
18 วันหลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา ถึงวงประชุม JBC เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ที่มาของภาพ : MFA
การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee – JBC) ไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นวันนี้ (14 มิ.ย.) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
นี่ถือเป็นการประชุม JBC เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และยังจัดขึ้นภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา เมื่อ 28 มี.ค. บริเวณชายแดนช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นที่อ้างสิทธิของทั้ง 2 ประเทศ ยังตกลงแบ่งเขตกันไม่ได้
ก่อนวงประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) จะเริ่มต้น ประธาน กมธ. ของ 2 ฝ่ายคือ นายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดน หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการชายแดนแห่งกัมพูชา กับนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดน ได้หารือกันนอกรอบ ก่อนร่วมประชุมเต็มคณะ
เวลา 14.00 น. กระทรวงการต่างประเทศไทยรายงานว่า ทั้ง 2 ฝ่ายกล่าวถ้อยแถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไก JBC ในการเจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกันและการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 43) เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชายแดนและลดความตึงเครียดที่มีอยู่
แม้ทางการไทยยืนยันต้องการใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของ 2 ประเทศ ลดความตึงเครียดจากการเผชิญหน้า และทำให้เกิดความชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดน แต่ดูเหมือนทางการกัมพูชาจะ “มองข้ามช็อต” ไปแล้ว และเดินเกมการทูตนำหน้าไทยอยู่หนึ่งก้าวในหลายจังหวะ ตามความเห็นของนักวิชาการด้านความมั่นคงและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดหมายประชุม JBC พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศจุดยืนของกัมพูชาว่ามี 2 ประเด็นที่จะ “ไม่ถูกหยิบยกมาหารือ” ในวงประชุม JBC ประเด็นแรกคือ เขตแดนใน 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ (หรือสามเหลี่ยมมรกตบริเวณช่องบก) เนื่องจากกัมพูชาตัดสินใจว่าจะนำเข้าสู่กระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Global Court docket of Justice – ICJ) โดยมีกำหนดยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการ 15 มิ.ย.
“หากฝ่ายไทยไม่ยอมรับหรือไม่ให้คำตอบรับ กัมพูชาจะยื่นคำร้องต่อ ICJ ฝ่ายเดียว” พล.อ.ฮุน มาเนต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Hun Manet” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.7 ล้านคน เมื่อคืน 13 มิ.ย.
ส่วนอีกประเด็นคือ การเปิด-ปิดจุดผ่านตามแนวชายแดนจะไม่ถูกหยิบยกในการประชุม JBC เช่นกัน เพราะไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) นี้ และยังกล่าวโทษว่าฝ่ายไทยเริ่มใช้มาตรการปิดด่านฝ่ายเดียวตั้งแต่ 7 มิ.ย.
“ขอยืนยันว่ากัมพูชาไม่ใช่ผู้เริ่มต้นปัญหานี้ ดังนั้นก็ไม่ควรเป็นฝ่ายต้องยุติปัญหานี้ก่อน เรื่องที่เริ่มโดยฝ่ายเดียว ต้องจบโดยฝ่ายเดียว ไม่จำเป็นต้องมีการเจรจา ใครเริ่มก่อน คนนั้นก็ต้องเป็นฝ่ายจบก่อน นั่นคือข้อสรุป” นายกฯ กัมพูชาระบุ

ที่มาของภาพ : MFA
สำหรับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) จัดตั้งขึ้นตาม MOU 43 ที่ 2 ประเทศลงนามร่วมกันเมื่อ 14 มิ.ย. 2543 มีภารกิจสำคัญคือการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างกันให้ชัดเจน โดยใช้กลไกนี้เป็นหลักในการเจรจาประเด็นทางเทคนิคและข้อกฎหมายเขตแดน
MOU 43 ข้อ 5 กำหนดห้าม 2 ประเทศ “ไม่ให้ดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน”
แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU 43 หลายครั้ง ทั้งขยายชุมชน สร้างกาสิโน ปลูกพืชไร่ประชิดชายแดนที่เป็นการทำลายสันปันน้ำ ทำให้ไทยประท้วงไปกว่า 400 ครั้ง ตามการเปิดเผยของรองแม่ทัพภาคที่ 2
18 วันหลังเหตุปะทะชายแดน ไทย-กัมพูชาทำอะไรบ้าง
นับจากเสียงปืนดังที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มาถึงวันประชุม JBC เกิดอะไรขึ้นบ้าง .สรุปความเคลื่อนไหวสำคัญในรอบ 18 วันที่ผ่านมา
28 พ.ค. เกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ในเวลา 05.30 น. กองทัพบกรายงานว่า มีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ตอนแรก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บอกว่า เหตุปะทะที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง “บังเอิญ” โดยทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะสู้รบกัน แต่ช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักงานข่าวขแมร์ ไทม์ส (Khmer Instances) ของกัมพูชารายงานแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ยืนยันว่ามีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นายจากเหตุปะทะ พร้อมระบุว่า กองทัพไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิvก่อนในสนามเพลาะ
ด้านสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และประธานองคมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์เฟซบุ๊กประณาม “บุคคล องค์กร หรือกลุ่มใด ๆ ที่ตัดสินใจก่อเหตุรุกรานเช่นนี้ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์รุกรานปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2551-2554”
29 พ.ค. มีการประชุมระหว่าง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กับ พล.อ.เมา โซะพัน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) และ ผบ.ทบ.กัมพูชา ที่ช่องจอม-โอเสม็ด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องกันใน 3 ประเด็น ได้แก่
- ให้ทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการแก้ไขปัญหาเป็นครั้งนี้ผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์
- ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสม หรือ 200 เมตรจากจุดปะทะ ลดการเผชิญหน้า
- ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้ใช้ความอดทนอดกลั้นล่าสุด
ทว่าเย็นวันเดียวกัน กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับผลการหารือ แต่มีเนื้อหา 4 ข้อ ได้แก่
- ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ผ่านกลไกที่มีอยู่ทั้งหมด ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาปี 2543 (MOU 2543)
- ทั้ง 2 ฝ่ายจะควบคุมสถานการณ์ตามสภาพเดิม อดทนอดกลั้น และแก้ไขปัญหาทั้งหมดผ่านกลไก JBC ซึ่งจะมีการประชุมภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
- ฝ่ายกัมพูชาขอให้มีการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน และไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่น 28 พ.ค. อีก
- ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอนกำลัง หรือวางกำลังโดยไม่ติดอาวุธ ณ จุดที่เกิดการปะทะ เพราะบริเวณดังกล่าวฝ่ายกัมพูชา “ยึดครอง” มาตั้งแต่ก่อนมีการลงนามใน MOU 2543

ที่มาของภาพ : Thai Royal Military
30 พ.ค. กองทัพบกออกแถลงการณ์ชี้แจงผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ. 2 ประเทศ มีเนื้อหา 4 ข้อ ได้แก่
- ผบ.ทบ. ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ
- กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก ทบ.ไทย และกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไก JBC
- ผู้บังคับบัญชาทั้ง 2 ฝ่ายระบุว่าจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด
- การพบปะเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี สามารถบรรลุข้อตกลงในการถอนกำลังออกจากจุดที่ปะทะและคงกำลังอยู่ในที่ตั้งเดิม รอผลการประชุม JBC
1 มิ.ย. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุว่า ไทย-กัมพูชาเตรียมจัดประชุม JBC เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และหาข้อสรุปโดยสันติวิธี
ขณะที่ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า จะนำกรณีพิพาทในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย, และพื้นที่มุมไบ ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก
2 มิ.ย. สภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาของกัมพูชาลงมติเอกฉันท์ 182 เสียง สนับสนุนให้นำข้อพิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทย เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก ตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
สื่อกัมพูชา 2 สำนัก ได้แก่ ขแมร์ ไทม์ส และพนมเปญ โพสต์ รายงานตรงกันถึงการสนับสนุนของบิดานายกฯ กัมพูชา
“หากเราไม่ให้ศาลตัดสิน ประเด็นนี้จะเป็นเหมือนกับเรื่องกาซาระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล แก้ไขไม่ได้ จะมีการสู้กันร่ำไป ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ทำไมถึงกลัวไปขึ้นศาลหากเรามีความจริงใจ” พนมเปญ โพสต์ รายงานคำพูดของสมเด็จฮุน เซน ในที่ประชุมร่วม 2 สภา
4 มิ.ย. รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่าจะนำข้อพิพาทพื้นที่ 4 แห่งเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ควบคู่ไปกับการประชุม JBC ซึ่งจะเกิดขึ้นวันที่ 14 มิ.ย. ที่กรุงพนมเปญ แต่กัมพูชาจะไม่นำ 4 พื้นที่นี้เข้าหารือในการประชุมดังกล่าว และหวังว่าไทยจะร่วมมือผ่านกลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ต่อมาไทยโต้แย้งแถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา ยืนยันพื้นที่ 4 แห่งอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ดังนั้นการที่กัมพูชาจะยื่นเรื่องให้ศาลโลกพิจารณาพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง จึงนับว่าเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง
วันเดียวกันนี้ยังเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เนื้อหาเป็นการยืนยันเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อประเทศไทยและประชาคมอาเซียน

ที่มาของภาพ : ROYAL THAI GOVERNMENT
5 มิ.ย. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กัมพูชา หารือกันที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยมีการหารือ 2 ประเด็นคือ 1. กรณีกัมพูชาจะหยิบยกประเด็นอธิปไตยให้ศาลโลกพิจารณา ฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี 2503 อยากให้ผ่านการพิจารณาที่ประชุม JBC และ 2. ขอให้มีการปรับกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า โดยไทยเสนอคือให้ถอยออกไปเหมือนกับปีก่อนที่เคยตกลงกันไว้ ถอยออกไปบริเวณศาลาตรีมุข เป็นจุดที่ถอยออกไปประมาณ 150-200 เมตร
6 มิ.ย. ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เข้าร่วมด้วย โดยเห็นชอบ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. จำกัดการเข้าออก โดยยกเว้นกรณีการข้ามไปศึกษา การค้าขายแรงงาน และประเด็นอื่น ๆ ด้านมนุษยธรรม ส่วนกลุ่มอื่นที่ไม่จำเป็น เช่น นักท่องเที่ยวหรือการพนันให้มีการจำกัดการเข้าออก 2. ปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดน แต่ยังทำการค้าขายได้ 3. หากจำเป็นต้องยกระดับ จะมีการปิดชายแดนบางจุด 4. ปิดชายแดนตลอดแนวตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี จ.บุรีรัมย์ จ.ศรีสะเกษ จ.สุรินทร์ จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี จ.ตราด
ต่อมาเพจกระทรวงกลาโหมกัมพูชาโพสต์ข้อความว่า กัมพูชาจะไม่ถอนกำลัง ตามที่กระทรวงกลาโหมไทยเสนอไป ทำให้ สมช. และรัฐบาลมองว่าไม่มีความคืบหน้า นายกฯ จึงสั่งการให้ยกระดับขั้นที่ 1 และ 2
7 มิ.ย. ผบ.ทบ. ลงนามในคำสั่งมอบอำนาจให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา (ผบ.กกล.บูรพา) และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี (ผบ.กกล.สุรนารี) ควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มมาตรการดังกล่าวตั้งแต่เวลา 19.00 น.

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
8 มิ.ย. ฝ่ายกัมพูชา โดย พล.ท.สรัย ดึก รอง ผบ.ทบ. และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 เชิญฝ่ายทหารไทยนำโดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กกล.สุรนารี ไปพูดคุย โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบการปรับการวางกำลังให้กลับไปสู่แนววางกำลังเดิมเมื่อปี 2567 พร้อมทั้งกลบคูติดต่อ (คูเลต) ที่ช่องบกกลับไปสู่สภาพเดิม สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการประชุม JBC และเห็นพ้องให้ใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเป็นช่องทางหารือการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่องในอนาคต
9 มิ.ย. สมเด็จฮุน เซน โพสต์เฟซบุ๊กว่า “การปรับกำลังทหาร ไม่ใช่การถอนทหารออกจากดินแดนของเรา แต่เป็นการปรับกำลังทหารในดินแดนของเรา” และยืนยันเดินหน้าการฟ้องคดีต่อศาลโลก
10 มิ.ย. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เปิดแถลงข่าวเล่าเบื้องหลังการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งล่าสุดสถานการณ์ดีขึ้น ส่วนมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ ของ สมช.
11 มิ.ย. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ เพื่อติดตามและประเมินภาพรวมของสถานการณ์ชายแดน และมอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดที่ติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายกฯ ตั้งข้อสงสัยเรื่องเวลาเปิด-ปิดด่านของ 2 ประเทศที่ไม่ตรงกัน และขอให้ฝ่ายความมั่นคงไปดูว่าจะเปิด-ปิดเวลาตรงกันได้หรือไม่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงว่า การเปิดปิดเวลาไม่ตรงกัน “อาจมีนัยบางอย่าง เหมือนมีลักษณะของการเมืองนิดหน่อย เพื่อชิงความได้เปรียบ” แต่หลังจากนี้ฝ่ายความมั่นคง ผู้ว่าฯ ในพื้นที่จะมีการหารือกัน ซึ่ง น.ส.แพทองธาร กล่าวย้ำว่า ถ้าเรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เปิด-ปิดตรงกัน จะได้ค้าขายได้เท่ากัน อันนี้จะดีกว่าขอให้ลองดู คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีปัญหา
12 มิ.ย. สำนักข่าวขแมร์ไทมส์รายงานว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส แสดงท่าที “พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดหาหลักฐานให้แก่ทั้งฝ่ายกัมพูชาและไทยหากจำเป็น” เพื่อสนับสนุนกระบวนการแก้ไขข้อพิพาทบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ

ที่มาของภาพ : Reuters
13 มิ.ย. 2 พ่อลูกตระกูลฮุนออกแถลงการณ์ร่วมกรณีสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า หากทางการไทยยังคงปฏิเสธจะเปิดด่านพรมแดน รัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินมาตรการ 6 ข้อ ได้แก่
- ระงับนำเข้าสินค้าไทยมาวางจำหน่ายในตลาดกัมพูชา กล่าวคือยุติการใช้สินค้าไทย และให้ประชาชนหันมาใช้สินค้ากัมพูชาหรือประเทศอื่น ๆ แทน
- รัฐบาลกัมพูชาเตรียมจะซื้อหรือหาตลาดทดแทนให้แก่ผู้ประกอบการกัมพูชาที่ส่งออกสินค้าไปไทย
- นำตัวผู้ป่วยที่หาทางไปรักษาพยาบาลในประเทศไทยกลับมารักษาในกัมพูชาหรือประเทศอื่น
- เตรียมการหาโอกาสด้านอาชีพให้แก่แรงงานกัมพูชาที่มีความสมัครใจจะกลับประเทศ กัมพูชากำลังขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และการก่อสร้าง แรงงานกัมพูชาอาจสมัครใจกลับมาก่อนที่จะถูกไทยเนรเทศ เพราะขณะนี้ในบางพื้นที่มีการดูถูกดูหมิ่นและเหยียดชาวกัมพูชา
- ทุกเหล่าทัพของกัมพูชาจะอยู่ในสถานะเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองและป้องกันเหตุคุกคาม
- จังหวัดใกล้พรมแดนต้องเตรียมแผนอพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัย และดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีอาหาร ยารักษาโรค และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ เพียงพอ
วันเดียวกันนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวสำคัญจาก 3 กระทรวงกัมพูชา 1. กระทรวงข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ในประเทศให้ระงับการถ่ายทอดละครหรือภาพยนตร์ไทยทั้งหมดตั้งแต่คืนวันที่ 12 มิ.ย. เป็นต้นไป 2. กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลปะของกัมพูชาที่ประกาศระงับการนำเข้าและการนำภาพยนตร์ไทยออกฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 3. กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่า ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในกัมพูชาได้ยุติการใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตจากประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ไทยสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านนายกฯ ไทยถูกผู้สื่อข่าวถามถึงมาตรการล่าสุดของกัมพูชา โดยเธอบอกว่า ตอนแรกกัมพูชาได้ยินว่าประเทศไทยจะตัดน้ำตัดไฟบริเวณชายแดน เป็นมาตรการที่ต้องผ่าน สมช. ก่อน เรายังไม่ได้ประกาศอย่างนั้นออกไป เป็นเพียงมาตรการเตรียมความพร้อม แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ อาจมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้น “ต้องฝากสื่อสารว่าเรื่องตัดน้ำตัดไฟ รัฐบาลยังไม่มีแถลงการณ์ออกไป”
ค่ำวันเดียวกัน พล.อ.ฮุน มาเนต โพสต์เฟซบุ๊กว่ามี 2 ประเด็นที่จะ “ไม่ถูกหยิบยกมาหารือ” ในวงประชุม JBC คือ เขตแดนใน 4 พื้นที่ เนื่องจากกัมพูชาตัดสินใจว่าจะนำเข้าสู่กระบวนการของ ICJ โดยมีกำหนดยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการ 15 มิ.ย. และการเปิด-ปิดจุดผ่านตามแนวชายแดน เพราะกัมพูชาไม่ใช่ผู้เริ่มต้นปัญหานี้ “ไม่จำเป็นต้องมีการเจรจา ใครเริ่มก่อน คนนั้นก็ต้องเป็นฝ่ายจบก่อน”
14 มิ.ย. ประชุม JBC ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ที่มาของภาพ : MFA
ที่มา BBC.co.uk