
เปิดกลวิธีที่จีนกว้านซื้อบริษัทเทคโนโลยีระดับสูง – บริษัทประกันภัยของสายลับอเมริกัน

ที่มาของภาพ : Getty Photography
- Author, ซีเลีย แฮตตัน
- Feature,
นับตั้งแต่ปี 2018 รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามแก้ไขกฎหมายหลายฉบับของตนให้เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูคู่แข่งเข้าซื้อกิจการในภาคเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวสูง โดยขัดขวางไม่ให้มีการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมหลายรูปแบบ ตั้งแต่การผลิตสารกึ่งตัวนำไฟฟ้า (เซมิคอนดักเตอร์) ไปจนถึงการสื่อสารโทรคมนาคมต่าง ๆ
สาเหตุที่ทางการสหรัฐฯ ออกนโยบายคุมเข้มการลงทุนในประเทศ เป็นเพราะก่อนหน้านั้นในปี 2016 เจฟฟ์ สไตน์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันผู้เจนจัดมากประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกิจการข่าวกรองของประเทศ บังเอิญไปได้ข่าววงในมาว่า บริษัทประกันภัยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการขายประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (liability insurance) ให้กับสายลับในสังกัดของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) และสำนักข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) บัดนี้ถูกขายกิจการให้กับนักลงทุนจีนไปแล้ว
“คนวงในที่รู้เรื่องนี้โดยตรงโทรศัพท์มาบอกกับผมว่า คุณรู้ไหม…บริษัทประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเรา ตอนนี้มีเจ้าของเป็นชาวจีนแล้ว” เจฟฟ์ สไตน์ ย้อนเล่าถึงเรื่องราวในอดีต “ผมนี่ถึงกับอึ้งไปเลย”
ย้อนกลับไปในปี 2015 บริษัทฟู่ซิงกรุ๊ป (Fosun Crew) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนสัญชาติจีนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำจีนหลายคน ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัทประกันภัยไรต์ยูเอสเอ (Wright USA) ซึ่งมีสายลับอเมริกันจำนวนมากเป็นลูกค้าผู้เอาประกันอยู่ ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เกิดความวิตกกังวลว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของสายลับเอฟบีไอและซีเอไอ อาจรั่วไหลไปอยู่ในมือของรัฐบาลจีนได้ ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทแม่ของไรต์ยูเอสเอ ซึ่งก็คือบริษัทประกันภัยไอเอิร์นชอร์ (Ironshore) ก็ยังถูกจีนเข้าซื้อกิจการไปด้วยเช่นกัน
นอกจากกรณีของบริษัทประกันภัยไรต์ยูเอสเอแล้ว บีบีซียังมีโอกาสได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารใหม่ล่าสุดก่อนผู้อื่น ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า เงินลงทุนจากรัฐบาลจีนได้เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวยมากขึ้น โดยจีนเข้ากว้านซื้อสินทรัพย์ในประเทศอย่างสหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, ตะวันออกกลาง, และอีกหลายประเทศในยุโรป

ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา จีนได้กลายเป็นผู้ลงทุนในต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของโลก จนทำให้จีนมีศักยภาพในการเข้าครอบครองภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนไหว รวมทั้งธุรกิจที่เป็นความลับระดับชาติ และเทคโนโลยีสำคัญต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจีนถือว่าข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศของตนเป็นความลับสุดยอด
เจฟฟ์ สไตน์ ยังเล่าถึงกรณีการขายบริษัทไรต์ยูเอสเอให้กับจีนว่า “การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ทำอย่างเปิดเผย และไม่มีการทำสิ่งใดที่ผิดกฎหมายเลย แต่เพราะทุกสิ่งในจีนมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องแบบพัวพันกันอย่างมาก การขายกิจการให้จีน ก็เท่ากับหยิบยื่นความลับให้กับหน่วยข่าวกรองจีนนั่นเอง”
ข้อมูลใหม่ที่บีบีซีได้เห็นเปิดเผยว่า รัฐบาลจีนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการเข้าซื้อบริษัทไรต์ยูเอสเอ เนื่องจากธนาคารของรัฐ 4 แห่ง เป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับฟู่ซิงกรุ๊ปด้วยเงินจำนวน 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยใช้เส้นทางการโอนเงินผ่านหมู่เกาะเคย์แมน
รายงานข่าวของสไตน์ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารนิวส์วีก (Newsweek) ส่งผลให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตอบสนองอย่างรวดเร็วทันควัน เริ่มจากคณะกรรมการว่าด้วยการลงทุนของต่างชาติในสหรัฐฯ (CIFIUS) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบการลงทุน ได้จัดให้มีการไต่สวนกรณีดังกล่าวขึ้น ผลก็คือไม่นานหลังจากนั้น บริษัทประกันภัยไรต์ยูเอสเอถูกขายเปลี่ยนมือ ให้กลับมาอยู่ในการครอบครองของคนอเมริกันอีกครั้ง
ไม่มีรายงานข่าวอย่างชัดเจนว่า ใครคือผู้ออกคำสั่งให้จีนขายบริษัทดังกล่าวคืนแก่สหรัฐฯ ส่วนบริษัทฟู่ซิงกรุ๊ป และบริษัทสตาร์ไรต์ยูเอสเอ (Starr Wright USA) เจ้าของคนใหม่ของไรต์ยูเอสเอ ไม่ตอบรับคำขอสัมภาษณ์ของบีบีซี และไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ ต่อเรื่องนี้
แหล่งข่าวกรองระดับสูงของสหรัฐฯ ยืนยันว่า กรณีของไรต์ยูเอสเอ เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยแรก ลงมือแก้ไขกฎหมายการลงทุนให้เข้มงวดขึ้นเมื่อปี 2018
ในตอนนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจแจ่มแจ้งว่า การใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศ โดยมีรัฐบาลจีนเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่านั้น โดยจีนมุ่งหมายจะเข้าซื้อและครอบครองสินทรัพย์ในทุกทวีปทั่วโลก
“ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเงินลงทุนของจีนทั้งหมด ดูเหมือนจะไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้น สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้เราประหลาดใจมากเมื่อได้ทราบว่า ที่จริงแล้วมีเงินลงทุนจากจีนหลายแสนล้านดอลลาร์ ไหลเข้าสู่ประเทศอย่างสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, และเยอรมนี มันเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบโดยที่เราไม่ได้ล่วงรู้มาก่อนเลย” แบรด พาร์กส์ ผู้อำนวยการบริหารของ AidData กล่าว
AidData คือหน่วยปฏิบัติการวิจัยที่ตั้งอยู่ในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการติดตามตรวจสอบข้อมูล ว่ารัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ใช้จ่ายเงินของตนนอกประเทศอย่างไร หน่วยปฏิบัติการวิจัยนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยวิลเลียมแอนด์แมรี หนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยได้รับเงินสนับสนุนการดำเนินงาน จากรัฐบาลของนานาประเทศและจากองค์กรการกุศลทั่วโลก ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา หัวข้อการวิจัยที่ AidData เน้นให้ความสำคัญมากที่สุด ก็คือการลงทุนของจีนในต่างประเทศ
ทีมนักวิจัย 120 คน ใช้เวลา 4 ปี ในการติดตามตรวจสอบเงินลงทุนที่รัฐบาลจีนอุดหนุนทั้งหมด ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งฐานข้อมูลข้างต้นจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ทางออนไลน์ในไม่ช้า แต่บีบีซีได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้เข้าถึงฐานข้อมูลนี้ได้ล่วงหน้าก่อนใคร
การค้นพบสำคัญของหน่วยวิจัย AidData รวมไปถึงเรื่องที่ว่า จีนได้ทุ่มเงินไปแล้วถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เพื่อลงทุนในต่างประเทศ โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนใกล้เคียงกัน ระหว่างกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

ที่มาของภาพ : Getty Photography
“จีนมีระบบการเงินที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน” วิกเตอร์ ฉือ ผู้อำนวยการศูนย์ “จีนในศตวรรษที่ 21” แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียวิทยาเขตซานดิเอโก (UCSD) กล่าว เขายังบอกว่าจีนมีระบบการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งใหญ่กว่าของสหรัฐฯ, ยุโรป, และญี่ปุ่นรวมกัน
การมีระบบธนาคารที่ใหญ่โต ผนวกกับอำนาจการควบคุมของรัฐบาลจีนที่อยู่เหนือบรรดาธนาคารของรัฐ ทำให้จีนมีความสามารถพิเศษในการลงทุนในต่างประเทศ “รัฐบาลจีนควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และยังออกคำสั่งได้ว่าจะปล่อยกู้ให้กับใคร การที่รัฐบาลจีนจะทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีการควบคุมเงินทุนอย่างเข้มงวด ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่นแล้ว ก็ไม่อาจจะทำแบบนี้ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว”
การลงทุนบางส่วนในประเทศwัฒนาแล้วที่มั่งคั่งร่ำรวย ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไรก้อนโต ส่วนการลงทุนในต่างประเทศที่เหลือ ก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ ที่จีนได้วางไว้ตั้งแต่ช่วงสิบปีก่อนหน้านี้ ตามแผนการความริเริ่มหลักของรัฐบาลที่เรียกว่า “เมดอินไชนา 2025” (Made in China 2025)
รายละเอียดของแผนดังกล่าวระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จีนตั้งเป้าจะขึ้นเป็นเจ้าแห่งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัย 10 ประเภท ตัวอย่างเช่นการพัฒนาหุ่นยนต์, ยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์, และเซมิคอนดักเตอร์ โดยจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ภายในปีนี้ ดังนั้นจีนจึงเน้นลงทุนด้วยเงินก้อนโตในประเทศwัฒนาแล้ว เพื่อนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีสำคัญของโลกตะวันตกกลับมายังจีน
ด้วยเหตุที่แผนการข้างต้นอาจสร้างความตื่นตระหนกให้กับมหาอำนาจทั่วโลก จีนจึงไม่เปิดเผยแผนการดังกล่าวต่อสาธารณชน ทว่าวิกเตอร์ ฉือ กลับบอกว่าแท้จริงแล้ว จีนได้ลอบดำเนินแผนการดังกล่าวอย่างแข็งขัน ในฐานะ “ยุทธศาสตร์นำร่อง”
“มีแผนการหลายอย่างที่เปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชน รวมถึงแผนการเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ และแผนโรงงานอัจฉริยะ อย่างไรก็ตาม แผนการใหญ่ที่กำกับแนวทางของแผนทั้งหมด คือแผนห้าปีฉบับที่ 15” วิกเตอร์ ฉือ กล่าว
ในการประชุมครั้งสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำจีนได้ตั้งเป้าหมายให้มีการเร่งพัฒนา “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองและปรับปรุงพัฒนาตนเองได้” โดยจะมีการดำเนินนโยบายนี้ไปจนถึงปี 2030
ฐานข้อมูลใหม่ของ AidData ยังชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในต่างประเทศของจีนที่รัฐเป็นผู้สนับสนุน ได้เข้าซื้อกิจการต่าง ๆ ใน 10 ภาคอุตสาหกรรม ตรงตามที่ได้กำหนดเป็นเป้าหมายไว้ในแผนของปี 2015 ก่อนหน้านี้บีบีซียังเคยรายงานข่าวว่า รัฐบาลจีนสนับสนุนเงินก้อนโต ในการเข้าซื้อบริษัทเซมิคอนดักเตอร์แห่งหนึ่งของสหราชอาณาจักรอีกด้วย
ทั้งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร รวมทั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ต่างก็เร่งปรับปรุงกลไกตรวจสอบคัดกรองการลงทุนจากต่างชาติโดยด่วน หลังเกิดความกังวลเกรงว่าประเทศของตน จะเดินซ้ำรอยกรณีที่จีนเข้าซื้อกิจการที่มีความอ่อนไหวสูง อย่างบริษัทประกันภัยไรต์ยูเอสเอ
ผู้อำนวยการบริหารของ AidData บอกว่า ในตอนแรกบรรดาประเทศร่ำรวยต่างก็ไม่ได้เฉลียวใจว่า การลงทุนของจีนในดินแดนของตน ที่แท้คือส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่านั้นมาก “ในช่วงแรกชาติพัฒนาแล้วต่างก็คิดว่า เงินที่ไหลเข้ามาเป็นการลงทุนส่วนบุคคลของบริษัทเอกชนจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลของประเทศร่ำรวยก็เริ่มตระหนักว่า แท้จริงแล้วรัฐบาลจีนที่ควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง เพื่อเขียนเช็คให้นักลงทุนจีนเข้าซื้อกิจการ”
แต่ถึงกระนั้น การลงทุนและเข้าซื้อกิจการในต่างแดนของจีนส่วนใหญ่ ล้วนดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีเพียงบางครั้งที่ดูน่าเคลือบแคลง เพราะใช้บริษัทปลอมที่มีแต่เปลือกบังหน้า (shell company) เข้ามาทำการซื้อขายดังกล่าว หรือมีการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารในดินแดนโพ้นทะเล (offshore fable) ซึ่งมักจะเป็นสวรรค์ของการฟอกเงิน
สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงลอนดอน ชี้แจงต่อบีบีซีถึงประเด็นดังกล่าวว่า “รัฐบาลจีนกำหนดให้บริษัทจีนที่ดำเนินกิจการในต่างประเทศ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด และต้องให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ กับการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน”
“บริษัทจีนไม่เพียงแต่ผลิตสินค้าคุณภาพ และให้บริการที่ดีแก่ผู้คนทั่วโลก แต่ยังทำประโยชน์อย่างแข็งขันให้แก่การเติบโตของเศรษฐกิจในท้องถิ่น, การพัฒนาทางสังคม, และการสร้างงาน”
ฐานข้อมูลของ AidData ยังเผยว่า แบบแผนการลงทุนในต่างประเทศของจีนกำลังเปลี่ยนไป โดยเงินของรัฐบาลจีนเริ่มหลั่งไหลไปสู่ประเทศมั่งคั่งที่ยินดีต้อนรับทุนจีนมากขึ้น อย่างเช่นที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเปิดกว้างต่อการค้าเสรีมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ได้เกิดกรณีที่ชาวดัตช์ต้องมาโต้เถียงกันในวงกว้าง หลังจีนเข้าครอบครองกิจการของ Nexperia บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของเนเธอร์แลนด์ โดยข้อมูลของ AidData ระบุว่า ในปี 2017 ธนาคารรัฐของจีนหลายแห่ง ได้ปล่อยกู้ให้กับบริษัทร่วมทุนของจีนแห่งหนึ่ง เป็นจำนวนเงินถึง 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยเหลือให้สามารถเข้าซื้อกิจการของ Nexperia ได้โดยสะดวก แต่ในสองปีต่อมา บริษัทร่วมทุนของจีนดังกล่าวก็ได้โอนกิจการของ Nexperia ให้กับเจ้าของใหม่ ซึ่งก็คือบริษัท Wingtech ของจีนนั่นเอง
การกระทำดังกล่าว ส่งผลให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เล็งเห็นคุณค่าเชิงยุทธศาสตร์ของ Nexperia ในทันที จนในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าควบคุมการดำเนินงานของบริษัทสัญชาติดัตช์ที่มีชาวจีนเป็นเจ้าของ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ชี้แจงว่า มีความกังวลว่าเทคโนโลยีของ Nexperia เสี่ยงที่จะถูกถ่ายทอดไปให้กับกิจการส่วนอื่น ๆ ของ Wingtech ในจีน
ท้ายที่สุดกิจการของ Nexperia จึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยแยกการดำเนินงานในดินแดนของเนเธอร์แลนด์ ออกจากการผลิตในโรงงานจีนอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทาง Nexperia ยืนยันกับบีบีซีว่า ธุรกิจในจีนของตนได้หยุดการดำเนินงานภายใต้กรอบการกำกับดูแลของ Nexperia แล้ว แต่ก็ยินดีหากฝ่ายจีนจะยังคงยึดมั่นกับพันธกิจ ในการส่งออกชิปประมวลผลคอมพิวเตอร์ของบริษัทสู่ตลาดโลกต่อไป
เซี่ยวเฉวีย มาร์ติน นักวิจัยจากสถาบัน Clingendael ในกรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ บอกว่าชาวดัตช์จำนวนมากต่างรู้สึกประหลาดใจ ต่อวิธีเด็ดขาดรุนแรงที่รัฐบาลเลือกมาจัดการกับกรณีของ Nexperia เพราะที่ผ่านมาในอดีตเนเธอร์แลนด์ระมัดระวังเป็นอย่างมากเสมอ ในเรื่องการจัดการความสัมพันธ์กับจีน
“เราเป็นประเทศที่ทำได้ดีมาโดยตลอด ในเรื่องของการค้าเสรีที่เปิดกว้าง ซึ่งเป็นจุดเด่นในนโยบายของรัฐที่มุ่งเน้นการค้าเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ไม่นานมานี้เรากลับพบว่า ภูมิรัฐศาสตร์ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เราจำเป็นต้องออกมาตรการควบคุมในเชิงอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เช่นต้องตรวจสอบคัดกรองการลงทุน ทั้งที่ในอดีตเราไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้มากนัก” เซี่ยวเฉวีย มาร์ติน กล่าวอธิบาย
“แต่มันก็ค่อนข้างอันตราย หากเราจะเหมารวมว่าการลงทุนจากจีนนั้นเป็นแบบเดียวกันหมด หรือล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกันในการครองโลก โดยมุ่งจะเข้าซื้ออเมริกา ซื้อยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป”
“สำหรับบริษัทจีนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเอกชน พวกเขาก็แค่อยากจะทำเงินเท่านั้น เขาต้องการให้เราปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับบริษัทธรรมดาทั่วไป และไม่ต้องการจะถูกมองในแง่ลบ เหมือนกับที่กำลังเจออยู่ในยุโรปตอนนี้”
ด้านแบรด พาร์กส์ แสดงความเห็นว่า แม้จีนจะได้เข้าซื้อกิจการสำคัญจำนวนมากในต่างประเทศไปแล้ว แต่การแข่งขันเพื่อเป็นมหาอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีของโลก ยังคงไม่สิ้นสุดลงง่าย ๆ เพราะยังมีบริษัทจีนอีกจำนวนมาก ที่แข่งขันกันเองเพื่อแย่งกันกว้านซื้อกิจการของต่างชาติ ซ้ำร้ายในตอนนี้ พวกเขายังต้องเจอมาตรการตรวจสอบคัดกรองการลงทุนที่เข้มงวดขึ้นมากด้วย
“ที่ผ่านมาจีนได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว โดยไม่ยอมเป็นผู้ตามของใครอีกต่อไป ทว่าได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ เป็นผู้กำหนดจังหวะย่างก้าวให้คนอื่นเดินตาม แต่ถึงกระนั้น มีแนวโน้มที่เป็นไปได้ว่า หลายประเทศในกลุ่มจีเจ็ด (G7) กำลังจะเริ่มเคลื่อนไหวตอบโต้เช่นกัน โดยจะก้าวไปข้างหน้า และเปลี่ยนท่าทีจากตั้งรับเป็นรุกรบแทน”













