
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชี้มูลอดีต หัวหน้าคลังสินค้าสุรินทร์ ร่ำรวยผิดปกติ 41.7 ล.พบทั้งหมดเป็นบัญชีเงินฝาก มีบัญใชในธนาคารกรุงเทพถึง 80 รายการ รวม 25 ล้าน
สำนัข่าวอิศรา . รายงานว่าเมื่อวันที่ 8 ก.ย. นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ในฐานะโฆษกสำนักงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แถลงว่า คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม พนักงานธุรการ 5 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคลังสินค้ากลางรับฝากข้าวเปลือก จังหวัดสุรินทร์ สังกัดองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้พิจารณารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีมีการกล่าวหานายอนุพงศ์ ครองคุ้ม พนักงานธุรการ 5 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคลังสินค้ากลางรับฝากข้าวเปลือก จังหวัดสุรินทร์ สังกัดองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าร่ำรวยผิดปกติ พบรายการฝากเงินสดเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ของนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม และผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวนหลายบัญชีเกินกว่าฐานะและรายได้ ซึ่งบางรายการพบว่าเป็นการฝากโดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงสีข้าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 41,370,084.88 บาท จากรายละเอียด รายการทรัพย์สิน ดังนี้ 1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาเทสโก้โลตัส สุรินทร์ จำนวน 80 รายการ จำนวน 25,536,963 บาท 2. ธนาคารออมสิน สาขาสังขะ จำนวน 4 รายการ จำนวน 2,878,000 บาท 3. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จำนวน 2 รายการ จำนวน 7,000,000 บาท 4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุรินทร์ จำนวน 2 รายการ จำนวน 1,355,000 บาท 5. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุรินทร์พลาซ่า จำนวน 1 รายการ จำนวน 300,000 บาท 6. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนหลักเมือง จำนวน 1 รายการ จำนวน 2,430,000 บาท 7. เงินสดที่นำไปชำระหนี้ จำนวนเงิน 1,870,121.88 บาท
คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จึงมีมติชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม ว่าร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
ทั้งนี้ ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นที่คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 สำนักงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ส่งสำนวน การไต่สวน พร้อมเอกสารหลักฐานให้สำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )