
“ฉันหลอนว่าตัวเองได้ฆ่-าลูกไปแล้ว” แม่ป่วยโรคจิตหลังคลอดควรทำอย่างไรดี ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos
Article files
- Author, แอนเจลา เฮนแชล
- Feature, บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส
คำเตือน: บทความนี้มีเนื้อหาที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจได้
ในตอนแรก “แอลลี” คุณแม่มือใหม่ชาวอังกฤษบอกว่า เธอรู้สึกดีใจอย่างยิ่งและมีความสุขอย่างล้นเหลือ เมื่อได้คลอดลูกเองด้วยวิธีธรรมชาติที่บ้าน โดยไม่ใช้ยาระงับความเจ็บปวดใด ๆ เข้าช่วย แต่การเลี้ยงลูกอ่อนตลอดช่วงเวลาสามวันหลังจากนั้น แอลลีได้งีบหลับพักผ่อนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจว่า ตนเองไม่จำเป็นต้องนอนหลับเหมือนมนุษย์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
“หากฉันจะอธิบายถึงสถานการณ์ตอนนั้นให้ชัดเจนที่สุด ขอบอกว่ามันเหมือนกับตื่นจากฝันร้าย ซึ่งคุณไม่อาจแยกแยะได้ว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความฝันกันแน่ ความรู้สึกแบบนั้นไม่จางหายไปแม้คุณจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่มันยังคงอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ” แอลลีกล่าว “ฉันมาถึงจุดที่รู้สึกหลอนไปว่า ตัวเองได้ฆ่-าลูกชายเสียชีวิตคาเตียงไปแล้ว ฉันจำได้ว่าตอนนั้นแฟนได้เข้ามาดู แต่ตัวฉันยังคงพูดย้ำซ้ำ ๆ กับตัวเองว่า นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ?”
ประสบการณ์เลวร้ายที่แอลลีได้เจอ เรียกว่าภาวะ “โรคจิตหลังคลอด” (postpartum psychosis – PPP) ซึ่งเป็นอาการเจ็บป่วยทางใจชนิดหนึ่งที่ทำให้สุขภาพทรุดโทรมอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ซ้ำยังบ่อนทำลายชีวิตครอบครัวของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ให้ปั่นป่วนยุ่งเหยิvและเกิดความร้าวฉานไปในช่วงเวลาหนึ่งด้วย

ที่มาของภาพ : Getty Photos
โรคจิตหลังคลอดคืออะไร
หนึ่งในสัญญาณแรกเริ่มที่พอจะสังเกตได้ของภาวะโรคจิตหลังคลอด คือการที่คุณแม่เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองตามปกติ หรือเกิดอาการหลอนเหมือนหลุดออกไปจากโลกของความเป็นจริง
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
ได้รับความนิยมสูงสุด
แม้การอดหลับอดนอนจะเป็นเรื่องปกติของบรรดาแม่ลูกอ่อน แต่ผู้หญิงที่มีภาวะโรคจิตหลังคลอด อาจไม่หลับตาหรือล้มตัวลงนอนเลยแม้แต่วินาทีเดียว ส่วนอาการอื่น ๆ ของภาวะโรคจิตหลังคลอดนั้น สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (NHS) ได้ระบุไว้ดังนี้
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว
- มองเห็นภาพหลอน
- รู้สึกผิดบาปโดยไม่มีสาเหตุ
- หูแว่วได้ยินเสียง
- กระวนกระวายอยู่ไม่สุข
- งุนงงสับสน
โรคจิตหลังคลอดถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางดูแลเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาภาวะนี้บอกว่า สิ่งสำคัญที่ญาติและคนรอบข้างควรจดจำเอาไว้ก็คือ คุณแม่ที่เป็นโรคจิตหลังคลอดส่วนใหญ่ สามารถจะหายดีได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

ที่มาของภาพ : Getty Photos
สาเหตุของโรคจิตหลังคลอด
ปัจจุบันวงการแพทย์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดของโรคทางใจชนิดนี้ แม้จะมีการศึกษาวิจัยกันมานานหลายปีแล้วก็ตาม แพทย์ส่วนใหญ่สันนิษฐานว่า การที่ฮอร์โมนในร่างกายสตรีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วระหว่างการคลอดบุตร อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคนี้อยู่ไม่มากก็น้อย
ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจไปกระตุ้นให้เกิดภาวะสับสนอย่างรุนแรง รวมทั้งก่ออาการหวาดระแวงขึ้นได้ ทว่าในปัจจุบันก็ยังคงไม่มีวิธีทดสอบแบบใด ๆ อย่างเช่นการตรวจเลืoด ที่จะสามารถทำนายล่วงหน้าได้ว่า หญิงตั้งครรภ์ผู้หนึ่งมีแนวโน้มจะป่วยเป็นโรคนี้หลังคลอดหรือไม่
คุณแม่มือใหม่ที่ป่วยเป็นโรคจิตหลังคลอดอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ไม่เคยป่วยด้วยโรคทางจิตเวชหรือมีภาวะวิกลจริตมาก่อน ด้วยเหตุนี้การมองเห็นภาพหลอนเป็นครั้งแรกในชีวิต จึงทำให้พวกเธอหวาดกลัวอย่างยิ่ง
แอลลีบอกว่าภาวะโรคจิตหลังคลอดของเธอเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ฉันสงสัยว่า มันอาจจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่ฉันเจ็บท้องคลอดข้ามคืนนานหลายชั่วโมง ด้วยเหตุผลบางอย่างในตอนนั้น ฉันตัดสินใจไม่เรียกสามีให้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ทนเจ็บท้องคนเดียวอยู่จนกระทั่งหกโมงเช้า”
สถิติระบุว่าสามารถพบหญิงที่ป่วยด้วยโรคจิตหลังคลอดได้ราว 1-2 คน ในหมู่หญิงที่คลอดบุตรทุก 1,000 คน ซึ่งถือว่าพบได้น้อยเมื่อเทียบกับโรคซึมเศร้าหลังคลอด (put up-natal depression) ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 ของคุณแม่ที่เพิ่งให้กำเนิดบุตร ส่วนผู้เชี่ยวชาญบอกว่า จำนวนผู้ป่วยที่แท้จริงของภาวะผิดปกติทางจิตหลังคลอดเหล่านี้ น่าจะมีสูงกว่าที่คาดการณ์กันหรือสูงกว่าที่สถิติบันทึกเอาไว้มาก
ในอดีตนั้นการวินิจฉัยโรคผิดพลาดแทบจะเป็นเรื่องปกติ เช่นการมองว่าโรคซึมเศร้าหลังคลอดอย่างรุนแรงเป็นเพียงแค่ “เบบี้บลูส์” (infant blues) หรืออารมณ์เศร้าหลังคลอดตามธรรมดาที่พบได้ทั่วไปเท่านั้น แต่ปัจจุบันแพทย์เตือนว่า ทัศนคติต่อสุขภาพจิตของคุณแม่เช่นนี้เป็นอันตราย และอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้คุณแม่มือใหม่เข้าถึงการรักษาที่ถูกต้อง รวมทั้งเข้าถึงการสนับสนุนทางการแพทย์อย่างเพียงพอได้
งานวิจัยเพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหาข้างต้น ซึ่งจัดทำโดยองค์กรการกุศล Motion on Postpartum Psychosis (APP) ในสหราชอาณาจักร ชี้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงได้รับการวินิจฉัยที่ผิดพลาดในกรณีของโรคจิตเวชหลังคลอด เนื่องจากพยาบาลผดุงครรภ์ในท้องถิ่นและสูตินรีแพทย์วินิจฉัยโรคผิด จนในบางครั้งอาจถึงกับสั่งยานอนหลับให้ผู้ป่วยได้
องค์กรการกุศลอย่าง APP และศูนย์ความเป็นเลิศทางปริกำเนิด (COPE) ที่ออสเตรเลีย รวมทั้งองค์กรเพื่อโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลหลังคลอดแห่งเมืองเอาเทโรอา (PADA) ของนิวซีแลนด์ กำลังร่วมกันรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องโรคจิตหลังคลอด ในหมู่ประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์แนวหน้า ส่วนผู้มีประสบการณ์ตรงอย่างแอลลีเองก็กำลังทำงานกับองค์กรการกุศล ซึ่งช่วยเหลือแม่ที่ป่วยด้วยโรคจิตหลังคลอดอยู่เช่นกัน
แอลลีบอกว่าปัจจัยบางประการที่ผลักดันให้เธอป่วยจนถึงขั้นวิกฤตนั้น คือการอดหลับอดนอน และความรู้สึกว่าถูกกดดันอย่างหนักให้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอเสี่ยงป่วยจิตหลังคลอดสูง คือการที่เธอมีประวัติป่วยโรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ชนิดที่ 1 มาก่อน
ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ Lancet ชี้ว่า 25% ของผู้หญิงที่ป่วยด้วยโรคอารมณ์สองขั้ว จะมีอาการกำเริบอย่างหนักหลังคลอดบุตรคนแรก จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ทำให้คำแนะนำทางการแพทย์ในปัจจุบันของหลายประเทศ รวมถึงออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, และสหราชอาณาจักร แนะให้ผู้หญิงในกลุ่มนี้กินยาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพบจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปริกำเนิดเพื่อขอคำปรึกษาเป็นประจำ ส่วนการเลิกยาอาจเป็นไปได้ตามคำแนะนำของแพทย์ประจำครอบครัว ในช่วงหลายปีต่อจากนั้น
ผลวิจัยของ นพ.เอียน โจนส์ จิตแพทย์ชั้นนำผู้เชี่ยวชาญด้านปริกำเนิดจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ระบุว่าไม่พบความเสี่ยงต่อโรคจิตหลังคลอดที่เพิ่มขึ้น ในกลุ่มคนที่มีบาดแผลทางใจจากวัยเด็กแต่อย่างใด ซึ่งแสดงว่าปัจจัยทางชีวภาพในระหว่างการตั้งครรภ์และคลอดบุตร อย่างเช่นความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มีผลต่อการเกิดโรคจิตหลังคลอดมากกว่าประวัติทางจิตเวช

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ช่วยเหลือแม่ที่ป่วยโรคจิตหลังคลอดได้อย่างไร
มีความเสี่ยงสูงว่าแม่ลูกอ่อนที่ป่วยเป็นโรคจิตหลังคลอด อาจลงมือทำร้ายตัวเอง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งประเด็นนี้ผลวิจัยที่ทำในสหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, และนิวซีแลนด์ ชี้ว่าควรป้องกันและแก้ไข ด้วยการให้แม่และลูกอ่อนเข้ารับการรักษาด้วยกันในแผนกพิเศษทางจิตเวช โดยมีการเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
แม้วิธีข้างต้นจะได้ผลดีในการทดลอง แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริงอาจเป็นเรื่องยาก เพราะสถานพยาบาลหลายแห่งไม่มีพื้นที่, เตียงคนไข้, และบุคลากรอย่างเพียงพอ สำหรับการดูแลแม่ลูกอ่อนที่ป่วยด้วยโรคทางใจเป็นพิเศษ แต่ในบางประเทศอย่างฝรั่งเศสและเบลเยียม มีการจัดตั้งแผนกผู้ป่วยโรคจิตหลังคลอดขึ้นมาแล้ว
แอลลีย้อนรำลึกถึงประสบการณ์ในตอนที่ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลว่า “ฉันรู้สึกเหมือนสวิตช์ในสมองถูกปิดให้ดับลง ชั่วขณะนั้นมันชัดเจนมาก” ในความทรงจำที่ขาดหายเป็นห้วง ๆ แอลลีจำได้ว่าเธอยืนอยู่ที่บันไดขั้นบนสุดของบ้าน และกำลังฟังเสียงสามีโทรปรึกษาแผนกสูตินรีเวชของสถานพยาบาลท้องถิ่น
“ตอนนั้นฉันกลัวมากและกำลังต้องการความช่วยเหลือ คนที่อยู่ในสายได้ยินเสียงฉันกรีดร้อง เลยทำให้หัวหน้าพยาบาลผดุงครรภ์ช่วยต่อสู้ให้ฉันได้เข้ารักษาในแผนกจิตเวชสำหรับแม่และเด็ก (MBU) สิ่งสำคัญที่สุดที่แผนกนี้ทำให้ฉัน ก็คือช่วยให้กลับมาเป็นปกติ และนั่นคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก” แอลลีกล่าว
อารีแอน บีสตัน โฆษกของศูนย์เพื่อความเป็นเลิศ COPE ที่ออสเตรเลีย ซึ่งเคยป่วยด้วยโรคจิตหลังคลอดมาแล้ว กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญยิ่งยวดของการจัดตั้งแผนกจิตเวชสำหรับแม่และเด็ก เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ป่วยทางจิตหลังให้กำเนิดลูก ในหนังสือ “คุณเห็นไหมฉันไม่ใช่ตัวเอง” (I'm no longer myself you ogle) ว่าได้เห็นภาพหลอนเป็นมังกรปรากฏกายอยู่ข้างลูกชายของเธอ ทั้งยังเห็นโดรนของรัฐบาลหลายลำบินวนอยู่เหนือศีรษะ
แต่หลังจากที่ได้เข้ารับการรักษาในแผนกจิตเวชสำหรับแม่และเด็ก บีสตันได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์พยาบาล ให้สามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ รวมทั้งมีเวลาสร้างสายสัมพันธ์กับลูกอ่อน และเข้าร่วมในการอบรมเคล็ดลับสำหรับการเป็นพ่อแม่มือใหม่ ทำให้เธอฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งในชีวิตของตนเองไปอย่างมาก
ดร.แคลร์ ดอลแมน นักวิจัยจากราชวิทยาลัยแห่งกรุงลอนดอน (KCL) บอกว่าช่วงยากลำบากที่สุดของการรักษาผู้ป่วยโรคจิตหลังคลอด คือการตัดสินใจออกจากโรงพยาบาล ซึ่งเท่ากับการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงของการใช้ชีวิตแม่ลูกอ่อนที่บ้าน การตัดสินใจนี้คุณแม่ที่ป่วยและครอบครัวจะทำร่วมกันกับทีมผู้ให้การดูแล ซึ่งอาจช่วยตัดสินใจด้วยว่าควรให้นมลูกเองต่อไปหรือไม่ เพราะถือเป็นภาระหนักสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางจิตเวชสูงอยู่แล้ว และต้องปรับการให้นมบุตรให้สอดคล้องกับการกินยาจิตเวชอย่างต่อเนื่องของแม่ลูกอ่อนด้วย
รายละเอียดที่ยุ่งยากอาจทำให้การดูแลรักษาแม่ที่ป่วยโรคจิตหลังคลอด ไม่สามารถจะทำได้ในหลายประเทศ ซึ่งในบางแห่งความแตกต่างทางสังคม-วัฒนธรรม ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของคุณแม่มือใหม่ได้
ความเชื่อของคนในบางวัฒนธรรมกำหนดให้แม่ที่เพิ่งคลอดบุตร ต้องถูกกักบริเวณหลังคลอดนานถึง 40 วัน ในบางพื้นที่ของอินเดียมองว่า ภาวะโรคจิตหลังคลอดคือชะตากรรมทางศาสนาอย่างหนึ่ง โดยมองว่าแม่ที่ป่วยจิตถูกผีเข้าสิงร่าง (Devva Hididide) หรือในบางวัฒนธรรมก็อาจมองว่าเป็นความบกพร่องทางคุณธรรมของสตรีผู้นั้น จนทำให้ไม่อาจเป็นแม่ที่ดีตามแบบอย่างในอุดมคติได้ เช่นงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งสำรวจแม่มือใหม่ในฮ่องกง พบว่าพวกเธอต้องเผชิญแรงกดดัน ให้ทำหน้าที่แม่ตามแบบอย่างธรรมเนียมเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา ซึ่งหากทำไม่ได้ก็จะต้องเสียหน้า หรือประสบกับความอับอายขายหน้าอย่างมาก

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ถ้าอยากมีลูกอีกคนทำอย่างไรดี
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์และมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ พบว่าแม่ที่ป่วยด้วยโรคจิตหลังคลอดถึงครึ่งหนึ่ง ต้องเผชิญกับประสบการณ์เลวร้ายซ้ำรอยเดิม เมื่อมีลูกคนที่สอง
ทางออกที่ดีที่สุดของปัญหานี้ คือการเตรียมตัวและวางแผนล่วงหน้าอย่างละเอียดรัดกุมแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าแม่ลูกอ่อนที่เสี่ยงป่วยจิต จะมีผู้คอยให้ความช่วยเหลือจนผ่านพ้นช่วงเวลาอันตรายไปได้ เช่นอาจมีญาติหรือเพื่อนมาช่วยเป็นกำลังเสริมในการเลี้ยงดูลูกอ่อน รวมทั้งคุณแม่ต้องให้ความสำคัญกับการนอนหลับพักผ่อนเป็นอันดับแรกด้วย
แอลลีกล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า “พยายามดูแลตัวเองก่อน เพื่อที่จะสามารถเป็นแม่ที่ดีของลูกได้ต่อไป”
ที่มา BBC.co.uk