
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติชี้มูลอดีตนายกเทศฯ ตำบลภูปอ จ.กาฬสินธิ์ เผยพฤติการณ์สมคบพรรคพวกเรียกเงินจากพนักงานจ้างเหมาแลกต่อสัญญาจ้าง จนภาพถูกแชร์ว่อนบนเฟซบุ๊กพร้อมหัวเรื่องนักการเมืองท้องถิ่นรีดไถ เผยนอกเหนือจากเจ้าตัวแล้ว ผู้สนับสนุนอีกสี่รายยังโดนชี้มูลด้วย ข้อหาสนับสนุนพนักงานเรียกทรัพย์สินโดยมิชอบ
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่าวันที่ 31 ม.ค. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ได้ทำเอกสารข่าวแจกกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 118/2567 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 มีมติชี้มูลความผิด การกระทำของนายกิตติ แก้วกาสี อดีตนายกเทศมนตรี ตำบลภูปอ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
โดยการชี้มูลครั้งนี้สืบเนื่องจากที่ ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “…รีดไถ.. ที่ตำบลภูปอ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ นักการเมืองท้องถิ่นเรียกร้อง ‘เงินค่าตำแหน่ง' จากลูกจ้าง/พนักงานทุกรายที่ต้องการจะต่อสัญญาจ้าง เพื่อป้องกันการแอบบันทึกเสียงหรือคลิปวิดีโอ แทนที่จะพูดเองเขาจะเรียกพนักงานเข้ามาพบทีละคนแล้วยื่นกระดาษให้ ‘อ่าน' ข้อความที่เขาเขียน มีใจความว่า ภายใน 30 กันยายน หากไม่นำเงิน “ค่าตำแหน่ง” มามอบก็จะถูกปลดออกจากงาน คือไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้างและจะตั้งคนใหม่เข้ามาแทนที่ทันที”
ประกอบกับ สำนักงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับเรื่องร้องเรียนที่ส่งมาจากจังหวัดกาฬสินธุ์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งกล่าวหานายกิตติกับพวกร่วมกัน เรียกรับเงินจากพนักงาน จ้างเหมาบริการ เพื่อแลกกับการต่อสัญญาจ้าง ปีงบประมาณ 2565 โดยมิชอบ เป็นคดีหมายเลขดำที่ 44 – 1 – 0350/2566
จึงเป็นเหตุวันที่ 25 พ.ย. 2567 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้มีมติชี้มูลนายกิตติว่ามีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบ มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 และมาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิด ฐานปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73
นอกเหนือจากนายกิตติแล้ว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติยังได้ชี้มูลนายสมคิด การเลียง, นางสาวจัญญ์สุฎา พิมพะนิตย์, นางสาวดรุณี พิมพะนิตย์ และนางสาวอุทัย สำโรงลุน ว่ามีความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และฐานเป็นผู้สนันสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 91
มีมูลความผิด ฐานปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดกาฬสินธุ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย พ.ศ.2558 เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ข้อ 7 วรรคสอง ข้อ 10 วรรคสอง และข้อ 23 วรรคสอง แล้วแต่กรณี
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับ นายกิตติ แก้วกาสี นายสมคิด การเลียง นางสาวจัญญ์สุฎา พิมพะนิตย์ นางสาวดรุณี พิมพะนิตย์ และนางสาวอุทัย สำโรงลุน และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับ นายกิตติ แก้วกาสี นายสมคิด การเลียง นางสาวจัญญ์สุฎา พิมพะนิตย์ และนางสาวดรุณี พิมพะนิตย์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )