
เปิดรายละเอียด “ปฏิบัติการมิดไนท์แฮมเมอร์” สหรัฐฯ โจมตีฐานนิวเคลียร์อิหร่านในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร

ที่มาของภาพ : Reuters
Article Data
-
- Author, เจค ฮอร์ตัน, พอล ซาร์เจนท์ และ โรบิน เลวินสัน คิง
- Feature, บีบีซี เวริฟาย (BBC Overview)
- Reporting from กรุงวอชิงตัน ดีซี
เที่ยวบินยาวนาน 18 ชั่วโมงต่อเที่ยว ซึ่งต้องเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศหลายหน และต้องสร้างกลยุทธ์ลวงลวงหลากหลายรูปแบบ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ พล.อ.แดน เคน ประธานคณะเสนาธิการร่วม ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในกองทัพสหรัฐอเมริกา บอกว่าเป็นภาพรวมของภารกิจโจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
แม้ผลลัพธ์โดยรวมของปฏิบัติการที่สหรัฐฯ ขนานนามว่า “ปฏิบัติการมิดไนท์แฮมเมอร์ (Operation Heart of the night Hammer)” จะยังไม่ปรากฏชัด ทว่าลำดับเหตุการณ์ของภารกิจอันซับซ้อนนี้ได้ถูกเปิดเผยในแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังการโจมตีเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง
เครื่องบินทิ้งsะเบิดของอเมริกาได้ “บุกโจมตีและกลับออกมาโดยที่โลกไม่ทันไหวตัว” พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวต่อผู้สื่อข่าว

เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังเวลาเที่ยงคืนตามเวลามาตรฐานตะวันออกสหรัฐฯ ณ ห้องบัญชาการสถานการณ์ (Verbalize Room) ภายในทำเนียบขาว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พีท เฮทเซก ได้เข้าร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์, รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์, รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ และคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ระหว่างที่ขบวนฝูงบินออกเดินทางจากฐานทัพอากาศในเขตชนบทของมลรัฐมิสซูรี
รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่าฝูงเครื่องบินทิ้งsะเบิดล่องหนแบบ B-2 ได้ทะยานขึ้นจากฐานทัพอากาศไวท์แมน เมื่อเวลา 00:01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออกสหรัฐฯ (11.01 น. ของวันเสาร์ที่ 21 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย) ภายใต้ม่านของความมืด
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุด
ได้รับความนิยมสูงสุด
เป้าหมายสูงสุดของภารกิจนี้ มุ่งเป้าไปที่บรรดาโรงงานนิวเคลียร์ที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุดของอิหร่าน
เครื่องบินเจ็ทความเร็วต่ำกว่าความเร็วเสียงเหล่านี้ บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยบรรทุก “sะเบิดเจาะบังเกอร์” อานุภาพสูงซึ่งสามารถทะลวงคอนกรีตได้ลึกถึงกว่า 18 เมตร (60 ฟุต)”
sะเบิดเจาะบังเกอร์ชนิดนี้เป็นอาวุธที่เป็นที่ทราบกันว่า มีเพียงสหรัฐอเมริกาชาติเดียวในโลกที่มีอยู่ในครอบครอง มันเป็นของจำเป็นอย่างยิ่งในการโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ของอิหร่านที่เมืองฟอร์โดว์ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางแห่งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ภูเขา

ทว่าในขณะนั้น โลกยังไม่ทันได้จับจ้องฝูงบินนี้ เพราะสายตาทั่วโลกกลับถูกหักเหไปทางทิศตะวันตกที่มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานออกมาว่ามีเครื่องบินทิ้งsะเบิดถูกส่งไปที่ดินแดนเกาะกวมของสหรัฐฯ
“แม้การส่งเครื่องบินทิ้งsะเบิดดังกล่าวจะไม่ได้ถูกเชื่อมโยงอย่างเป็นทางการว่าเกี่ยวข้องกับการหารือเรื่องที่สหรัฐฯ จะเข้าร่วมสงครามของอิสราเอลกับอิหร่านหรือไม่ แต่เกือบทุกคนก็เชื่อว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ดี” บีบีซีรายงานไว้ในขณะนั้น
แต่ทั้งหมดเป็นเพียงกลอุบาย กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยภายหลังว่าเที่ยวบินนั้นเป็นแผนลวงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเที่ยวบินลับสุดยอดอีกเที่ยวที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมุ่งตรงสู่อิหร่าน

เครื่องบินที่มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นเป็น “ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการลวง ซึ่งมีเพียงผู้วางแผนและผู้นำระดับสูงคนสำคัญจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ทราบเรื่อง” พล.อ.เคน กล่าว
“ขณะที่ฝูงบินโจมตีหลักซึ่งประกอบด้วยเครื่องบิน B-2 สปิริตจำนวนเจ็ดลำ แต่ละลำมีนักบินสองนาย ได้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกอย่างเงียบ ๆ โดยมีการจำกัดการสื่อสารให้น้อยที่สุด” เขากล่าวเสริม
เครื่องบินทหารเหล่านี้ไม่ปรากฏบนเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบินทั่วไป ทำให้บีบีซีไม่อาจตรวจสอบคำบรรยายเหตุการณ์ของกระทรวงกลาโหมได้อย่างอิสระ
และแม้ภาพถ่ายดาวเทียมจะสามารถช่วยแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของความเสียหายที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนได้ แต่ก็ยากที่เราจะใช้ภาพดังกล่าวระบุเวลาโจมตีแต่ละครั้งอย่างแน่ชัดได้
เมื่อฝูงบินเดินทางมาถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง ในเวลาราว 17:00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออกสหรัฐฯ (04.00 น. ของวันที่ 22 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย) พวกมันก็ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องบินอีกอีกฝูงซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน พล.อ.เคน บอกว่ายุทธวิธีนี้ “ซับซ้อนและต้องอาศัยจังหวะที่แม่นยำ” โดยเครื่องบินคุ้มกันบินนำหน้าเพื่อสอดส่องหาภัยคุกคามจากเครื่องบินขับไล่ของข้าศึกและขีปนาวุธแบบยิvจากพื้นสู่อากาศ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าไม่มีเครื่องบินขับไล่ใดของอิหร่านทะยานขึ้นมาจากฐาน และไม่ปรากฏว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านได้ยิvตอบโต้แต่อย่างใด
“เครื่องบินทิ้งsะเบิดของสหรัฐฯ สามารถปฏิบัติการได้โดยปราศจากการขัดขวางเพราะน่านฟ้าของอิหร่านกำลังถูกกุมสภาพโดยอิสราเอล” แพทริเซีย บาไซลชิก ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบป้องกันขีปนาวุธแห่งศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี บอกกับบีบีซี
หนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีต่อมา พล.อ.เคน ก็นำเรื่องนี้มาแถลงผ่านการแถลงข่าวของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยให้รายละเอียดลึกซึ้งกว่าที่ปกติจะมีการเปิดเผยต่อสาธารณชน
แม้แถลงการณ์จะระบุเวลาเกิดเหตุการณ์บางช่วงไว้อย่างชัดเจน แต่แผนที่ซึ่งแสดงเส้นทางการเดินทางของเครื่องบินทิ้งsะเบิดนั้นไม่ได้สะท้อนเส้นทางบินตามที่เป็นจริงอย่างเคร่งครัด และยังพบความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างแผนที่สองฉบับที่ถูกนำเสนอต่อสื่อมวลชน
รัฐบาลทรัมป์ประกาศชัยชนะเบ็ดเสร็จโดยอ้างว่าสหรัฐฯ ได้ “ทำลายล้าง” ระบอบนิวเคลียร์ของอิหร่านจนสิ้นซาก กระนั้น เราก็ยังไม่อาจประเมินได้อย่างแน่ชัดว่าความเสียหายที่แท้จริงตลอดจนผลกระทบที่ตามมามีมากน้อยเพียงใด
แม้ต่อมาอิหร่านจะออกมายืนยันว่าถูกโจมตีจริง แต่ก็ได้ลดทอนความรุนแรงของเหตุการณ์ลง และไม่ได้เปิดเผยลำดับเหตุการณ์อย่างเป็นทางการ
ในเวลาราว 17:00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออกสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า มีการยิvขีปนาวุธโทมาฮอว์กกว่า 20 ลูก จากเรือดำน้ำของสหรัฐฯ ซึ่งประจำการอยู่ในทะเลอาหรับ มุ่งเป้าไปยังฐานนิวเคลียร์ใกล้เมืองอิสฟาฮานซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรราวสองล้านคน
ดร.สเตซี เพ็ตตีจอห์น ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์กลาโหมแห่งศูนย์เพื่อความมั่นคงใหม่ของอเมริกา กล่าวว่า แม้โรงงานนิวเคลียร์แห่งนั้นจะตั้งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินหลายร้อยกิโลเมตร แต่เรือดำน้ำของสหรัฐฯ ก็อยู่ใกล้พอที่จะยิvขีปนาวุธร่อนให้เข้าถึงเป้าหมายได้ในเวลาใกล้เคียงกับที่เครื่องบิน B-2 ล่องหนทิ้ง “sะเบิดเจาะบังเกอร์” ลงสู่โรงงานนิวเคลียร์อีกสองแห่ง”
ทั้งหมดนี้ทำให้สหรัฐฯ “สามารถโจมตีหลายจุดพร้อมกันได้แบบที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว” เธอกล่าวกับบีบีซี
ในขณะเดียวกัน ในช่วงที่ฝูงเครื่องบินทิ้งsะเบิดได้เข้าสู่น่านฟ้าอิหร่าน สหรัฐฯ ยังได้ใช้แผนลวงอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการส่งสัญญาณปลอมอีกด้วย ตามรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก่อนที่การโจมตีทางอากาศจะเริ่มต้นขึ้นในเวลาต่อมา
เครื่องบินทิ้งsะเบิดลำแรกได้ปล่อยsะเบิด GBU-57 หรือที่รู้จักกันในนาม “sะเบิดเจาะบังเกอร์ขนาดยักษ์” (Huge Ordnance Penetrator – MOP) จำนวนสองลูก ลงสู่เป้าหมายแรกที่ฟอร์โดว์ เมื่อเวลาประมาณ 18:40 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออกสหรัฐฯ (05:40 น. ของวันที่ 22 มิ.ย. ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งตรงกับเวลาราวตีสองของอิหร่าน
ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ sะเบิด MOP นี้สามารถเจาะทะลุคอนกรีตได้ลึกถึง 18 เมตร (60 ฟุต) หรือทะลุดินได้ถึง 61 เมตร (200 ฟุต) ก่อนจะsะเบิด นี่หมายความว่า แม้มันอาจไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้อย่างแน่นอน แต่นี่ก็เป็นอาวุธเพียงชนิดเดียวในโลกที่มีศักยภาพใกล้เคียงพอจะเข้าถึงความลึกของอุโมงค์ใต้ดินในฐานฟอร์โดว์ซึ่งเชื่อกันว่าฝังตัวอยู่ลึกถึง 80–90 เมตร (262–295 ฟุต) ใต้พื้นผิวโลกได้
นี่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ “sะเบิดเจาะบังเกอร์” ชนิดนี้ถูกนำมาใช้จริงในปฏิบัติการรบ

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังรายงานว่าเครื่องบินทิ้งsะเบิดลำอื่น ๆ ที่เหลือได้เข้าจู่โจมเป้าหมายของตน ทำให้โดยรวมแล้วมีการปล่อยsะเบิด MOP ทั้งสิ้น 14 ลูก ลงสู่ฐานนิวเคลียร์ที่ฟอร์โดว์ และอีกแห่งหนึ่งที่เมืองนาทันซ์ นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีฐานนิวเคลียร์ในเมืองอิสฟาฮาน ซึ่งอยู่ห่างจากฟอร์โดว์กว่า 200 กิโลเมตร ด้วยขีปนาวุธโทมาฮอว์กในเวลาเดียวกันด้วย
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่าหลังเครื่องบินบินอยู่บนฟ้านานถึง 18 ชั่วโมง เป้าหมายทั้งหมดก็ถูกโจมตีสำเร็จภายในเวลาเพียงราว 25 นาที ก่อนที่ฝูงบินจะออกจากน่านฟ้าอิหร่านในเวลา 19:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออกสหรัฐฯ (06.30 น. ของวันที่ 22 มิ.ย. ตามเวลาในประเทศไทย) เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่สหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ โดยรวมแล้วมีการใช้อาวุธนำวิถีความแม่นยำสูงกว่า 75 นัด และเครื่องบินของสหรัฐฯ กว่า 125 ลำ ในภารกิจนี้ ซึ่งรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีท เฮทเซก กล่าวว่าภารกิจครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน “อย่างทรงพลานุภาพและชัดเจนไร้ข้อกังขา”
แต่ทั้งนี้ ยังต้องใช้เวลาในการประเมินหลักฐานว่าการโจมตีครั้งนี้มีขอบเขตความเสียหายแท้จริงเพียงใด โดยจำเป็นต้องมีภาพเพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์ว่าsะเบิดเจาะบังเกอร์สามารถทะลุทะลวงฐานนิวเคลียร์ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เหล่านั้นลงไปใต้ดินได้ลึกมากน้อยแค่ไหน
“นี่คือปฏิบัติการที่มีความซับซ้อนสูงและอาศัยความปราณีตมาก ไม่มีประเทศใดในโลกปฏิบัติการแบบนี้ได้อีกแล้ว” ดร.เพ็ตตีจอห์น กล่าว
“อย่างไรก็ดี แม้ภารกิจจะประสบความสำเร็จในเชิงยุทธวิธี แต่ก็ยังไม่อาจทราบแน่ชัดได้ว่า มันจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการถ่วงรั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้อย่างถาวรหรือไม่”
ที่มา BBC.co.uk