
ศาลแพ่งยกฟ้อง พล.อ.ท. ธนพันธุ์ กก.กสทช. หลังถูก ‘นพ.สรณ’ ปธ.กสทช. เรียก 5 ล้านเหตุคดีนำข้อความในที่ประชุมคัดเลือกเลขาฯ กสทช.ส่งให้ ‘สุรางคณา’ จนทำให้เชื่อได้ว่าคัดเลือกไม่เป็นธรรม เผยเหตุยกฟ้องเพราะจำเลยไม่ได้บิดเบือนข้อเท็จจริง-เป็นแค่ความเห็น
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่าเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษกยกฟ้องในคดีที่ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกเงิน 5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย พลอากาศโท ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช.โดยพฤติการณ์ที่นำไปสู่การฟ้องสรุปตามคำพิพากษาว่า เมื่อประมาณกลางเดือนมีนาคม 2566 ถึงกลางเดือน
ตุลาคม 2566 เป็นเวลาต่อเนื่องกันจนถึงขณะยื่นฟ้องคดีนี้ จําเลยทําละเมิดโดยกล่าว หรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือ เกียรติคุณของโจทก์ กล่าวคือ จําเลยเผยแพร่บันทึกข้อความด่วนที่สุดที่ สทช 1002/70 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2566 เรื่องการแก้ไขข้อความและขอนําส่งความเห็นเพิ่มเติมร่าง รายงานการประชุม กสทช. นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2566 ซึ่งมีข้อความอันฝ่าฝืนต่อความ จริงให้แก่บุคคลที่สามคือนางสุรางคณา วายุภาพ อดีตผู้รับสมัครเข้ารับการสรรหา กสทช.จนเป็นเหตุให้นางสุรางคณาหลงเชื่อว่า
ข้อความดังกล่าวเป็นความจริงและนําข้อมูลหรือข้อความในเอกสารดังกล่าวไปเป็น มูลเหตุให้ นางสุรางคณายื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดําที่ 1921/2560
โดยข้อความนั้นระบุว่า
มูลเหตุแห่งการยื่นฟ้องโจทก์ (นางสุรางคณา) ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดําที่ 1921/2560 โดยในบันทึกข้อความการประชุม กสทช. หน้าที่ 3 ย่อหน้าที่ 1 บรรทัดที่ 4 มีข้อความว่า “การ กระทําของประธาน กสทช. ที่กําหนดให้มีการพิจารณาระเบียบวาระที่ 5.1 เป็นการ ดําเนินการที่ไม่เป็นไปตามมติที่ประชุมและไม่เป็นไปตามระเบียบ ๆ โดยได้อาศัยเสียงข้างมากจากการออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเพื่อเป็นเสียงชี้ขาดและทําการพิจารณาต่อโดยเลขาธิการ กสทช. ด้วยตนเองนั้น ย่อมเป็นการดําเนินการที่ขัดต่อหลักการของกฎหมาย ดังนี้
1) ขัดต่อหลักความเป็นกลาง “หากประธานคัดเลือกบุคคลที่จะมาดํารงตําแหน่ง เลขาธิการ กสทช. ด้วยตนเองเพื่อเสนอต่อ กสทช. ให้ความเห็นชอบ และในชั้นการออก คําสั่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ประธาน กสทช. ก็เป็นผู้ลงนามในคําสั่งนั้น ย่อมมีปัญหา เกี่ยวกับหลักความเป็นกลางของประธาน กสทช. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งทางปกครอง ได้…”
2) ขัดต่อหลักความเสมอภาค หลักนี้คือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนี่เอง “หลักการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ไม่มีกระบวนการที่ถูกต้องโปร่งใส ก็ย่อมทําให้ บุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน ไม่สามารถสมัครเป็นเลขาธิการ กสทช. ได้ จึงเป็นการ กระทําที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม…”
3) ก่อให้เกิดการใช้ดุลพินิจตามอําเภอใจ “…การที่ไม่มีกรอบการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ที่ชัดเจนและให้เป็นอํานาจของประธาน กสทช. คนเดียว จึงส่งผลให้เกิดการใช้ดุลพินิจ ตามอําเภอใจได้”
4) ก่อให้เกิดกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. ที่ไม่โปร่งใสและไม่ เป็นไปตามมาตรฐานการสรรหาหัวหน้าหน่วยงานในลักษณะเดียวกัน “การที่ให้ ประธาน กสทช. เลือกบุคคลเพื่อเสนอ กสทช. ให้ความเห็นชอบย่อมไม่โปร่งใส และ ไม่สามารถตรวจสอบการใช้ดุลพินิจได้…”
ข้อความดังกล่าว ทําให้นางสุรางคณาและบุคคลที่สามหรือประชาชนโดยทั่วไปหลงเชื่อได้ว่าโจทก์ (นพ.สรณ)ในฐานะประธาน กสทช.ดําเนินการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช.โดยไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อระเบียบ มติของที่ประชุม กระทําไป โดยไม่มีอํานาจและเป็นการใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทํา
ตามอําเภอใจ ไม่ยึดกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ มีเจตนาซ่อนเร้น ไม่โปร่งใส และขัดต่อ หลักธรรมาภิบาล มีเจตนาทุจริต แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยมี การคัดเลือกบุคคลที่จะมาดํารงตําแหน่งเลขาธิการด้วยตนเองตามอําเภอใจ และโจทก์ เป็นผู้ลงนามคําสั่งเพื่อเลือกเลขาธิการ กสทช. ด้วยตนเอง โดยมีเจตนาทําให้เห็นว่าโจทก์
กระทําการขัดต่อหลักการของความเป็นกลางเพื่อหวังประโยชน์ส่วนตัว หรือมีความอคติไม่เป็นกลางในการทําหน้าที่ประธาน กสทช.
โจทก์เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นแพทย์สาขาวิชา โรคหัวใจ จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงขอให้ศาลแพ่งบังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ
ศาลพิพากษา สรุปถ้อยคำในตอนท้ายว่ามิได้ปรากฏว่าจําเลยมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งการแสดงความคิดเห็นของจําเลยให้ฝ่าฝืนต่อความจริงแต่อย่างใด ความเห็นดังกล่าวจึงเป็นเพียงข้อวินิจฉัยหรือความเชื่อที่จําเลยแสดงออกตามที่เห็น รู้ หรือคิด ไม่อาจเป็นจริงหรือ เป็นเท็จได้ เมื่อข้อความดังกล่าวไม่ใช่ข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ประกอบกับจําเลย แสดงความคิดเห็นไปตามอํานาจหน้าที่ของตนในฐานะกรรมการ กสทช. ซึ่งมีสิทธิที่จะ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในเรื่องหนึ่งเรื่องใด รวมทั้งมีสิทธิที่จะทักท้วง โต้แย้งคัดค้าน ตั้งข้อสังเกต ให้คําแนะนําหรือข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าว ในรายงานการประชุม หรือ แนบท้ายรายงานการประชุม เพื่อใช้อ้างอิงในภายหลังได้
ถึงแม้ว่าต่อมาจําเลยส่งบันทึก ข้อความดังกล่าวให้แก่นางสุรางคณา ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ก็เป็นเพียงการแจ้งให้นางสุรางคณาทราบว่าจําเลยไม่เห็นด้วยกับการกระทําของโจทก์เกี่ยวกับกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. และจําเลยเคยแสดงความเห็นโต้แย้งคัดค้านไว้ในบันทึก ข้อความดังกล่าวแล้วเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงต่อนางสุรางคณาว่าข้อเท็จจริงตามที่ระบุในบันทึกข้อความดังกล่าวเป็นความจริงแต่อย่างใด การกระทําของ จําเลยจึงไม่เป็นการทําละเมิดต่อโจทก์ ข้อต่อสู้ของจําเลยในส่วนนี้ฟังขึ้น กรณีจึง
ไม่จําต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นนอกเหนือจากนี้เพราะไม่ทําให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ/
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )