รวมถึงอัญมณีล้ำค่าอื่น ๆ
กระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศสระบุว่า ของที่ถูกขโมยมีดังนี้
- รัดเกล้า (tiara) และเข็มกลัดของจักรพรรดินีเออเฌนี พระมเหสีของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3
- สร้อยพระศอ(สร้อยคอ)มรกตและพระกุณฑล(ต่างหู)มรกตหนึ่งคู่ของจักรพรรดินีมารี หลุยส์
- รัดเกล้า สร้อยพระศอ และพระกุณฑล(ต่างหู)ข้างหนึ่งจากชุดเครื่องเพชรแซฟไฟร์ ซึ่งเคยเป็นของสมเด็จพระราชินีมารี-อาเมลี และสมเด็จพระราชินีออร์ต็องส์
- เข็มกลัดที่รู้จักกันในชื่อ “เข็มกลัดรีลิกเควรี” (reliquary brooch) หรือแปลว่า “เข็มกลัดบรรจุวัตถุมงคล”
ขณะที่มงกุฎของจักรพรรดินีเออเฌนีถูกพบใกล้ที่เกิดเหตุ เพราะดูเหมือนว่าคนร้ายจะทำตกไว้ระหว่างหลบหนีอย่างเร่งรีบ
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ มงกุฎอันวิจิตรนี้ประดับด้วยลายอินทรีทองคำ และประดับเพชร 1,354 เม็ด พร้อมมรกตอีก 56 เม็ด ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่ามีความเสียหายหรือไม่
สาเหุตที่คนร้ายเลือกขโมยเครื่องเพชรนั้น เนื่องจากสามารถแยกชิ้นส่วนออกมาขายเป็นเงินสดได้ง่าย ขณะที่ผลงานศิลปะล้ำค่ามักขายต่อได้ยาก เพราะมีลักษณะเฉพาะและสามารถระบุตัวตนได้ง่าย
โลรองต์ นูเญซ รัฐมนตรีมหาดไทยของฝรั่งเศส กล่าวว่า นอกเหนือจากมูลค่าทางการค้าแล้ว เครื่องประดับที่ถูกขโมยไปยังมีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจคำนวณได้ โดยเขาอธิบายว่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ “ประเมินค่าไม่ได้” และมี “คุณค่าทางมรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจวัดได้”
เรารู้อะไรแล้วบ้าง

ที่มาของภาพ : Mohammed Badra/EPA/Shutterstock

ฮิวจ์ สโคฟิลด์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำกรุงปารีส รายงานโดยอ้างสื่อฝรั่งเศสว่า มีชายสวมหน้ากากสามคนบุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ไม่นานหลังจากที่พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการในเช้าของวันที่ 19 ต.ค.
กระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสระบุว่า เวลาประมาณ 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีคนร้ายหลายคนบุกเข้าไปยังห้องจัดแสดงอพอลโล (Apollo Gallery) ผ่านทางหน้าต่างที่พวกเขาทุบกระจกเข้าไป ห้องนี้ตั้งอยู่ในส่วนที่มองเห็นแม่น้ำแซน และเป็นที่จัดแสดงเครื่องเพชรพลอยของราชวงศ์ฝรั่งเศส
โลรองต์ นูเญซ รัฐมนตรีมหาดไทยของฝรั่งเศส กล่าวว่า คนร้ายจำนวนสามถึงสี่คนได้ใช้รถยกที่ติดมากับรถบรรทุก ซึ่งจอดอยู่ใกล้ตัวอาคาร เพื่อช่วยในการเข้าถึงพื้นที่เป้าหมาย เมื่อเข้าไปภายในแล้ว คนร้ายได้ขโมยเครื่องประดับจากตู้โชว์ ก่อนจะหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุด้วยรถจักรยานยนต์ โดยนูเญซระบุว่า การปล้นครั้งนี้กินเวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้น
การสอบสวนของเจ้าหน้าที่มุ่งเน้นไปที่บริเวณมุมตะวันออกเฉียงใต้ของอาคาร ซึ่งอยู่ฝั่งที่หันหน้าออกไปทางแม่น้ำแซน
หากมองจากระยะไกล ยังสามารถมองเห็นบันไดพับขนาดใหญ่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับที่ใช้ในรถดับเพลิงหรือรถของบริษัทซ่อมหลังคา บันไดนี้ติดตั้งอยู่บนแท่นยกกลไกแบบที่นิยมใช้ในกรุงปารีส สำหรับขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ขึ้นไปยังอะพาร์ตเมนต์ชั้นบน
ส่วนปลายด้านบนของบันไดแตะถึงระเบียง ซึ่งคาดว่าเป็นเส้นทางที่คนร้ายทั้งสามใช้ปีนเข้าสู่ชั้นบนของพิพิธภัณฑ์

ที่มาของภาพ : Reuters
ห้องจัดแสดงอพอลโล (Gallery of Apollo) ที่มีการรายงานว่าเป็นเป้าหมายการโจรกรรมของผู้ก่อเหตุ ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดเก็บรักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของฝรั่งเศสที่ยังหลงเหลืออยู่ หลังจากสมบัติเหล่านี้ส่วนใหญ่สูญหายหรือถูกขายไปหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส
ของบางชิ้นที่จัดแสดงในห้องนี้เป็นสมบัติที่ได้มาหลังการปฏิวัติ เพื่อการรำลึกถึงจักรพรรดินโปเลียน, จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พระนัดดาของพระองค์ และพระมเหสีของพระองค์อย่าง จักรพรรดินีมารี-หลุยส์ และจักรพรรดินีเออเฌนี
เว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ระบุว่า ของที่ล้ำค่าที่สุดในห้องนี้คือเพชรสามเม็ดที่มีชื่อว่า “เดอะ รีเจนต์” (The Regent), “เดอะ ซ็องซี” (The Sancy) และ “เดอะ ออร์แตงเซีย” (The Hortensia)
พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ที่มาของภาพ : Mohammed Badra/EPA/Shutterstock
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปารีส ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่จัดแสดงเกือบ 73,000 ตารางเมตร หรือใหญ่กว่าสนามฟุตบอลสิบแห่งรวมกัน
อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1546 เพื่อใช้เป็นพระราชวังของราชวงศ์ฝรั่งเศส โดยมีพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงประทับในพระราชวังแห่งนี้ พระองค์ทรงเป็นนักสะสมงานศิลปะและมีพระประสงค์ให้ลูฟวร์เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานในคอลเลกชันส่วนพระองค์
กษัตริย์ฝรั่งเศสพระองค์ต่อ ๆ มาต่างทรงขยายคอลเลกชันศิลปะของราชสำนักให้ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์ถึงขั้นทรงได้มาซึ่งคอลเลกชันศิลปะของพระเจ้า ชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ภายหลังจากที่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทรงถูกประหารชีวิตในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ
คอลเลกชันเหล่านี้ยังคงเป็นของส่วนพระองค์จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 และในปี 1793 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จึงเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรกในฐานะหอศิลป์สาธารณะ
ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นที่จัดแสดงผลงานศิลปะกว่า 35,000 ชิ้น รวมถึงภาพวาดชื่อก้องโลก “โมนาลิซา” ผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี และมีนักท่องเที่ยวกว่า 30,000 คน เข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในแต่ละวัน
ลูฟวร์ถูกปล้นบ่อยแค่ไหน
การโจรกรรมเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เนื่องจากมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก ทว่าก็เคยเกิดขึ้น
เหตุการณ์โจรกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดเกิดขึ้นในปี 1911 เมื่อภาพวาดชิ้นเอกของเลโอนาร์โด ดา วินชี อย่าง “โมนาลิซา” ถูกขโมยไป
ในตอนนั้น กวีชื่อดังอย่าง กีโยม อาปอลีแนร์ และ ปาโบล ปิกัสโซ ถูกตำรวจเรียกมาสอบปากคำ อย่างไรก็ตาม คนร้ายที่แท้จริงกลับเป็นชายชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง ซึ่งทำไปด้วยความรู้สึก “รักชาติ” โดยต้องการนำภาพวาดกลับคืนสู่อิตาลี
ภาพโมนาลิซาถูกพบอีกครั้งในเมืองฟลอเรนซ์ หลังเหตุโจรกรรมสามปี และถูกส่งคืนไปยังกรุงปารีส ซึ่งตอนนั้นตัวภาพยังไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าปัจจุบัน
ต่อมาในปี 1983 เกิดเหตุการณ์ที่ชิ้นส่วนของชุดเกราะยุคศตวรรษที่ 16 หายไปจากพิพิธภัณฑ์ และเพิ่งถูกพบอีกครั้งในปี 2011
และล่าสุด ในปี 1998 ภาพวาดของศิลปินยุคศตวรรษที่ 19 กามิลล์ โกโรต์ ที่มีชื่อว่า Le Chemin de Sèvres อาจแปลเป็นภาษาไทยว่า ถนนเซฟร์ ถูกขโมยไปอย่างง่ายดาย ภาพดังกล่าวถูกถอดออกจากผนังโดยไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ การโจรกรรมครั้งนั้นนำไปสู่การปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยครั้งใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดพบภาพวาดชิ้นนั้นอีกเลย
ที่มา BBC.co.uk