ความวุ่นวายและผลกระทบของภาษีทรัมป์ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Article Details

    • Author, โจนาธาน เฮด
    • Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซี

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีเมื่อ 2 เม.ย. ไม่มีภูมิภาคใดที่ตกตะลึงมากไปกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีมุมมองต่อโลกและโมเดลทางเศรษฐกิจที่ผูกอยู่กับการส่งออก

อัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 49% ในบางประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ผู้ส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยและเวียดนาม ไปจนถึงผู้ผลิตชิปในมาเลเซีย และโรงงานผลิตเสื้อผ้าในกัมพูชา

“ผมจำได้ว่าตื่นเช้ามา เห็นเขายืนอยู่บนสนามหญ้าทำเนียบขาวพร้อมกับคณะฝ่ายบริหาร ผมคิดว่า ‘ผมเห็นข้อมูลถูกไหม 36% เป็นไปได้ยังไง'” ริชาร์ด ฮัน บิดาผู้ก่อตั้งบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คทรอนิคส (HANA Microelectronics) หนึ่งในผู้ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รายใหญ่ที่สุดของไทย กล่าว

ประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษี 36% ขณะนี้ได้ข้อตกลงใหม่แล้ว เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ที่ภาษีถูกลดลงเหลือ 19%

การเจรจาดำเนินไปอย่างเข้มข้นและเสร็จสิ้นเพียง 2 วันก่อนถึงเส้นเสียชีวิตที่ทรัมป์กำหนดไว้ 1 ส.ค. มันเป็นกระบวนการที่ยากลำบากในการบรรลุเป้าหมาย และยังมีรายละเอียดน้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่ตกลงกันไว้

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Damage of ได้รับความนิยมสูงสุด

10 ประเทศในอาเซียน หรือกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 477,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 15.6 ล้านล้านบาท) ในปี 2024 เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ 137,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.49 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จึงไม่แปลกที่รัฐบาลเวียดนามเป็นชาติแรกในอาเซียนที่ไปเจรจากับสหรัฐฯ และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่บรรลุข้อตกลงลดอัตราภาษีนำเข้าจาก 46% เหลือ 20%

สหรัฐฯ อ้างว่า เวียดนามจะไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าใด ๆ จากสหรัฐฯ อีกต่อไป ที่น่าสังเกตคือผู้นำเวียดนามไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้อตกลงนี้เลย ไม่มีรายละเอียด ไม่มีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือการลงนามในเอกสารใด ๆ และบางรายงานข่าวชี้ให้เห็นว่าเวียดนามไม่เห็นด้วยกับตัวเลขของทรัมป์ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเวียดนามได้กลายเป็นการตั้งมาตรฐานให้กับประเทศอื่นในภูมิภาค

อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ตามหลังมาด้วยข้อตกลงลดอัตราภาษีเหลือ 19% ถึงแม้ทั้ง 2 ประเทศจะไม่ได้พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากนัก

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ไทยถูกทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรในอัตรา 36% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา

ส่วนไทย ประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ปีที่แล้วทำรายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่า 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2 ล้านล้านบาท) หรือประมาณ 1 ใน 5 ของการส่งออกทั้งหมด ประเทศไทยควรเป็นประเทศแรก ๆ ที่ไปเข้าคิวเจรจากับรัฐบาลกรุงวอชิงตัน หลังถูกประกาศภาษีครั้งแรกในอัตรา 36%

แต่ไทยไม่ใช่เวียดนาม ซึ่งเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์พรรคเดียวที่ผู้นำเพียงไม่กี่คนสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องกังวลต่อความคิดเห็นของภาคธุรกิจหรือประชาชนมากนัก

เช่นเดียวกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้หลังจากเจรจาอยู่นาน ทั้ง ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพันธมิตรอันเหนียวแน่นของอเมริกา ไทยเป็นอีกประเทศที่ต้องรับมือกับการเมืองภายในประเทศและความคิดเห็นของสาธารณชน อีกทั้งยังมีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอและแตกแยก ซึ่งต้องพึ่งพาผลประโยชน์หลายประการ

แย่ไปกว่านั้น การตัดสินใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการค้า ยังได้สร้างความโกรธแค้นให้กับฝ่ายสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 คนที่ติดอยู่ในไทยมานานกว่าทศวรรษกลับไปจีนเมื่อเดือน ก.พ. ซึ่งขัดต่อคำเตือนของ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่การค้าของไทยคนหนึ่งเปิดเผยว่า ทีมเจรจาของสหรัฐฯ ยังคงนำประเด็นการส่งกลับชาวอุยกูร์ขึ้นมาพูดคุยในการเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค.

ต่อมา กองทัพภาคที่ 3 ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษนักวิชาการชาวอเมริกันในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เขาถูกจำคุกและถูกบังคับให้ต้องออกจากประเทศไทย

อีกความยากหนึ่งที่ทีมเจรจาการค้าไทยต้องเผชิญคือ ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรของไทยซึ่งได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี – CP) หนึ่งในยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเกษตรของโลก เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความต้องการของสหรัฐฯ เช่นนี้จึงสร้างความเจ็บปวดให้กับไทยไม่น้อย

เจ้าหน้าที่การค้าของไทยอีกรายหนึ่งบอกว่า “เวียดนามเปิดกล่องแพนดอรา” ก่อนอธิบายเพิ่มเติ่มว่า ข้อเสนอเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็น 0% ทำให้ไทยซึ่งไม่สามารถเปิดทุกภาคส่วนให้สหรัฐฯ เข้ามาแข่งขันได้โดยง่ายตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

ฟาร์มหมูใน จ.นครนายก

ห่างออกไปจากกรุงเทพฯ ด้วยการขับรถ 3 ชั่วโมง บีบีซีได้เจอกับ วรวุฒิ ศิริปุณย์ ผู้เลี้ยงหมู 12,000 ตัวที่ จ.นครนายก ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญในไทย เพราะชาวไทยบริโภคเนื้อหมูเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เขาเป็นสมาชิกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และได้เคลื่อนไหวต่อต้านการยกเลิกภาษีนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ

“เกษตรกรสหรัฐฯ ผลิตเนื้อหมูได้เยอะกว่าเรามาก และต้นทุนก็ต่ำกว่า ดังนั้นราคาเนื้อหมูของพวกเขาจึงต่ำกว่า และเกษตรกรในประเทศจะไม่สามารถอยู่รอดได้”

การเข้าถึงตลาดการเกษตรเป็นอุปสรรคสำคัญในการเจรจากับญี่ปุ่น ซึ่งพยายามปกป้องชาวนา และยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการเจรจากับอินเดีย

ในประเทศไทย สันนิษฐานได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจการเกษตรอย่างซีพี พยายามล็อบบี้คัดค้านเงื่อนไขนี้ของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเสรีภาคส่วนอื่น ๆ เช่น สัตว์ปีก และข้าวโพด

บีบีซีเข้าใจว่า มีการประชุมที่ขัดแย้งกันระหว่างคณะผู้แทนการค้าและรัฐมนตรีหลังการเจรจาภาษีศุลกากรทุกรอบที่กรุงวอชิงตัน แต่อีกด้านหนึ่งคือผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมและส่งออกของไทยก็มีสัดส่วนในจีดีพีสูงกว่าภาคเกษตรกรรมมาก ทำให้พวกเขาต้องการให้ข้อตกลงกับสหรัฐฯ บรรลุอย่างมาก

“ถ้าเราได้ 36% มันจะแย่มากสำหรับเรา” สุภาพ สุวรรณพิมลกุล กล่าวก่อนจะมีการประกาศอัตราภาษีใหม่ออกมา เขาเป็นรองกรรมการผู้จัดการของ เอส. เค. โพลีเมอร์ (SK Polymer) บริษัทที่ผลิตส่วนประกอบต่าง ๆ มากมายจากยางและวัสดุสังเคราะห์สำหรับเครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ

“ผมรับประกันว่าคุณต้องเจอผลิตภัณฑ์ของเราอย่างน้อยหนึ่งชิ้นในบ้านของคุณ” เขากล่าว

บริษัท เอส. เค. โพลีเมอร์ ก่อตั้งโดยสุภาพและพี่ชาย 2 คนในปี 1991 เรื่องราวของบริษัทแห่งนี้คือเรื่องราวของประเทศไทยยุคสมัยใหม่ โดยมีต้นกำเนิดจากธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ ของบิดา แต่เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการค้าโลกซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย

บริษัทเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทพวกนี้ได้ไปรวมกับส่วนประกอบอื่น ๆ ที่มาจากหลากหลายประเทศเพื่อประกอบรวมกันผลิตเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม หรือสินค้าทางการแพทย์เพื่อการส่งออก รายได้ของบริษัทประมาณ 20% มาจากสหรัฐฯ แต่ตัวเลขจะสูงกว่านี้อีกมากหากรวมผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจาก เอส. เค. โพลีเมอร์เข้าไปด้วย ภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้ทำให้การดำเนินการของพวกเขาต้องสะดุด

“เรามีอัตรากำไรเพียงเล็กน้อย” สุภาพกล่าว

ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับบีบีซี เขาบอกว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการภาษีศุลกากรได้ถึง 20% หรือแม้กระทั่ง 25% ด้วยการลดต้นทุน

เขากล่าวด้วยว่า ความไม่แน่นอนคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด “ได้โปรด ขอให้รัฐบาลได้ข้อตกลงมาเราจะได้วางแผนธุรกิจของเราได้”

การเก็บภาษี 20% เป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในไทย

“ถ้าพวกเราทุกคนในภูมิภาคนี้โดนภาษีประมาณ 20% ผู้ซื้อของเราจะไม่มองหาซัพพลายเออร์อื่น มันจะเป็นเพียงภาษี เหมือนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ” ริชาร์ด ฮัน ซีอีโอของฮานา ไมโครอิเล็คทรอนิคส กล่าว

บริษัทแห่งนี้ผลิตส่วนประกอบพื้นฐานที่ใช้ในทุกสิ่งในชีวิตดิจิทัลของเรา ตั้งแต่แผงวงจรพิมพ์ วงจรรวม และป้าย RFID สำหรับกำหนดราคา

ฮันกล่าวว่า สินค้าของเขาที่ส่งไปยังสหรัฐฯ โดยตรงมีเพียงประมาณ 12% แต่เช่นเดียวกับ เอส. เค. โพลีเมอร์ สัดส่วนที่ส่งไปยังอเมริกาทางอ้อมในฐานะส่วนหนึ่งของสินค้าอื่น ๆ นั้นสูงกว่ามาก แต่ไม่ใช่แค่ตัวเลขภาษีศุลกากรเท่านั้นที่ทำให้เขากังวล

ความกังวลของเขาคือเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่ว่าจีนหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรโดยการเปลี่ยนเส้นทางการผลิตผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เวียดนามต้องจ่ายภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 40% สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นสินค้าส่วมสิทธิ์

ทั้งไทยและเวียดนามมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีศุลกากรกับจีนในสมัยแรกของทรัมป์ และการส่งออกของไทยและเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทจีนที่ย้ายฐานการผลิตมา บางส่วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนประกอบที่ผลิตในจีนมากขึ้นอย่างมาก และพวกมันไม่ได้มาจากจีนเพียงอย่างเดียว

โรงงาน SVI ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ที่โรงงาน SVI ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกรายหนึ่ง หุ่นยนต์เคลื่อนที่ไปมาระหว่างสายการประกอบเพื่อนำส่วนประกอบเล็ก ๆ หลายร้อยชิ้นมาประกอบเป็นแผงวงจรในเครื่องจักรที่มีราคาหลายแสนดอลลาร์ เมื่อดูฉลากอย่างรวดเร็วจะพบว่าส่วนประกอบเหล่านั้นมาจากมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และจีน

SVI ผลิตกล้องวงจรปิด เครื่องขยายเสียงสั่งทำพิเศษ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย ภาคการผลิตที่สำคัญของไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกที่ซับซ้อนอย่างมหาศาล ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ภายใต้กฎขององค์การการค้าโลก (WTO) สินค้าจะถือว่าเป็นสินค้าในประเทศหากมีการเพิ่มมูลค่าอย่างน้อย 40% ในกระบวนการผลิตในประเทศ หรือหากสินค้านั้นถูก “แปรรูปอย่างมีนัยสำคัญ” ให้เป็นสินค้าใหม่ เหมือนกับที่ iPhone กลายเป็นสินค้าที่แตกต่างออกไปหลังจากประกอบเสร็จ

รัฐบาลทรัมป์ไม่ได้ใส่ใจกฎของ WTO และไม่ชัดเจนว่าอะไรจะถูกนับเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ แต่ฮันกังวลว่าสิ่งนี้อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบริษัทไทยมากกว่าอัตราภาษีศุลกากรมาตรฐาน หากสหรัฐฯ ยืนกรานว่าต้องใช้ส่วนประกอบในประเทศมากขึ้น หรือนำเข้าจากจีนน้อยลง

“เอเชียตะวันออกเฉียงใต้พึ่งพาจีนอย่างมาก” เขาอธิบาย “จีนมีห่วงโซ่อุปทานที่ใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย และราคาถูกที่สุด เราสามารถซื้อวัตถุดิบจากส่วนอื่นของโลกได้ ซึ่งจะมีราคาแพงกว่ามาก แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ หรือมาเลเซีย จะสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าจากการผลิตในประเทศได้อย่างมาก เช่น 50-60% และหากนั่นเป็นเงื่อนไขในการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าโดยสหรัฐฯ ก็ไม่มีใครจะได้รับใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างแน่นอน”

ริชาร์ด ฮัน บิดาผู้ก่อตั้งบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คทรอนิคส

ขณะนี้มีการเปิดเผยรายละเอียดเหล่านี้น้อยมาก แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะอ้างว่าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เข้าไปยังฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียถูกเรียกเก็บภาษีเป็น 0% แต่ทั้ง 2 ประเทศระบุว่าไม่ถูกต้อง และยังต้องเจรจากันอีกมาก

สำหรับรัฐบาลไทยที่เริ่มต้นอย่างล่าช้าและพยายามอย่างหนักเพื่อตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ การบรรลุข้อตกลงนี้ถือเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด พวกเขาต้องกังวลว่าจะทำอย่างไรให้ข้อตกลงสำเร็จในฐานะคนมาทีหลัง เนื่องจากรายละเอียดต่าง ๆ ต้องใช้เวลาหลายปีในการหาข้อสรุป และในกรณีนี้ พวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว ทั้งประเทศที่ร่ำรวยและประเทศกำลังพัฒนาต่างพยายามอย่างหนักเพื่อให้ทันกับนโยบายภาษีศุลกากรที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วของทรัมป์

“สักวันหนึ่งสิ่งนี้จะต้องหยุดลง แน่นอนว่ามันต้องหยุดลง” ฮันกล่าว

“ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่ากฎของเกมจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องวนเวียนอยู่รอบ ๆ คอยดูว่าเราจะเล่นเกมใหม่นี้อย่างไร”

โรงงานแปรรูปส่วนประกอบต่าง ๆ ของ เอส. เค. โพลีเมอร์