ชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุใดจึงมีข้อพิพาทและเกิดการเผชิญหน้าบ่อยครั้ง ?

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

เมื่อวานนี้ (28 พ.ค.) กองทัพบกรายงานเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เนื่องจากพบเห็นทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในเวลาถัดมาว่า การปะทะที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง “บังเอิญ” โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะสู้รบกัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวันเดียวกัน สำนักงานข่าว Khmer Cases ของกัมพูชาเปิดเผยว่ากระทรวงกลาโหมกัมพูชายืนยันทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย จากเหตุปะทะข้างต้น โดยระบุว่าทหารไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิvก่อน

ด้านสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์เฟซบุ๊กประณาม “บุคคล องค์กร หรือกลุ่มใด ๆ ที่ตัดสินใจก่อเหตุรุกรานเช่นนี้ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์รุกรานปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2008 ถึง 2011” ก่อนที่เช้าวันนี้ (29 พ.ค.) เขาจะเปิดเผยในการแถลงข่าวว่า มีการส่งกองกำลังและอาวุธหนักไปที่บริเวณชายแดนกัมพูชาแล้ว เพื่อ “เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น”

ขณะที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และบุตรชายของสมเด็จฮุน เซน ก็ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กในทำนองเดียวกันเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า แม้กัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะรุกรานประเทศใด ๆ แต่ประเทศก็ “สงวนสิทธิ์ที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอัตลักษณ์ในเชิงพื้นที่ (territorial identification) ของตน รวมถึงการใช้กองกำลังติดอาวุธในกรณีที่มีการพยายามรุกรานอัตลักษณ์ในเชิงพื้นที่ของกัมพูชา”

ประเทศไทยและกัมพูชามีอาณาเขตทาบเกี่ยวกันเป็นพื้นที่ทับซ้อนหลายจุด และแม้จะมีความพยายามเจรจากันระหว่างทั้งสองประเทศมานานกว่า 20 ปี แต่กลับยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย .รวบรวมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงพูดคุยกับนักวิชาการถึงชนวนที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงของทั้งสองประเทศเผชิญหน้ากันเช่นนี้

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

ทำความรู้จัก ‘ช่องบก' พื้นที่พิพาทล่าสุด

บริเวณที่เกิดการปะทะล่าสุดระหว่างทหารไทย-กัมพูชา คือบริเวณ ‘ช่องบก' ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานี ซึ่งถูกเรียกว่า “สามเหลี่ยมมรกต” (Emerald Triangle) โดยบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทย ลาว และกัมพูชา โดยมีขนาดประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวคาบเกี่ยวกับประเทศไทยในสองจังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ปัจจุบันช่องบกยังคงเป็นพื้นที่พิพาท เนื่องจากยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน และยังมีการเคลื่อนไหวทางทหารของทั้งสองประเทศในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอธิปไตย

ทั้งนี้ กองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ในช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ค. ระบุว่า ได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานี ในเมื่อเวลา 05.30 น. ของ วันที่ 28 พ.ค. แจงสาเหตุการปะทะระหว่างทหารสองประเทศว่า เกิดจากการได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจา แต่เมื่อถึงบริเวณดังกล่าวทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิดและเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับ เป็นเวลาประมาณ 10 นาที ถัดมา พล.ต.ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พ.อ.บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี จึงได้ตกลงหยุดยิv

ถัดมา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 พ.ค. มีรายงานข่าวว่า ทหารกัมพูชา 1 ราย เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว และทางการกัมพูชายืนยันว่าทางการไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิvก่อน

ที่มาของภาพ : Thai Royal Navy

กองทัพบกไทยและกัมพูชา พบกันเมื่อวันที่ 29 พ.ค. เพื่อเจรจาคลี่คลายความตรึงเครียดเหตุปะทะระหว่างทหารของทั้งสองประเทศ

อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วง 15.30 น. พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้พูดคุยกับ พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา โดย พล.อ.พนา ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด

ส่วนกรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee – JBC) ในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว และผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายได้ระบุว่า จะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด

โดย พล.อ.เมา โซะพัน ย้ำว่า ในส่วนของกัมพูชา หากมีผู้ใดฝ่าฝืนข้อตกลงที่ได้ร่วมกันวางไว้ในวันนี้ จะดำเนินการย้ายออกจากพื้นที่ทันที และยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาสามารถควบคุมและสั่งการหน่วยงานทุกหน่วยได้อย่างเด็ดขาด

โดยจากการประชุมดังกล่าว ได้ข้อสรุปร่วมกันดังนี้

  • ให้ทั้งสองฝ่ายการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน2-3 สัปดาห์
  • ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสม ลดการเผชิญหน้า
  • ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น

ทำไม ไทย-กัมพูชา จึงมีประเด็นเรื่องการอ้างสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อน

ไทยและกัมพูชามีชายแดนติดต่อกันยาวประมาณ 798 กม. ซึ่งมีอาณาบริเวณที่ทาบเกี่ยวกัน แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

  • พื้นที่ทับซ้อนทางบก เช่น พื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ พื้นที่ช่องตาพระยา/บึงตระกวน พื้นที่เขาตาง้อก จ.สระแก้ว และพื้นที่เขาตะบาน จ.จันทบุรี
  • พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เช่น พื้นที่บริเวณเกาะกูดตอนล่าง และพื้นที่บริเวณอ่าวไทยตอนกลางและตอนล่าง

ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชามีความพยายามในการใช้กลไกต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทบริเวณพื้นที่ทับซ้อนมาตั้งแต่ในอดีต เช่น การใช้สนธิสัญญา ฟรังโก-สยาม, การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Rate – JBC), การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2543 ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาเคยทำการสำรวจและปักปันเขตแดนร่วมกันครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2452

ในส่วนของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2544 รัฐบาลไทยซึ่งนำโดยนายทักษิณ ชินวัตร และ อดีตนายกฯ ฮุนเซน ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป 2.64 หมื่นตารางกิโลเมตร หรือที่เรียกว่า MOU 44 เพื่อเป็นการกำหนดกรอบเจรจาเรื่องการปักปันดินแดนทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน และเรื่องการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Building House – JDA) โดยทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันมาต่อเนื่อง

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

อย่างไรก็ตาม เอกสารวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ สถาบันวิจัยยุทธศาสตร์สถาบันป้องกันประเทศ กองทัพไทย โดย พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ และ จ.ส.อ.หญิง ฐิติรัตน์ ศรพรหม ระบุถึงสาเหตสำคัญที่ทำให้เกิดประเด็นโต้แย้งอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของทั้งสองประเทศว่า เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การใช้แผนที่อ้างอิงคนละฉบับ, การปักปันดินแดน (delimitation) คาดเคลื่อนไม่ได้รับการยอมรับ, หลักเขตแดนเดิมชำรุดเสียหาย และสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม

ด้าน สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ผู้สื่อข่าวอาวุโส และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อพิพาทบริเวณชายแดนของไทยและกัมพูชาเชิงประวัติศาสตร์กับ.ว่า แนวเขตแดนของทั้งสองประเทศถูกจัดการตั้งแต่สมัยสยามทำสนธิสัญญากับประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1893 แต่ว่าเขตดินแดนยังไม่ได้รับการปักปันให้ชัดเจน และพื้นที่ที่เคยเชื่อว่าเป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงสภาพไป

“ตั้งแต่สมัยฝรั่งเศส มีการจัดทำเขตแดน และหลักเขต ระบุพื้นที่เขตแดนเอาไว้ชัดเจนแล้ว เพียงแต่ว่าเวลาผ่านไป หลักเขตเหล่านั้นก็หายไปหรือถูกโยกย้าย มันก็เลยทำให้พื้นที่ชายแดนไม่ชัดเจนอีกครั้งในสมัยปัจจุบัน” ที่ปรึกษา กมธ. การทหาร ระบุ

เหตุใดความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของผู้นำสองประเทศ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ชายแดนได้ ?

“ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ต้องแยกเป็นหลายชั้นมาก” เพื่อจะเข้าใจความซับซ้อนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สุภลักษณ์เสนอให้มองความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ออกเป็น 3 ชั้น คือ

  • ความสัมพันธ์รัฐบาลต่อรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันเป็นความสัมพันธ์ที่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างรัฐบาลที่มีตระกูลชินวัตรเป็นแกนนำ และรัฐบาลกัมพูชาของตระกูลสมเด็จฮุนเซน ที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาเป็นระยะเวลานาน
  • ความสัมพันธ์ประชาชนต่อประชาชน ในพื้นที่บริเวณชายแดน ซึ่งมีความปกติ เนื่องจากประชาชนทั้งสองประเทศไปมาหาสู่กัน เป็นความสัมพันธ์ฉันเครือญาติพี่น้อง
  • ความสัมพันธ์ประชาชนต่อประชาชน กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ใกล้พรมแดน ซึ่งได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่จากสื่อ และอาจก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชัง (worship-abominate relationship) โดยฝ่ายไทยอาจรู้สึกว่าตนเหนือกว่ากัมพูชา และรู้สึกว่าฝ่ายกัมพูชา “เล่นไม่ซื่อ” ซึ่งความรู้สึกนี้อาจถูก “ขยาย” จากการเสพสื่อของกลุ่มคนที่อยู่ไกลจากบริเวณชายแดน

ที่มาของภาพ : พรรคเพื่อไทย

“ความสัมพันธ์ที่มันซับซ้อนขนาดนี้ มันไม่สามารถจัดการให้มันไปในทิศทางเดียวกันได้หมด ผมคิดว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลก็พยายาม แต่ว่าทำไม่ไหว” นายสุภลักษณ์ กล่าวกับ.

นอกจากนี้ เขายังระบุถึงปัญหาเชิงการเมืองที่ไม่มั่นคงภายในประเทศ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ก่อให้เกิดข้อพิพาท คือเมื่อการเมืองภายในประเทศของไทยหรือกัมพูชาไม่มั่นคง ก็จะมีกลุ่มคู่ขัดแย้งพยายามยกประเด็นชาตินิยมมาโจมตีรัฐบาล

“มักจะมีกลุ่มคนที่จะยกประเด็นเชิงชาตินิยมออกมาเพื่อโทษรัฐบาลตนเองว่าอ่อนแอ ไม่สามารถเอาจริงเอาจังกับไทยหรือกัมพูชา โดยเฉพาะตอนนี้เป็นแบบนั้นอย่างมากในรัฐบาลไทย… ในขณะที่ฝั่งกัมพูชา ฝ่ายค้านที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่นอกประเทศก็โทษรัฐบาลว่าอ่อนแอและประนีประนอมกับประเทศไทยมากเกินไปเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว” นายสุภลักษณ์ ระบุ

ท่าทีของผู้นำกัมพูชากำลังสื่ออะไร ?

โพสต์บนเฟซบุ๊กของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อกรณีการปะทะกันระหว่างทหารของทั้งสองประเทศ ถูกโพสต์พร้อมกับภาพสมัยที่เขาเป็นทหาร ระหว่างการสู้รบของกองทัพกัมพูชาและกองทัพไทยที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ในปี พ.ศ. 2551 และ 2554 เมื่อ.สอบถามนายสุภลักษณ์ ถึงนัยของการโพสต์รูปภาพข้อความดังกล่าว นายสุภลักษณ์ ระบุว่า

“ตระกูล ‘ฮุน' มีประเด็นเรื่องความขัดแย้งเรื่องพรมแดนกับประเทศเวียดนามเป็นพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายค้านกัมพูชากล่าวหาว่าเขายอมให้เวียดนามยึดที่ไปง่าย เพราะเวียดนามเคยช่วยตระกูลนี้ให้ไล่เขมรแดงออกไปได้ เขาจึงสนิทกับเวียดนามและพูดแรงกับเวียดนามไม่ได้ แต่เขาพูดแรงกับไทยได้”

สุภลักษณ์ชี้ว่า ดังนั้นแล้ว เพื่อป้องกันข้อครหาที่ฝ่ายค้านในกัมพูชาอาจหยิบยกขึ้นมาต่อว่าตระกูลฮุน นำผลประโยชน์ส่วนตัวมาก่อนประเทศชาติ ผู้นำกัมพูชาจึงต้องแสดงท่าทีไม่ยอมไทย

“ต่อให้สนิทกับคุณทักษิณมากกว่านี้ สิ่งที่ฮุนเซนต้องแสดงคือ เขาไม่ยอมเป็นลูกไล่ใคร” สุภลักษณ์กล่าว พร้อมเสริมด้วยว่า ฮุน มาเนต ก็อาจต้องการเสริมบารมีว่าตนมีความสามารถมากพอที่จะทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ โดยไม่ได้พึ่งบารมีของบิดา

“ข้อพิพาทกับประเทศไทยสำหรับฮุน มาเนต จึงเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ ต้องแสดงท่าทีไม่ยอมไทย และตนเองก็มีประสบการณ์กับแนวชายแดนไทยด้วย… เพราะฉะนั้นจะต้องโชว์ความสามารถทางการทหารให้เห็นเป็นที่ประจักษ์พอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ไม่ใช่การตบรางวัลจากพ่อ” นายสุภลักษณ์ กล่าวกับ.

รัฐไทยมีปัญหาเรื่องการควบคุมกองทัพหรือไม่ ?

“เป็นเรื่องประหลาดมากเพราะเพิ่งประชุม JBC (คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา) เมื่อวันที่ 1 พ.ค. แต่ปลายเดือนกลับปะทะกันแล้ว ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายนโยบายบอกว่าไม่ควรปะทะกัน” นายสุภลักษณ์ ตั้งข้อสังเกต พร้อมบอกว่า การปะทะที่เกิดขึ้นสามารถสื่อได้ว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันมีปัญหาช่องว่างในการออกคำสั่งกองทัพ “ค่อนข้างมาก”

ก่อนหน้านี้เคยมีการรายงานข่าวจากสำนักงานข่าวไทยพีบีเอส กรณีที่นายภูมิธรรม สั่งถอนกำลังทหารจากปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ หลังจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย – กัมพูชา (In vogue Border Committee – GBC) เมื่อต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่าน

แต่ต่อมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ขณะนั้นยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และมีการตรึงกำลังทหารอยู่ตามปกติ อีกทั้งฝ่ายกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาปฏิเสธว่ามีข้อตกลงเรื่องการถอนกำลังทหารบริเวณดังกล่าว

ที่มาของภาพ : กระทรวงกลาโหม

“แค่ข้อมูลแบบนี้ก็ไม่ตรงกันแล้ว มันทำให้สะท้อนว่าจริง ๆ แล้ว อำนาจการบังคับบัญชากองทัพของพรรคเพื่อไทยค่อนข้างที่จะอ่อนแอ และไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับประชาชนได้” นายสุภลักษณ์ ระบุกับ. พร้อมเสริมว่า การตัดสินใจดำเนินการทางการทหารควรเป็นการตัดสินใจจากรัฐบาลกลาง ไม่ใช่การตัดสินใจของผู้บัญชาการในพื้นที่ และความสัมพันธ์ที่คลุมเคลือของกองทัพกับรัฐบาลไทย ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชา เนื่องจากฮุน มาเนต สามารถควบคุมกองทัพได้

“ทหารภาคพื้นดินไม่ฟังผู้บังคับบัญชาเสียแล้ว จะเป็นผลเสีย อย่างเช่น การยิv ถ้าปกติหลักการปฏิบัติต้องมีการเตือนก่อน เขาทหารจะไม่ยิvใส่กันเลย จะยิvก็ต้องแจ้งไปก่อน เช่น คุณเดินเข้ามาในเขตนั้นใกล้กับที่ที่พิพาทมากแล้วนะ วิธีการทางทหารมีวิธีปฏิบัติอยู่ ฉะนั้นทหารที่อ้างว่าไปมาหาสู่กันทุกวัน แล้วบอกว่าลาดตระเวนมาเจอกันแล้วยิvกัน ผมว่ามันแปลกนะ”

แนวทางคลี่คลายความตรึงเครียดชายแดนอย่างยั่งยืน

“ตอนนี้มีการพูดถึงว่าแผนที่ของเราอ้างพื้นที่นี้เป็นเขตแดนของไทย ใช่ แต่มันอ้างอิงแผนที่ของเรา เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องอธิบายว่าแผนที่นี้ถูกใช้เป็นแนวปฏิบัติ แต่ไม่ใช่แผนที่อันเป็นที่สุด ไม่ใช่ว่าเขารุกมา แล้วคุณจะยิvได้เลย” นายสุภลักษณ์ แสดงทัศนะกับ. พร้อมระบุว่า ในการแก้ปัญหาการเผชิญหน้าของทหารบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลไทยควรให้ข้อมูลเรื่องพื้นที่ชายแดนอย่างโปร่งใสและสร้างความเข้าในสังคม

ทั้งนี้ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน บริเวณรัฐสภาวันนี้ว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ติดต่อพูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาแล้ว โดยมีความพยายามที่จะลดระดับความขัดแย้งบริเวณชายแดนโดยช่องทางการทูต

ที่มาของภาพ : EPA

สมเด็จฮุน เซน ระบุว่า ทางการกัมพูชาส่งกองกำลังและอาวุธหนักไปที่บริเวณชายแดนเพื่อ “เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น”

สุภลักษณ์ เสนอแนะว่า รัฐบาลไทยควรเร่งคลี่คลายสถานการณ์บริเวณชายแดนโดยเร็ว เนื่องจากเหตุการณ์ปะทะครั้งนี้อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อรัฐบาลในการพูดเรื่องปัญหาชายแดนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจรจาการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม หรือเรื่องเศรษฐกิจ

“ถ้ารัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ก็จะเสียประโยชน์ เรื่องที่จะทำร่วมกันอย่างที่นายกแพทองธารเดินทางไปพนมเปญ แล้วก็ไปตกลงเซ็น MOU กันหลายฉบับ ทั้งเรื่องความร่วมมือทางด้านการค้า ด้านแรงงาน เรื่องการปะทะก็พลอยทำให้บรรยากาศเสียไป”