
สรุป 6 ประเด็น ถกงบฯ 69 วันแรก: ผู้นำฝ่ายค้านซัดไร้ทิศ ไร้ทาง – ขุนคลังมั่นใจเก็บรายได้ตามเป้า

ที่มาของภาพ : Thai News PiX
วันนี้ (28 พ.ค. 2568) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท วาระแรก ซึ่งมีระยะเวลาในการพิจารณาเป็นระยะเวลา 4 วัน จนถึงวันที่ 31 พ.ค. และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะร่วมลงมติรับรองร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ในวันที่ 31 พ.ค. นี้
ในช่วงแรก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแถลงหลักการและเหตุผลว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.3-3.3% โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัวการลงทุนภาครัฐ การบริโภคในประเทศ การฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยว แต่ยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง และปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ส่วนเศรษฐกิจปี 2569 คาดว่าจะขยายตัว 2.3-3.3% มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน การฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ยังคงเป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง โดยประเด็นที่ฝ่ายค้านเพ่งเล็งในการอภิปรายคือ การจัดการงบกลางของปีงบประมาณปี 2568 ที่มีมติ ครม. โยกเงินจากงบโครงการดิจิทัลวอลเล็ตกรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ไปให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่งทั่วประเทศ โดยมีคำสั่งให้ส่งคำของบประมาณภายใน 3 วัน เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า นโยบายของรัฐบาล “ไม่มีแผนแม่บท ไม่มีวิสัยทัศน์ร่วม ไม่มีเป้าหมายระดับประเทศ”
.รวบรวมประเด็นสำคัญในการอภิปรายงบประมาณประจำปี 2569 ในวาระแรก วันแรก ดังนี้
นายกฯ ร่ายยาว แจง 6 ยุทธศาสตร์งบฯ 69
ส่วนหนึ่งในคำแถลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 น.ส.แพทองธาร ได้ฉายภาพให้เห็นสภาพการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ ส่วนหนี้สาธารณะคงค้าง เดือน มี.ค. 2568 มี 12.08 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ที่ไม่เกิน 70% ขณะที่เงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เม.ย. 2568 มีอยู่ที่ 252,124 ล้านบาท
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย จากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ ด้านภาวการณ์เงินโดยรวม ยังตึงตัว อย่างไรก็ตาม ฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี เงินสำรองระหว่างประเทศ วันที่ 31 ธ.ค. 2567 มี 237,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ทั้งนี้ รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท รายจ่ายชดใช้เงินคงคลัง 123,541 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 151,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่ารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบประมาณที่จัดสรรเป็นไปตาม “ตามแผนงานยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ประกอบด้วย
- ด้านความมั่นคง ด้วยกรอบวงเงิน 415,327 ล้านบาท อาทิ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้, ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, แก้ไขปัญหายาเสพติด, เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ, พัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติ ฯลฯ
- ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้กรอบวงเงิน 394,611 ล้านบาท อาทิ พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ, พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล การคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ รวมถึงความมั่นคงทางพลังงาน, ขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์, ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฯลฯ
- ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ภายใต้กรอบวงเงิน 605,927 ล้านบาท อาทิ พัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้, เสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี, เสริมสร้างศักยภาพการกีฬา, ปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ฯลฯ
- ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ภายใต้กรอบวงเงิน 942,709 ล้านบาท อาทิ ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, สร้างหลักประกันทางสังคม, บูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย, สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา, แก้ไขปัญหาเฉพาะกลุ่ม ฯลฯ
- ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กรอบวงเงิน 147,216 ล้านบาท อาทิ จัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม, จัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ, อนุรักษ์ ฟื้นฟู และ ป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติเสริมสร้างประสิทธิภาพ, เสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ฯลฯ
- ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ภายใต้กรอบวงเงิน 605,441 ล้านบาท อาทิ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ, ยกระดับการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลภาครัฐ, พัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม, ปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ฯลฯ
“ขณะเดียวกันรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 669,365 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และชดใช้เงินคงคลัง อาทิ การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิภัยร้ายแรง ภารกิจที่มีความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ การกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ” น.ส.แพทองธาร กล่าว
“ณัฐพงษ์” ซัดรัฐใช้เงินเกินตัว ไร้แผนการลงทุน-หารายได้มารองรับ
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นอภิปราย ภายหลังนายกรัฐมนตรีอธิบายรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณเสร็จสิ้น
เขาเริ่มด้วยการอภิปรายงบประมาณภาพรวมของปีงบประมาณ 2569 ระบุว่า เป็นปีที่สองติดต่อกันที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งงบประมาณขาดดุลจนสูงเกือบเต็มเพดาน โดยกำหนดงบประมาณรายจ่ายไว้สูงกว่าการประมาณรายได้ของรัฐ ทำให้ต้องกู้เงินเพื่อมาชดเชยการขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งนับเป็นการกู้ที่เกือบเต็มเพดาน
นายณัฐพงษ์ ยังระบุถึงการคำนวณการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล คำนวณไว้สูงกว่าที่ควรจะเป็น เพราะอ้างอิงจากตัวเลขจีดีพี (GDP) เก่า ที่สภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ในเดือน ก.พ. ว่า จีดีพีจะโต 2.3 – 3.3% ทั้งที่ตัวเลขล่าสุดที่สภาพัฒน์ฯ ประเมินใหม่เมื่อเดือน พ.ค. ประเมินการเติบโตของจีดีพีไว้เพียง 1.8% เท่านั้น
“สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เรื่องของการกู้ แต่คือเรื่องที่รัฐบาลกำลังจะใช้เงินเกินตัว โดยไม่มีแผนการลงทุนและการหารายได้มารองรับ” หัวหน้าพรรคประชาชนเน้นย้ำ
“เพราะพวกเรากำลังจะกู้โดยไม่มีแผนอะไรเลยนี่แหละครับ ไม่มียุทธศาสตร์ใด ๆ เลยนี่แหละครับ ไม่มีการเชื่อมโยงกับการสร้างศักยภาพของประเทศไทยในอนาคต มีแต่กู้ซ้ำ ๆ ไปลงกับโครงการเดิม ๆ” นายณัฐพงษ์ระบุ
เขายังสะท้อนอีกว่า แม้มีการกำหนดงบประมาณไว้สูงถึง 3.78 ล้านล้านบาทแล้ว แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายบุคลากร, ชำระหนี้, งบผูกพัน, งบท้องถิ่น, งบที่ต้องใช้เพื่อจ่ายสวัสดิการตามกฎหมาย และที่ต้องชดใช้เงินคงคลังแล้ว รัฐบาลจะเหลืองบประมาณที่ใช้ได้จริงเพียงแค่ 1 ใน 4 ของตัวเลขที่กำหนดมา คือประมาณ 1.06 ล้านล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นประชาชนจึงต้องการรัฐบาลที่ “รู้จักการใช้อำนาจ” ซึ่งเขามองว่าที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เวลาไปกับการแก้ไขความขัดแย้งในพรรครัฐบาลด้วยกันเอง มากกว่าจะใช้ให้แก้ไขให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
นายณัฐพงษ์ ยกตัวอย่างจากการจัดการงบกลางของปีงบประมาณ 2568 ที่มีมติ ครม. โยกเงินจากงบดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนล้านบาท ไปให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่งทั่วประเทศ โดยมีคำสั่งให้ส่งคำของบประมาณภายใน 3 วัน แสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาล “ไม่มีแผนแม่บท ไม่มีวิสัยทัศน์ร่วม ไม่มีเป้าหมายระดับประเทศ”
“นี่ไม่ใช่การกระจายอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์ครับ นี่คือการกระจายภาระไปให้ท้องถิ่นคิดแทนรัฐบาล หรือไม่ผมก็ตั้งคำถามว่าเป็นการกระจายผลประโยชน์ไปให้เฉพาะกลุ่มเครือข่ายที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล ที่เขารู้ข่าวล่วงหน้า ถึงจะสามารถจัดทำโครงการ จัดทำคำขอเข้ามาได้ทันภายในกำหนดกรอบระยะเวลาอันสั้นนี้ใช่หรือไม่” ผู้นำฝ่ายค้านตั้งคำถาม
เขายังมองว่า ในร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2569 นี้ รัฐบาลใช้งบประมาณ “สูตรเดิม ๆ” ที่ใช้ต่อเนื่องมาหลายปี พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูประบบงบประมาณ โดยระบุว่าหากในการเลือกตั้งปี 2566 มี “รัฐบาลที่มีสมาธิในการบริหารประเทศ” และ “ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง” จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง อาทิ จัดทำงบประมาณที่มีการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างสมดุล ไม่ใช่การขยายกรอบเพื่อกู้เงินเพิ่ม จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาในส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพียงพอ ไม่สะเปะสะปะ รวมถึงมีความโปร่งใส
นายณัฐพงษ์ เสนอแนวการการจำทำงบประมาณ “สูตรใหม่” โดยยกตัวอย่างรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการศึกษางบประมาณ ที่มีร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ และอีกกฎหมายคือร่างรัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น แต่เชื่อว่าต่อให้ตนเองเสนอกฎหมายดังกล่าวเข้ามาก็จะไม่ผ่านสภา
ผู้นำฝ่ายค้าน มองว่าที่จริงแล้วรัฐบาลมีงบประมาณหลายก้อนที่สามารถบูรณาการเชื่อมโยงกันได้ในการนำมาบริหารประเทศ ไม่เพียงแต่งบประมาณ 3.78 ล้านล้านบาท ก้อนเดียวเท่านั้น แต่การการบริหารประเทศให้พ้นวิกฤต รัฐบาลต้อง “บริหารเงินแผ่นดินเป็น”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “เงินแผ่นดิน” หมายถึง เงินที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐทุกหน่วย ได้แก่
- งบประมาณแผ่นดิน 3.78 ล้านล้านบาท
- เงินที่อยู่ในรัฐวิสาหกิจ ส่วนที่ไม่ซ้ำซ้อนกับที่รัฐส่วนกลางอุดหนุนให้
- งบประมาณรายจ่ายของท้องถิ่นทั่วประเทศ ส่วนที่ไม่ซ้ำซ้อนกับที่รัฐส่วนกลางอุดหนุนให้
- และกลุ่มเอกชน/ประชาสังคม ที่พร้อมร่วมลงทุนกับรัฐบาลในการพัฒนาเมือง
เมื่อรวมตัวเลขทุกส่วนแล้ว นายณัฐพงษ์ ประเมินว่ารัฐบาลมีเงินที่สามารถบูรณาการมาใช้บริหารประเทศได้ราวปีละ 7-8 ล้านล้านบาท แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครเชื่อมโยงเม็ดเงินเหล่านี้เข้าหากัน ทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ ก็ต่างคนต่างใช้ ไม่ได้เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับประเทศ ทั้งที่รัฐบาลสามารถออกนโยบายจูงใจให้มีการร่วมลงทุนในทิศทางเดียวกันเพื่อพัฒนาประเทศได้
“ขาดการลงทุนอย่างมีเป้าหมาย”
“ประเทศไทยตอนนี้ไม่ใช่ประเทศที่ขาดเงิน… แต่เราขาดวิธีการใช้เงิน ขาดการลงทุนอย่างมีเป้าหมาย” นายณัฐพงษ์ระบุ “หนึ่งบาทจากรัฐสามารถกลายเป็นหลายบาทได้ในระบบเศรษฐกิจ ถ้าเราใช้กับการลงทุนที่ถูกต้อง”
“แต่ในทางตรงกันข้ามครับ ถ้าเรายังคงใช้อย่างกระจัดกระจายอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ หนึ่งบาทจากรัฐจะกลายเป็นสูญ… คือสูญหายไปในระบบราชการ”
ผู้นำฝ่ายค้านตั้งคำถามถึงไส้ในของการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2569 หลายประการ อาทิ
- งบการจัดการน้ำที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณลงไปกับ ตลิ่ง เขื่อน คลอง มากกว่าการเพิ่มพื้นที่รับน้ำและการพัฒนาระบบเตือนภัย
- งบเกษตรที่รัฐบาลเน้นใช้งบประมาณไปกับการเยียวยา แต่ไม่มีการลงทุนเพื่อลดต้นทุนและพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่
- งบซอฟต์พาวเวอร์กลายเป็นงบจัดอีเวนต์ที่ซ้ำซ้อน ไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น เกม ภาพยนตร์ หรือวัฒนธรรมชุมชน
- งบสิ่งแวดล้อมที่ได้แค่ 4% ต่ำที่สุดในบรรดาทุกยุทธศาสตร์ แถมยังเน้นงานสร้าง-ซ่อมมากกว่าการจัดการเชิงระบบ โดยเฉพาะการฟื้นฟูพื้นที่ที่มีความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม
- งบสวัสดิการคนพิการที่ยังคงตกหล่น กระจัดกระจาย ซ้ำซ้อน และขาดการเข้าถึงอุปกรณ์พื้นฐาน
“ระบบราชการแบบไทยที่กระทรวง ทบวง กรม ทำงานกันแยกฝ่ายแยกส่วน ต่างคนต่างวิ่งงบประมาณ ยิ่งต้องมีผู้นำที่กล้ากำหนดทิศทาง เชื่อมเป้าหมายของประเทศเข้าด้วยกัน กล้าตัดงบที่ไม่จำเป็นออก แต่สิ่งที่เราเห็นในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมอภิปรายโดยสิ้นเชิง” หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าว
“นายกรัฐมนตรีไม่เคยลงมือปรับ ไม่เคยลงมาดูว่า เป้าหมายที่ตัวเองประกาศไว้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน มีการตั้งงบเข้ามาจริงหรือไม่ ไม่เคยสั่งให้หน่วยงานที่ตั้งเป้าหมายเวอร์เกินจริงต้องกลับมาปรับทบทวนเป้าหมายให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงเสียใหม่ และที่สำคัญไม่เคยตัดครับ ไม่เคยตัดโครงการที่ซ้ำซ้อน ทับซ้อน ไร้ผลเชิงยุทธศาสตร์” นายณัฐพงษ์ระบุ
“พิชัย” ยันต้องทำงบขาดดุล แต่มั่นใจจัดเก็บรายได้ตามเป้า
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงต่อรัฐสภาฯ หลังจากการอภิปรายของผู้นำฝ่ายค้านว่า ในด้านการขาดดุลงบประมาณว่า หากจะมองจากคนข้างนอก ตัวเลขขาดดุลสองปีติดต่อกันอยู่ที่ 8.5 แสนล้านบาท หรือสูงถึง 4% ของจีดีพี ซึ่งพิจารณาดูแล้ว ถือว่าสูงกว่ากรอบที่ควรจะเป็น คือไม่เกิน 3.25% กว่า แต่มีการคืนเงินต้นอยู่ด้วยที่ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะขาดดุลที่ 7 แสนล้านบาท หรือ ประมาณ 3% กว่า
“ทำไมยังต้องทำงบขาดดุล ผมคิดว่า ไทยยังอยู่ในเขตเอเชีย ยังเป็นเด็กที่ยังไม่โต อยู่ใน speak country (ประเทศที่กำลังเติบโต) เพราะฉะนั้นต้องสร้างแบบขาดดุลสักพักหนึ่ง เพราะอีกปัญหาหนึ่งเราต้องเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศใหม่ การขาดดุลยังจำเป็นอยู่ แต่เมื่อขาดดุลเราคำนึงถึงหนี้ต่อจีดีพีอยู่ในระดับที่เรายอมรับได้” นายพิชัย กล่าว
นอกจากนี้ รมว.คลังยังกล่าวย้ำอีกว่า ถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป และเคยวางเป้าว่า จีดีพีที่เคยวางไว้ว่า จะผลักดันให้เกิน 3% ขึ้นไป แต่วันนี้่มีการปรับจีดีพีลงมา เหลือเพียง 1.8% แต่ยังมั่นใจว่า ยังสามารถเก็บรายได้ในปี 2568 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และเชื่อว่า เงินขาดดุลคงคลังคงไม่มากไปกว่าเดิม

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
“งบประมาณที่จัดปีนี้ มั่นใจว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่เราเริ่มรู้แล้วว่า สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้เปลี่ยนในระยะเวลาอันสั้น เราคงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ ให้โครงสร้างเศรษฐกิจ พึ่งพาในประเทศมากขึ้น และ เราจะต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง” นายพิชัย กล่าว
เขายังอธิบายเพิ่มเติมถึงเหตุผลทีว่า งบประมาณของภาครัฐมีเป็นเพียงส่วนน้อย เนื่องจากหน้าที่รัฐไม่มีหน้าที่ในการประกอบธุรกิจ ไม่มีหน้าที่ในการลงทุนเพื่อการส่งออก แต่มีหน้าที่เพื่อทำให้มีโครงสร้างต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายให้กับเอกชน โดยเขายกตัวอย่างว่า ในช่วงที่ไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 6-10% เมื่อนำเงินทั้งหมดของทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามารวมกัน จะพบว่า การลงทุนทั้งหมดรวมกันเป็นประมาณ 40% ของจีดีพี ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากภาคเอกชน ขณะที่การลงทุนภาครัฐมีเป็นส่วนน้อย รวมทั้งในงบประมาณปี 2567 ก็มีการลงทุนภาครัฐส่วนน้อย
อย่างไรก็ตาม รมว.คลังชี้ให้เห็นว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนกลับลดลงเหลือเพียง 20% ในเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการลงทุนจากภาคเอกชนหายไป ผู้นำในตลาดหายไป ซัพพลายเชนหายไป ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหายไป ในขณะที่สินค้าส่งออกหรือบริการที่ส่งออกของไทยมีมูลค่าเพิ่มน้อย โดยเฉพาะภาคการเกษตร ซึ่งหากต้องการผลักดันเศรษฐกิจต้องมีการสร้างความพร้อมและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำได้จากงบประมาณภาครัฐ และสนับสนุน การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ PPP มากขึ้น เพื่อให้เอกชนและผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ยังชี้แจงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมองว่า การส่งออกน่าจะได้รับผลกระทบ ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะใส่เงินไปยังผู้บริโภค จึงนำเงินไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อผลักดันการผลิตในประเทศมากขึ้น และยอมรับว่า การเตรียมความพร้อมในการงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท มีข้อจำกัดในเรื่องเวลา แต่ยังจำเป็นต้องทำ พร้อมกับฝากให้ สส.ช่วยพิจารณางบปี 2569 อย่างละเอียด และสามารถแปรญัตติ เพื่อนำงบไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้
“เผ่าภูมิ” แย้งผู้นำฝ่ายค้าน ประเด็นงบประมาณสู่ท้องถิ่น
ต่อมาในเวลา 20.30 น. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงหลายประเด็นที่นายณัฐพงษ์ ผู้นำฝ่ายค้านอภิปราย
ประเด็นแรก คือ เรื่องการ “ขาดดุลงบประมาณ” นายเผ่าภูมิยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเจอความท้าทายทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอน ซึ่งการขาดดุลงบประมาณเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นการขาดดุลมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเขาได้ยกตัวอย่าง ในงบประมาณปี 2568 มีการขาดดุลอยู่ที่ 4.5% ของตัวงบประมาณ ซึ่งในปี 2569 มีสัดส่วนของการขาดดุลลดลงเหลือ 4.3% และยืนยันว่าสัดส่วนจะลดลงอีกใน 1-2 ปีข้างหน้า
“ท่านเห็นทิศทางไหมครับว่าเราบริหารงบประมาณด้วยความรับผิดชอบ” รมช.คลัง ระบุ เขายังบอกอีกว่า รัฐบาลยังได้ตั้งงบประมาณสำหรับการใช้หนี้เงินต้นที่สูงที่สุดเท่าที่กฎหมายจะให้ในขณะนี้ คือ 4% และยังแก้กฎเกณฑ์ขยายให้กลายเป็น 5% เพื่อให้สามารถใช้หนี้ได้เยอะกว่าเดิมในปีหน้า
เขายังชี้แจงกรณีที่ผู้นำฝ่ายค้านระบุว่า รัฐบาลสามารถใช้งบประมาณจริงได้เพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่อยากให้กลับไปดูที่ตัวเลข ว่าในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้มีการปรับลดงบประจำ 1.05% ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง และหากดูในตัวสถิติจะพบว่างบประจำในปีนี้อยู่ที่ 70.16% ต่ำสุดในรอบ 18 ปี ของการจัดทำงบประมาณมา ซึ่งแสดงถึงความ “พยายามจะลดงบประจำ” เพื่อ “เปิดช่องว่างสำหรับการลงทุน”
นายเผ่าภูมิยังชี้แจงกรณีการกระจายงบประมาณไปสู่ท้องถิ่น ระบุว่าหากดูจากตัวเลขปีนี้ที่เขาเรียกว่าการจัดสรรรายได้ให้กับ อปท. 29.43% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากขึ้นทุกปี และ “สูงสุดในประวัติศาสตร์”
นอกจากนี้ เขายืนยันว่ารัฐบาลสร้างภาคการบริโภคเพื่อดึงดูดการลงทุน โดยรายได้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในภาพรวมโตต่อเนื่อง 15 เดือนติดกันแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงธุรกรรมและการจับจ่ายใช้สอย แสดงว่าภาคการบริโภคอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ส่วนกรณีที่ผู้นำฝ่ายค้านระบุถึง “การค้ำประกันสินเชื่อ” ว่ามองไม่เห็นสิ่งนี้ในงบประมาณนั้น นายเผ่าภูมิ ระบุว่า เป็นเพราะไม่ได้มีการระบุงบดังกล่าวในร่างงบประมาณจริง เนื่องจากหากตั้งเพื่อค้ำประกันสินเชื่อจะทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการใช้งบประมาณ
“การขาดการยืดหยุ่นในการใช้นั้นคือการตั้งงบประมาณที่สูญเปล่า เราสามารถมีช่องทางในการใช้งบประมาณต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ม.28 การใช้ในส่วนอื่น เพื่อมาในเรื่องของการตั้งเพื่อค้ำประกันสินเชื่อได้” นายเผ่าภูมิระบุ
“เห็นตรงกันว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ และเราจะพยายามผลักดันตรงนี้ แต่มันจะไม่อยู่ในงบประมาณ เพราะผมไม่ตั้งมันอยู่ในงบประมาณ” เขาระบุ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังนายเผ่าภูมิลุกขึ้นชี้แจง นายณัฐพงษ์ ลุกขึ้นโต้แย้งตัวเลขบางส่วนที่นายเผ่าภูมิระบุ ว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น “สัดส่วนตัวเลข(งบประมาณ)ท้องถิ่นกับรัฐส่วนกลาง” ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านโต้แย้งข้อที่ รมช.คลัง ระบุว่า ปีงบประมาณ 2569 ได้จัดสรรมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
“ไม่ต้องย้อนไปไกลครับ ปี 66 ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จัดสรรที่สัดส่วนอยู่ที่ 29.81% ครับ แต่ในปี 69 นี้ อยู่ที่ 29.43% เพราะฉะนั้นตัวเลขสัดส่วนที่ท่านยกมา ก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเช่นเดียวกัน ถ้าเราจะยึดหลักว่าดูที่ตัวเลขเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้” นายณัฐพงษ์ ระบุ
สรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 69
การจัดสรรงบประมาณตามที่ระบุในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 นี้ วางกรอบวงเงินไว้มากกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ทั้งสิ้น 27,900 ล้านบาท ทำให้หลายหน่วยงานได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น โดย 5 หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุดในปีงบประมาณ 2569 เรียงตามลำดับ ได้แก่
- งบกลาง กรอบวงเงิน 632,968.8 ล้านบาท ลดลงมาจากปีงบประมาณที่แล้ว 209,032.9 ล้านบาท ในจำนวนนี้กว่าครึ่ง คือ 364,288.8 ล้านบาท ถูกจัดสรรเป็นเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ส่วนที่เหลือมีทั้งเป็นเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น, เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น, ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือ และเงินอื่น ๆ สำหรับข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ, ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ, เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ
- กระทรวงการคลัง กรอบวงเงิน 397,856.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาจากปีงบประมาณที่แล้ว 8,197 ล้านบาท
- กระทรวงศึกษาธิการ กรอบวงเงิน 355,108.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาจากปีงบประมาณที่แล้ว 14,333.9 ล้านบาท
- กระทรวงมหาดไทย กรอบวงเงิน 301,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาจากปีงบประมาณที่แล้ว 6,852.3 ล้านบาท
- ทุนหมุนเวียน กรอบวงเงิน 274,576.8 ล้านบาท ลดลงมาจากปีงบประมาณที่แล้ว 1,907.9 ล้านบาท โดยรายละเอียดแบ่งเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับกองทุนต่าง ๆ ทั้งที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล รวม 35 กองทุน ซึ่งกองทุนที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุด คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรอบวงเงิน 193,849.3 ล้านบาท มากกว่าปีงบประมาณที่แล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ที่มา BBC.co.uk