
‘อนุกรรมาธิการการคลัง' กมธ.เศรษฐกิจ วุฒิสภา แนะรัฐบาล ‘ชะลอ-ลด-ตัดงบ’ โครงการก่อสร้าง-ปรับปรุงอาคารขนาดใหญ่ของรัฐ ที่'ไม่จำเป็น-ซ้ำซ้อน' วงเงินผูกพันกว่า 3.9 หมื่นล้าน เปิดทางจัดสรรงบลงโครงการที่มี ‘ความคุ้มค่า' สูงกว่า
……………………………..
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา น.ส.ชญาน์นันท์ ติยะตระการชัย ประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านการคลัง ในคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา แถลงเรื่อง “การบริหารงบประมาณโครงการก่อสร้างอาคารของรัฐที่มีผลต่อฐานะการคลังของรัฐบาล” โดยระบุว่า ปัจจุบันสังคมกำลังติดตามการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างและการปรับปรุงอาคารขนาดใหญ่ของรัฐ เกี่ยวกับความโปร่งใสของกระบวนการ ตลอดจนความจำเป็นและความคุ้มค่า
คณะกรรมาธิการฯ จึงได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาและติดตามการใช้จ่ายงบประมาณลงทุนเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ ทำให้ได้ข้อสรุปว่า งบประมาณรายจ่ายลงทุน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐหลายโครงการ ซึ่งเป็นงบผูกพันระหว่างปี พ.ศ.2565–2567 มีวงเงินรวมประมาณ 39,172 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมงบลงทุนเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569
ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯ จึงมีข้อเสนอแนะสำคัญต่อรัฐบาล เพื่อการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อสาธารณะ อาทิ
1.รัฐบาลควรพิจารณาชะลอ ปรับลด หรือตัดโครงการก่อสร้างที่ไม่จำเป็นหรือไม่เร่งด่วนในเชิงเศรษฐกิจหรือสังคม และอาจสร้างภาระงบประมาณระยะยาว โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะซ้ำซ้อนหรือให้ประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายจำกัด เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการจัดสรรงบประมาณในโครงการที่สร้างผลตอบแทนทางสังคมสูงกว่า และเร่งรัดเบิกจ่ายได้จริงในปีงบประมาณ
2.ส่งเสริมการใช้พื้นที่ร่วมกันหรือเช่าพื้นที่จากภาคเอกชนแทนการก่อสร้างใหม่ เพื่อประหยัดงบประมาณลงทุนระยะยาว ซึ่งอาจมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าการลงทุนก่อสร้างใหม่ และสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการได้ยืดหยุ่นกว่า
3.ภาครัฐควรกำหนด “แบบกลาง” สำหรับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างพื้นฐาน เช่น โรงพยาบาล สถานีตำรวจ โรงเรียน หรือศูนย์ราชการ เพื่อควบคุมคุณภาพ ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และป้องกันปัญหาความแตกต่างของต้นทุนก่อสร้างโดยไม่มีเหตุผลเชิงวิศวกรรม ทั้งยังช่วยลดระยะเวลาการอนุมัติแบบก่อสร้างและการดำเนินงาน
4.สนับสนุนบริษัทคนไทยในการเข้าร่วมดำเนินโครงการของภาครัฐ โดยเฉพาะในระดับ SMEs และผู้รับเหมาท้องถิ่น ด้วยมาตรการเอื้ออำนวย เช่น การแบ่งสัญญาเป็นขนาดย่อย การให้แต้มต่อในเกณฑ์ประเมิน หรือการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค
5.คืนงบประมาณส่วนเกินและงบประมาณที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้เข้าสู่คลังภายในปีงบประมาณ 2569 เพื่อให้การบริหารงบประมาณโปร่งใสและลดปัญหาเงินคงค้างในระบบ และ
6.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบงบประมาณและโครงการรัฐ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับรายงานความคืบหน้า การจัดเวทีรับฟังความเห็นระดับพื้นที่ หรือการสนับสนุนภาคประชาสังคมให้เป็นกลไกตรวจสอบคู่ขนาน เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจต่อการใช้งบประมาณแผ่นดิน
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )