
9 คำถามน่ารู้ก่อน “รัฐบาล 4 เดือน” เปิดให้กาบัตร 4 ใบ เลือก สส. พ่วง 2 ประชามติ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
Article Records
-
- Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- Role, ผู้สื่อข่าว.
“มือกฎหมาย” ของรัฐบาล “อนุทิน” เปิดประเด็นกลางรัฐสภาเมื่อ 29 ก.ย. ว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปภายหลังการยุบสภา ประชาชนจะได้กาบัตรลงคะแนน 4 ใบ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่การเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติเกิดขึ้นในวันเดียวกัน และเป็นครั้งแรกที่การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้เกิดขึ้นในบรรยากาศหลังรัฐประหาร
สำหรับบัตรลงคะแนนทั้ง 4 ใบ ประกอบด้วย บัตรเลือก สส.แบบแบ่งเขต, บัตรเลือก สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์), บัตรลงประชามติรัฐธรรมนูญ และบัตรลงประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยืนยันหลายกรรมหลายวาระว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นอย่างช้า 31 ม.ค. 2569
กว่าจะถึงวันเข้าคูหากาบัตร 4 ใบ มีอะไรที่คนไทยควรรู้ แต่ยังไม่รู้แน่ชัดบ้าง .ตั้ง 9 คำถามน่าสนใจ ก่อนรวบรวมความเห็นผู้เกี่ยวข้อง พลิกข้อกฎหมาย ทบทวนข้อมูลในอดีตเพื่อแสวงหาคำตอบเบื้องต้น
1. ประชาชนจะได้เข้าคูหาวันไหน?
การเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นภายใน forty five-60 วันนับจากวันที่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎรใช้บังคับ (รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 103 กำหนดไว้)
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Conclude of ได้รับความนิยมสูงสุด
หากนายกฯ ของ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่มีอายุ 4 เดือน ประกาศยุบสภา 31 ม.ค. 2569 นั่นหมายความว่า การเลือกตั้ง สส. จะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วง 17 มี.ค.-1 เม.ย. 2569 ทว่าถ้าพิจารณาจากธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มักกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ จึงมีวันที่เป็นไปได้อยู่ 2 วันคือ 22 มี.ค. และ 29 มี.ค. 2569
แต่เมื่อรัฐบาลมีแนวคิดจะขอพ่วงการออกเสียงประชามติใน 2 เรื่องสำคัญเข้าไปสอบถามความคิดเห็นประชาชนในวันเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไป คนไทยจึงน่าจะมีโอกาสรู้แน่ชัดว่าต้องเข้าคูหาวันใด ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ต.ค. หรืออย่างช้าปลายเดือน ม.ค. ปีหน้า
หากยึดเงื่อนไขของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2564 มาตรา 10 กำหนดให้จัดประชามติภายใน 90-120 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา โดยนายกฯ หารือร่วมกับ กกต. เรื่องการกำหนดวัน
- ถ้าให้เลือกตั้ง 22 มี.ค. 2569 จะรู้ในช่วง 23 พ.ย.-23 ธ.ค. 2568
- ถ้าให้เลือกตั้ง 29 มี.ค. 2569 จะรู้ในช่วง 30 พ.ย.-30 ธ.ค. 2568
อย่างไรก็ตามร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาและนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยไปแล้ว รอประกาศใช้เป็นกฎหมาย ระบุว่า หากเห็นว่าวันเลือกตั้ง สส. อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาจกำหนดให้วันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งได้ แต่ต้องอยู่ในช่วง 60-150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
- ถ้าให้เลือกตั้ง 22 มี.ค. 2569 จะรู้ในช่วง 24 ต.ค. 2568-22 ม.ค. 2569
- ถ้าให้เลือกตั้ง 29 มี.ค. 2569 จะรู้ในช่วง 31 ต.ค. 2568-29 ม.ค. 2569

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
2. เลือก สส. 2 ระบบ จะใช้ค่ายเดียวเบอร์เดียวกันได้หรือไม่?
แม้คนไทยรู้จักและคุ้นชินกับการเลือกตั้ง สส. 2 ระบบ มานานกว่า 2 ทศวรรษนับจากนำมาใช้ครั้งแรกในการเลือกตั้งปี 2544 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 โดยให้เลือก สส.แบบแบ่งเขต ซึ่งเป็นการ “เลือกคน” เข้าไปดูแลพื้นที่ในเขตเลือกตั้งของเรา กับเลือก สส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นการ “เลือกพรรค” ให้มีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศ โดยผู้สมัคร สส. ทั้ง 2 ระบบที่มาจากพรรคเดียวกัน จะใช้หมายเลขผู้สมัครเลขเดียวกัน
แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ได้เปลี่ยนแปลงกติกานี้ กำหนดให้พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัคร สส.เขตก่อน ถึงจะมีสิทธิส่งผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้ ทั้งนี้ในการเลือกตั้งล่าสุดปี 2566 แต่ละพรรคต้องส่งผู้สมัคร สส. เขต และจับสลากหมายเลขประจำตัวผู้สมัครที่จะใช้รณรงค์หาเสียงในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ ก่อนที่ กกต. จะเปิดรับสมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ และให้จับสลากหมายเลขที่พรรคจะใช้หาเสียงทั้งประเทศ
นั่นทำให้บัตรลงคะแนนเลือก สส.เขต เป็นคนละเบอร์กับบัตรลงคะแนนเลือก สส.บัญชีรายชื่อ แม้เป็นผู้สมัคร สส.เขตจากค่ายเดียวกัน ถ้าอยู่คนละเขตเลือกตั้ง/คนละจังหวัด ก็ใช้เบอร์ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับผลการจับสลากของใครของมัน สร้างความยุ่งยากให้กับนักการเมือง/พรรคการเมือง ในฐานะ “ผู้เล่น”, ประชาชนในฐานะ “ผู้เลือก” และ กกต. ในฐานะ “ผู้กำกับกติกา”
เมื่อรัฐบาล “อนุทิน” จะเพิ่มบัตรลงคะแนนประชามติเข้าไปอีก 2 ใบ จึงเริ่มมีผู้เสนอให้รัฐบาลช่วยลดภาระของประชาชน ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 90 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ในมาตราที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บัตรลงคะแนนเลือก สส. ทั้ง 2 ระบบ ใช้หมายเลขประจำตัวผู้สมัครเบอร์เดียวกัน
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีเสียงตอบรับจากคนในรัฐบาล
3. ประชามติรัฐธรรมนูญ จะมีกี่คำถาม และถามว่าอะไร?
กรณีรัฐธรรมนูญ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า “มี (คำถามในใจ) แล้ว แต่ยังไม่อยากพูด”
เขาเน้นย้ำว่า อำนาจตั้งคำถามอยู่ที่ กกต. กับรัฐบาลจะปรึกษากัน เพราะประชามติ คนที่ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือรัฐบาล แต่คนที่ดำเนินการคือ กกต.
“ตัวคำถามจะตั้งอย่างไรต้องหารือกัน รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ จริงอยู่ว่าเป็นอำนาจของรัฐบาล แต่ต้องขอความเห็นและความยินยอมพร้อมใจของสมาชิกรัฐสภา ที่สำคัญ กกต. ที่มีอำนาจตามกฎหมาย” นายบวรศักดิ์กล่าวเมื่อ 30 ก.ย.
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 ก.ย. ระบุว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง แต่ “การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
นายบวรศักดิ์เปิดเผยแนวคำถามเบื้องต้นเอาไว้ 2 ข้อ
- ข้อแรก เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
- ข้อสอง เห็นชอบด้วยกับวิธีการและเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาส่งมา หรือไม่
ขณะนี้มีร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ของ 3 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย (ภท.), พรรคประชาชน (ปชน.), และพรรคเพื่อไทย (พท.) ยื่นต่อประธานรัฐสภาแล้ว คาดว่าจะได้พิจารณาในวาระ 1 (ขั้นรับหลักการ) 14-15 ต.ค. จากนั้นในเดือน ธ.ค. จะได้พิจารณาในวาระ 2 (พิจารณาเป็นรายมาตรา) และวาระ 3 (ขอความเห็นชอบทั้งฉบับ)
ในการผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1 และวาระที่ 3 ต้องมีเสียง สว. เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือต้องได้เสียง สว. 66 คน จาก สว. ทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 198 คน
หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาได้ตามกรอบเวลานี้ ก็มีโอกาสได้ทำประชามติประเด็นรัฐธรรมนูญ 2 คำถามในคราวเดียวกัน
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ซึ่งจัดทำขึ้นในบรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 ทั้งนักการเมืองและภาคประชาชนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเกือบ 30 ฉบับ แต่มีเพียงฉบับเดียวที่ผ่านความเห็นชอบของ สส. และ สว. เมื่อปี 2564 คือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 83, 86 และ 91 ซึ่งมีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขณะนั้นเป็นเจ้าของร่าง โดยให้ยกเลิกระบบเลือก สส. แบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ใช้ครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วหวนกลับไปใช้การเลือก สส. 2 ระบบ และเปลี่ยนจำนวน สส.เขต เป็น 400 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน
4. MOU ไทย-กัมพูชาฉบับไหนที่รัฐบาลเล็งยกเลิก?
กรณีบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Figuring out – MOU) ปรากฏครั้งแรกในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ในนโยบายด้านความมั่นคง ข้อ 6 “ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”
ก่อนที่นายบวรศักดิ์คนเดิมจะเปิดเผยแนวคำถามเบื้องต้นว่า เห็นชอบให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมดว่าเนื้อหาของ MOU เป็นอย่างไรและมีไว้เพื่ออะไร อยากให้ประชาชนตัดสินใจโดยมีข้อมูล ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็เคารพ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ จึงอยากให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม
อย่างไรก็ตามมีหลากหลายคำถามที่รัฐบาลยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน อาทิ MOU ฉบับไหนที่จะนำไปทำประชามติ, จะถามคำถามกี่ข้อ, MOU 2543 และ 2544 ใช้คำถามเดียวกันหรือไม่, นอกจากให้ประชาชนวินิจฉัยว่า “ยกเลิก” หรือ “ไม่ยกเลิก” มีข้อเสนออื่นอีกหรือไม่, มีแผนรองรับผลที่ตามมาอย่างไรหากผลประชามติให้ยกเลิก

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
นายกฯ อนุทินโยนให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกี่ยวข้องกับ MOU 43 และ MOU 44 ที่มีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สส.บุรีรัมย์ พรรค ภท. เป็นประธาน เป็นผู้ศึกษาและเสนอมายังรัฐบาล
สำหรับ MOU 2543 ลงนามในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มีเป้าหมายในการจัดทำกรอบการทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดเส้นเขตแดน โดยอ้างอิงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1904 และ 1907
MOU 2544 ลงนามในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เป็นบันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีป ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
5. บัตรลงคะแนน 4 ใบ จะมีหน้าตาอย่างไร?
ก่อนถึงวันเข้าคูหาเลือกตั้งพ่วงประชามติ รัฐบาลจำเป็นต้องให้ข้อมูลแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงเพื่อสร้างความเข้าใจทั้งต่อกระบวนการโหวต 4 ใบ กากบาท 5 ครั้ง และสาระสำคัญของเรื่องที่นำไปทำประชามติ ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และรายละเอียดของ MOU 43-44
“คิดว่าคนไทยฉลาดมาก จะไม่สับสนกับบัตร 4 ใบ จำได้ไม่ยาก” รองนายกฯ ผู้มีดีกรีเป็นด็อกเตอร์ด้านกฎหมายมหาชนกล่าว และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหา
นายบวรศักดิ์ทดลองอธิบาย-ฉายตัวอย่างของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งใช้บัตร 4 ใบ สรุปได้ ดังนี้
บัตรเลือกตั้ง ให้ใช้บัตรปกติ ไม่มีสี
บัตรประชามติ ให้ใช้บัตรสีเหลือง
- ถ้าเห็นชอบด้วย ให้กาในช่องสีเขียว สื่อความหมายเหมือนไฟเขียว แปลว่าไป
- ถ้าไม่เห็นชอบ ให้กาในช่องสีแดง สื่อความหมายเหมือนไฟแดงแปลว่าหยุด ไม่ต้องทำ
บัตรประชามติ MOU ให้ใช้บัตรสีฟ้า
- ถ้าเห็นชอบด้วยให้ยกเลิก ให้กาในช่องสีเขียว
- ถ้าไม่เห็นชอบด้วยกับการยกเลิก ให้กาในช่องสีแดง
อย่างไรก็ตาม กกต. จะเป็นผู้กำหนดลักษณะบัตร สีของบัตรลงคะแนน ต่อไป

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
6. จะวางแผนประชาสัมพันธ์อย่างไร?
นอกจากบัตรลงคะแนน นายบวรศักดิ์ยังเล่าถึงแผนประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลใน 2 เรื่องที่รัฐบาลจะนำไปลงประชามติ โดยเขาเสนอนายกฯ และ ครม. ว่าควรขอความร่วมมือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และให้ บมจ.อสมท. และสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.) ช่อง 11 จัดเวลาที่เท่าเทียมกันทุกฝ่ายทุกวัน
- เพื่อชี้แจงเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่ามีเนื้อหาสาระอย่างไร โดยเปิดโอกาสให้ฝ่ายเห็นด้วยและฝ่ายไม่เห็นด้วยมีเวลาเท่ากัน
- เพื่อชี้แจงเนื้อหาสาระสำคัญของ MOU โดยกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแสดงความคิดเห็นโดยมีเวลาเท่ากัน
ส่วนสื่อโซเชียลนั้น รองนายกฯ บอกว่ารัฐบาลแตะต้องไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเสรีภาพของแต่ละคน
สำหรับแผนประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขยายความเพิ่มเติมว่า หลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระ 1 และวาระ 2 “จะต้องมีการประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้น” ในระหว่างพักร่างกฎหมายไว้ 15 วัน ก่อนกลับมาขอความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระ 3 (รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (5) กำหนดไว้)
แต่การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ MOU หลายฝ่ายยังเป็นกังวล เพราะการทำประชามติ จำเป็นต้องให้ประชาชนมีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจ ขณะที่บันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แม้แต่รัฐสภายังต้องประชุมลับ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มองว่า “เป็นเรื่องล่อแหลมมาก” และ “เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหาย” เขาตั้งคำถามว่า ในเวลา 4 เดือน จะชี้แจงข้อมูลประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะกฎหมายประชามติบอกว่าต้องรณรงค์ได้ แต่การประชุมเรื่อง MOU ในรัฐสภาหลายครั้งเป็นการประชุมลับ เพราะกลัวข้อมูลจะไปถึงฝ่ายกัมพูชา จะรู้ว่าไทยคิดอย่างไร อีกทั้งยังเป็นการทำประชามติในบรรยากาศที่ประชาชนยังมีความรู้สึกโกรธแค้น ไม่พอใจ
เช่นเดียวกับนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่ชี้ว่า เป็นภาระของนายอนุทินที่ต้องตอบว่าจะมีวิธีการใดทำให้ประชาชนรับรู้ โดยไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ หากข้อมูลรั่วไหลไปถึงกัมพูชา และบอกด้วยว่าฝ่ายค้านไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีการเสนอทำประชามติในเรื่องนี้
“นี่คือหน้าที่ของภูมิใจไทยต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ต้องปกป้องผลประโยชน์ชาติ ไม่ใช่เดินหน้าเพื่อหวังผลเลือกตั้ง และไม่ปล่อยให้ความลับของชาติตกไปอยู่ในมือกัมพูชา” สส. พรรคสีส้มกล่าว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
7. เข้าคูหากา 3 in 1 ประหยัดงบแผ่นดินได้เท่าไร?
รัฐบาลให้เหตุผลในการ “เลือกตั้งพ่วงประชามติ” ว่าเป็นไปเพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดิน โดยอ้างอิงข้อมูลจาก กกต. ที่ว่าจัดการเลือกตั้งครั้งหนึ่งต้องใช้งบราว 6,000 ล้านบาท หากจัดการเลือกตั้ง สส. และประชามติอีก 2 ครั้ง จะรวมเป็นเงินถึง 18,000 ล้านบาท
แต่เมื่อจับ 3 เรื่องมาทำในครั้งเดียว หรือเรียกว่ากากบาทแบบ 3 in 1 จึงช่วยประหยัดงบประมาณลงราว 12,000 ล้านบาท
เมื่อ.ตรวจสอบย้อนหลัง เกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้จัดการเลือกตั้งและประชามติ 2 ครั้ง พบข้อมูล ดังนี้
- เลือกตั้งทั่วไปปี 2566 จัดเมื่อ 14 พ.ค. 2566 ใช้งบ 5,941.1 ล้านบาท
- ประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 จัดเมื่อ 7 ส.ค. 2559 ใช้งบ 2,991.5 ล้านบาท
- ประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 จัดเมื่อ 19 ส.ค. 2550 ใช้งบ 1,500.2 ล้านบาท
8. ต้องได้เสียงเท่าใด ถึงจะผ่านประชามติ?
หากร่าง พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่ ซึ่งมีสาระสำคัญคือการยกเลิกเกณฑ์ “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” (Double Majority) แล้วให้กลับไปใช้ “เสียงข้างมากชั้นเดียว” (Uncomplicated Majority) ในการหาข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ มีผลบังคับใช้
ย่อมหมายความว่า ประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิส่วนใหญ่ต้องกาช่อง “เห็นชอบ” กับ 3 คำถาม ใน 2 บัตรลงประชามติ กรณีรัฐธรรมนูญ และกรณี MOU โดย “คะแนนเสียงข้างมากต้องสูงกว่าคะแนนเสียงไม่แสดงความคิดเห็น” หรือพูดง่าย ๆ ว่าคะแนนของผู้โหวตเห็นชอบ ต้องมากกว่าคะแนนผู้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือไม่แสดงความคิดเห็น จึงจะถือว่าผ่านความเห็นชอบ
แต่ถ้ายังต้องเข้าคูหาด้วย พ.ร.บ.ประชามติฉบับปัจจุบัน การผ่านประชามติต้องอาศัย “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” ในชั้นแรก ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และชั้นที่สอง ต้องมีผู้โหวตเห็นชอบเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง
ข้อมูล ณ ปี 2566 มีผู้มีสิทธิออกเสียงชาวไทยทั้งหมด 52 ล้านคน ในชั้นแรก ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงเกิน 26 ล้านเสียง แต่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการยกเลิก MOU จะผ่านได้ ต้องมีผู้โหวตเห็นชอบเกิน 13 ล้านเสียง
9. เราเรียนรู้อะไรบ้างจาก 2 ประชามติในไทย?
ประเทศไทยเคยจัดให้มีการออกเสียงประชามติระดับชาติมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไม่เคยทำวันเดียวกับการเลือกตั้ง
การลงประชามติในทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นในบรรยากาศหลังการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิม แล้วยกร่างฉบับใหม่ ซึ่งแต่ละฉบับมีเนื้อหาหลายร้อยมาตรา ก่อนนำไปขอความเห็นชอบจากประชาชนเพื่อสร้างความชอบธรรมให้คณะรัฐประหาร ทั้งนี้การคูหาประชามติล่าสุดเมื่อ 9 ปีก่อน มีการตั้งคำถาม 2 ข้อให้ประชาชนโหวตเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ปี 2550 หลังรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) 19 ก.ย. 2549
- บัตรออกเสียงประชามติ: ใช้บัตรใบเดียว ถามคำถามข้อเดียว มีเพียงช่อง “เห็นชอบ” และ “ไม่เห็นชอบ” ให้ทำเครื่องหมายกากบาท ไม่มีช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน/งดออกเสียง”
- คำถาม: “ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ….” (มีเนื้อหาทั้งหมด 309 มาตรา 15 หมวด รวม 127 หน้า)
- ผลประชามติ: เห็นชอบด้วยคะแนน 14.7 ล้านคน ต่อ 10.7 ล้านคน (คิดเป็นคะแนนเห็นชอบ 57.81%) โดยมีผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด forty five ล้านคน และมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียง 25.9 ล้านคน (คิดเป็น 56.4%) ทั้งนี้มีบัตรเสียหรือไม่ลงคะแนน 5 แสนใบ (คิดเป็น 1.94%)

ที่มาของภาพ : Getty Photography
ปี 2559 หลังรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 22 พ.ค. 2557
- บัตรออกเสียงประชามติ: ใช้บัตรใบเดียว ถามคำถาม 2 ข้อ โดยแบ่งเป็นครึ่งบน-ล่าง ทำเป็น 2 สีต่างกัน โดยมีเพียงช่อง “เห็นชอบ” และ “ไม่เห็นชอบ” ให้ทำเครื่องหมายกากบาท ไม่มีช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน/งดออกเสียง”
- คำถาม: ประเด็นที่ 1 “ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. …. ทั้งฉบับ” (มีเนื้อหาทั้งหมด 279 มาตรา 16 หมวด รวม 305 หน้า) ประเด็นที่ 2 “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่าในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”
- ผลประชามติ: ประเด็นแรก เห็นชอบร่างรัฐธธรรมนูญ ด้วยคะแนน 16.8 ล้านคน ต่อ 10.5 ล้านคน (คิดเป็นคะแนนเห็นชอบ 61.35%) โดยมีผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50 ล้านคน และมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียง 29.7 ล้านคน (คิดเป็น 59.4%) ทั้งนี้มีบัตรเสียหรือไม่ลงคะแนน 9.3 แสนใบ (คิดเป็น 3.15%) ประเด็นเพิ่มเติม เห็นชอบคำถามพ่วง ด้วยคะแนน 15.1 ล้านคน ต่อ 10.9 ล้านคน (คิดเป็นคะแนนเห็นชอบ 58.07%) โดยมีผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50 ล้านคน และมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียง 29.7 ล้านคน (คิดเป็น 59.4%) ทั้งนี้มีบัตรเสียหรือไม่ลงคะแนน 3.6 แสนใบ (คิดเป็น 8.1%)
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เรียกขานรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งเขาเป็นผู้แต่งตั้งว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” หลังผ่านประชามติ
ตัว “คำถามพ่วง” ที่ผ่านประชามตินี่เองที่ทำให้ สว. ชุดเฉพาะกาลที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. มีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกฯ 2 คนหลังเลือกตั้ง (นายกฯ ประยุทธ์ แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐปี 2562 และนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยปี 2566)

ที่มาของภาพ : AFP/Getty Photography
วิทยานิพนธ์ในหัวข้อ “การเมืองวัฒนธรรมของการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559” ชี้ให้เห็นเบื้องหลังความสำเร็จของการสร้างคำจำกัดความ เพื่อให้เกิดภาพจำบางประการต่อร่างรัฐธรรมนูญ ภายใต้กลยุทธ์ “การสื่อสารเป็นจุด ๆ” ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. โดยสกัดเฉพาะข้อดี-ข้อเด่นมาสื่อสารกับสังคม มีผู้นำทางความคิดในเครือข่ายรัฐบาล ผู้สนับสนุน รวมถึงเครือข่ายบุคลากรภาครัฐราว 5.3 แสนคนร่วมเป็นวิทยากรกระบวนการ (ครู ก. ข. ค.) และ “กระบอกเสียง” คอยขานรับและส่งต่อชุดคำอธิบายจาก กรธ. เกิดเป็นวาทกรรมหลัก 5 ชุดในสนามประชามติ อาทิ รัฐธรรมนูญฉบับ “ปราบโกง” “ปฏิรูป” “ประชาชนเป็นใหญ่”
ส่วนฝ่ายเห็นต่างไม่มีพื้นที่ให้วิจารณ์ข้อด้อยของร่างรัฐธรรมนูญมากนัก เพราะถูกกล่าวหาว่า “บิดเบือน” และถูกฟ้องดำเนินจากการจัดทำเอกสารคำอธิบายอีกด้านที่ถูก กรธ. เรียกว่า “รัฐธรรมนูญปลอม” ซึ่ง ณ เวลานั้นกฎหมายประชามติก็มีบทลงโทษรุนแรงทั้งปรับและจำคุก พวกเขาจึงทำได้แค่ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการประชามติผ่านวาทกรรม อาทิ “ประชามติมัดมืดชก” “ประชามติในความเงียบ”
แม้ 2 พรรคใหญ่ในขณะนั้นอย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ทำให้ชะตากรรมของรัฐธรรมนูญดังกล่าวต้องสะดุดหยุดลง เพราะมีปัจจัยอื่น ๆ มาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กลไกการสื่อสารของฝ่าย คสช. ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า, ความอยากเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ เพราะถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญ โรดแมปเลือกตั้งก็ต้องขยับออกไป ตลอดจนความนิยมชมชอบในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารประกาศรับร่างรัฐธรรมนูญก่อนเข้าคูหา 2 วัน ส่งผลให้คนไทยถึง 61.35% พร้อมในกันโหวตเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับ คสช.
การทำให้ประชามติเป็น “ทางผ่าน” เป็นกลยุทธ์ที่คณะรัฐประหารปี 2549 เคยใช้ได้ผลมาแล้วในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านวาทกรรม “รับไปก่อน แก้ทีหลัง” จึงไม่แปลกหากคณะรัฐประหารรุ่นน้องจะเรียนรู้จากรุ่นพี่ และประสบชัยชนะในสนามประชามติครั้งล่าสุด ทำให้คนไทยอยู่กับกติกาสูงสุดที่ถูกเรียกขานว่า “มรดกลุงตู่” มาแล้ว 8 ปี
สำหรับการออกเสียงประชามติ (referendum) เป็นกระบวนการออกเสียงลงคะแนนของประชาชน เพื่อแสดงความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบต่อมาตรการที่รัฐบาลเสนอ หรือต่อสิ่งที่เกิดจากความริเริ่มของประชาชนเอง โดยถือเป็นการใช้อำนาจประชาธิปไตยทางตรงของประชาชน เพื่อเสริมกับประชาธิปไตยผ่านตัวแทน ซึ่งประชาชนบางส่วนมองว่าผู้นำและผู้แทนราษฎรไม่เชื่อมโยงกับพวกเขา
การออกเสียงประชามติในรัฐสมัยใหม่ เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1798 และกลายเป็นแม่แบบให้ประเทศประชาธิปไตย ทั้งนี้ชาวสวิสมักได้รับเชิญให้ลงคะแนนเสียงในประเด็นต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ มีทั้งประชามติระดับชาติและระดับรัฐ
การออกเสียงประชามติในโลกนี้ มีทั้งประเทศที่กำหนดให้ประชามติมีผลผูกพันบังคับ (binding referendum) และประเทศที่ใช้ประชามติในเชิงหารือ (consultative referendum)
ที่มา BBC.co.uk