วิกฤตความเป็นชายของหนุ่มอเมริกัน ส่งผลกระทบต่อชีวิตหญิงยุคใหม่อย่างไรบ้าง ?

แคตตี เคย์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี (ขวา) ขณะสัมภาษณ์ สกอต กัลโลเวย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสังคมอเมริกัน

Article files

  • Creator, แคตตี เคย์
  • Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซี

หนุ่มอเมริกันกำลังประสบปัญหาทางสังคม และกำลังเผชิญกับวิกฤตอัตลักษณ์อย่างหนัก หลังข่าวคราวรวมทั้งตัวเลขสถิติมากมายล้วนฟ้องว่า คนหนุ่มรุ่นใหม่อายุน้อยล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จทางการศึกษาและอาชีพการงาน มีรายได้ต่ำ อ้างว้างเปลี่ยวเหงาเพราะแยกตัวจากสังคมและหาคู่ไม่ได้ ซ้ำร้ายยังขาดโอกาสมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย

เมื่อเทียบกับหญิงสาวชาวอเมริกันในปัจจุบัน พวกเธอกลับมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่ารุ่นแม่และยายมาก การที่หญิงยุคใหม่ประสบความสำเร็จในทุกด้านแบบแซงหน้าทิ้งห่างผู้ชายไปไกลนั้น ยิ่งทำให้หนุ่มอเมริกันบางกลุ่มรู้สึกแค้นเคืองและเกลียดผู้หญิงมากขึ้น

หนทางสู่การแก้ปัญหาวิกฤตความเป็นชายของหนุ่มอเมริกัน โดยไม่ให้กระทบขัดขวางเส้นทางสู่ความสำเร็จของเหล่าหญิงสาวนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ แต่คนผู้หนึ่งกำลังมีบทบาทนำในการอภิปรายถกเถียงประเด็นดังกล่าว เขาคือสกอต กัลโลเวย์ อาจารย์ผู้สอนวิชาการตลาดประจำมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ซึ่งตอนนี้เป็นผู้นำในการผลิตสื่อที่ให้ความรู้ความเข้าใจเชิงบวก เกี่ยวกับวิกฤตความเป็นชายและหนทางแก้ไข โดยไม่ต้องย้อนยุคไปทำการลิดรอนสิทธิหรือขัดขวางความก้าวหน้าของสตรีเลย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัลโลเวย์จัดรายการพอดคาสต์ในประเด็นนี้ไปแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึง Lost Boys ที่เพิ่งเริ่มเผยแพร่ทางออนไลน์เมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษาพรรคเดโมแครต ที่ดูแลเรื่องการส่งสารทางการเมืองถึงกลุ่มเด็กหนุ่มและผู้ชาย ทั้งยังเตรียมออกหนังสือเล่มใหม่ “บันทึกว่าด้วยการเป็นบุรุษ” (Notes on Being a particular person) ในฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

คำบรรยายวิดีโอ, คลิกเพื่อชมบทสนทนาระหว่างสกอต กัลโลเวย์กับแคตตี เคย์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี

ต่อไปนี้คือบางส่วนของบทสัมภาษณ์กัลโลเวย์ ซึ่งแคตตี เคย์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีได้พูดคุยกับเขาถึงสภาพการณ์ที่ย่ำแย่ของคนหนุ่มอเมริกัน รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของหญิงสาวยุคใหม่ด้วย

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Discontinuance of ได้รับความนิยมสูงสุด

เคย์: ช่วยอธิบายให้เห็นภาพกว้าง ๆ หน่อยว่า ทำไมคุณถึงสนใจปัญหาของคนหนุ่ม คุณคิดว่ากำลังเกิดวิกฤตอะไรขึ้นกับสุขภาพกายและจิตของผู้ชายอายุน้อย

กัลโลเวย์: ข้อมูลสถิติต่าง ๆ มันท่วมท้นชัดเจนมาก ตอนนี้คนหนุ่มอเมริกันมีแนวโน้มจะฆ่-าตัวเสียชีวิตสูงขึ้นกว่าในอดีตถึง 4 เท่า มีแนวโน้มจะติดยาเสพติดมากขึ้น 3 เท่า และเป็นไปได้ว่าจะก่ออาชญากรรมจนต้องติดคุกติดตะรางมากขึ้น 12 เท่า ส่วนสถิติผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เป็นชายหนุ่ม ก็พุ่งทะยานถึงระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา สังคมของเราได้เลี้ยงดูเด็กชายรุ่นนี้ ให้โตมาเป็นคนอ้วนที่สุด เครียดวิตกกังวลที่สุด และซึมเศร้ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ นี่เป็นครั้งแรกที่คนวัย 30 ปี ไม่ประสบความสำเร็จเท่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ในตอนที่มีอายุเท่ากัน ในขณะที่หญิงสาวยุคใหม่วัย 30 ปี สามารถทำเงินสร้างรายได้สูงกว่าผู้ชายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มที่ทำงานในใจกลางเมืองใหญ่

ผมมองว่านี่เป็นเรื่องที่วิเศษมาก มันคือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของผู้หญิง และตอนนี้พวกเธอก็มีสถานะเป็นเจ้าของบ้านทั้งที่ยังโสดกันมากกว่าพวกผู้ชายเสียอีก ผมว่าเราไม่ควรไปขัดขวางแทรกแซง หรือทำอะไรเพื่อยับยั้งความก้าวหน้าของผู้หญิงในแง่นี้เลย

แม้ความอ้างว้างโดดเดี่ยวจะเป็นปัญหากับทั้งหญิงและชายในสังคมยุคใหม่ แต่ดูเหมือนว่าการขาดความรักหรือคู่ครองจะส่งผลกระทบหนักเป็นพิเศษต่อผู้ชายมากกว่า ผู้หญิงนั้นมีแนวโน้มจะจัดการปัญหาเรื่องไร้คู่หรือขาดความรักระหว่างเพศได้ดี โดยสามารถค้นหาสิ่งชดเชยได้จากมิตรภาพในหมู่เพื่อนฝูงหรือจากการทำงานอาชีพ ในขณะที่ผู้ชายโดยเฉพาะกลุ่มเด็กหนุ่ม มักจะเอาความรู้สึกขาดในด้านนี้ไปลงกับวิดีโอเกมหรือสื่อลามกอนาจารเสียมากกว่า บางคนก็เริ่มเก็บตัวและแยกตัวจากสังคม จนในที่สุดเราก็ได้หนุ่มอเมริกันรุ่นใหม่ ที่ไม่อาจเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจและไม่สามารถควบคุมจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้

โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกเห็นใจและคิดว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในผู้ชายกลุ่มนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะสภาพสังคมและสวัสดิการอันยอดเยี่ยมของอเมริกา ซึ่งเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงการศึกษาระดับสูงในราคาถูก และช่วยให้แม่ของผมเข้าถึงการวางแผนครอบครัว จนสามารถตั้งครรภ์และอุ้มครรภ์จนครบกำหนดคลอดได้แม้ในวัย 47 ปี ผมคงไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่สมควรจะต้องทำอย่างในทุกวันนี้ ผมเองก็เป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัว

เคย์: ฉันอยากจะลองพิจารณาประเด็นนี้จากมุมมองของผู้หญิง เพื่อดูว่าวิกฤตความเป็นชายหมายถึงอะไรกันแน่สำหรับบรรดาหญิงสาว งานวิจัยของฉันพบว่า ตอนนี้หนึ่งในสามของหญิงอเมริกันมีรายได้สูงกว่าคู่ครองของตนเอง แต่ผลการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ มักจะบิดเบือนข้อมูลในเรื่องนี้ โดยพยายามโกหกให้ดูเหมือนว่าสามีส่วนใหญ่มีรายได้สูงกว่าภรรยา ฉันอยากทราบว่าคู่สมรสที่กำลังเผชิญสถานการณ์แบบนี้ควรทำอย่างไร หากภรรยาทำเงินได้มากกว่า มีการศึกษาในระดับสูงกว่า ชนิดที่สามีไม่อาจจะไล่กวดทันได้เลย

กัลโลเวย์: ผู้ชายไล่ตามผู้หญิงไม่ทัน ในแง่ของการเติมเต็มสิ่งที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ ตัวอย่างเช่นหากสามีหาเงินเข้าบ้านเก่งสู้ภรรยาไม่ได้จริง ๆ พวกเขาได้หันไปทำประโยชน์ชดเชยในด้านอื่น ๆ เช่นให้การสนับสนุนทางอารมณ์ หรือช่วยเหลืองานบ้านบ้างหรือไม่ ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ชายไม่ได้เสียสละหรือทำประโยชน์ให้กับความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับความก้าวหน้าและการอุทิศตนทุ่มเทที่ผู้หญิงมีให้กับความสัมพันธ์นี้ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว ผู้หญิงจะเริ่มคิดคำนวณและเห็นว่าตนเองไม่ได้อะไรเลย จึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่ต้องมีคู่ครองให้เหนื่อยยาก

สถิติในปัจจุบันชี้ว่า 2 ใน 3 ของหญิงสาววัยต่ำกว่า 30 ปี มีแฟนหนุ่มเป็นของตนเอง ในขณะที่ผู้ชายวัยเดียวกันเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีคนรัก นอกจากนี้ หญิงสาวยังหันไปคบหากับผู้ชายอายุมากกว่าเพิ่มขึ้น เพราะต้องการคนที่มีความสามารถหาเงินเลี้ยงดูและมีอารมณ์มั่นคงมากขึ้น

เคย์: ในใจฉันรู้สึกเศร้ามากเลย เวลาที่ได้ยินเรื่องแบบนี้

กัลโลเวย์: ใช่ไหมล่ะ

เคย์: ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ชายหญิงในยุคใหม่ จึงเป็นไปไม่ได้แล้วใช่ไหม ? ผู้ชายจะต้องสูญเสียทุกอย่าง หากผู้หญิงยังคงประสบความสำเร็จและก้าวหน้าต่อไป ทั้งในเรื่องเงินทองและการศึกษาอย่างนั้นหรือ ?

กัลโลเวย์: ผมมองว่าเรื่องนี้มีทางออก เราไม่ควรทำสิ่งใดที่ขัดขวางความเป็นอิสระทางการเงินของผู้หญิง มันเป็นเรื่องที่วิเศษมาก และท้ายที่สุดแล้วผู้หญิงก็ไม่ควรลดระดับมาตรฐานของตัวเองลง ผู้หญิงควรจะได้เก็บเกี่ยวรางวัลจากการต่อสู้มาอย่างยากลำบาก เป็นเรื่องจริงที่พวกเธอทำงานหนักกว่า บริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ และเรียนหนังสือได้ดีกว่า ทักษะของผู้หญิงได้ปักหลักอย่างมั่นคงแล้ว ในระบบเศรษฐกิจยุคข้อมูลข่าวสาร นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับพวกเธอ จงสู้ต่อไปนะพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย

แต่ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าเราสามารถริเริ่มชุดโครงการบางอย่าง ที่จะช่วยส่งเสริมและยกระดับคนหนุ่มสาวทั่วไป ให้มีความสามารถเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ดังนั้นหากคู่รักชายหญิงตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน พวกเขาจะสามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ทั้งคู่ ซึ่งเท่าที่เห็นตอนนี้ ยังไม่มีความริเริ่มในแบบดังกล่าว

ผมว่าหากเราลองเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำขึ้นเป็น 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง ในภาวะที่อัตราการว่างงานต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ ผู้คนจะสามารถทำเงินได้เพิ่มมากขึ้น เราอาจจะลองบังคับเกณฑ์ทหาร เพื่อให้คนหนุ่มสาวมีโอกาสแสดงออกซึ่งความรักชาติ และเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาต้องการสังกัดและที่พักพิงใจแห่งที่สาม นอกเหนือไปจากบ้านและที่ทำงาน อย่างเช่นสถาบันทางศาสนา, องค์กรการกุศลไม่แสวงผลกำไร, และโครงการฝึกอาชีพต่าง ๆ

ผมมีแนวคิดแผลง ๆ บางอย่าง ที่อยากลองเสนอดู นั่นคือให้คนหนุ่มดื่มสุรากันมากขึ้น แม้ปัจจุบันแนวคิดของขบวนการต่อต้านแอลกอฮอล์จะแพร่หลายในหมู่คนรุ่นใหม่ ทำให้ไนต์คลับในกรุงลอนดอนต้องปิดตัวลงถึง 40% เนื่องจากคนหนุ่มสาวไม่มีเงินและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการดื่มเหล้า แต่ผมว่าความเสี่ยงที่คนหนุ่มอายุ 25 ปี จะมีภาวะตับแข็งเพราะโรคพิษสุราเรื้อรังนั้น ตอนนี้น้อยกว่าความเสี่ยงที่พวกเขาจะแยกตัวจากสังคม ต้องเผชิญความโดดเดี่ยวและวิตกกังวลอยู่ตามลำพังเสียอีก ผมขอแนะนำคนหนุ่มแบบติดตลกหน่อย ๆ ว่า ให้ขยันออกนอกบ้านมากขึ้น ไปดื่มสังสรรค์มากขึ้น และกล้าตัดสินใจแบบสุ่มเสี่ยง โดยลองทำสิ่งไม่ดีที่น่าจะให้ผลในทางบวกให้บ่อยขึ้นสักหน่อย

เคย์: สิ่งหนึ่งที่เราทั้งสองคนต่างก็พูดและเขียนถึงในหนังสือและงานวิจัย นั่นก็คือการขยายขอบเขตนิยามของบทบาทผู้ดูแลพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่ผู้หญิงต้องแบกรับเอาไว้ ตั้งแต่งานบ้านไปจนถึงการดูแลเด็กและคนชรา ฉันรู้สึกว่าคุณให้ความสนใจในเรื่องเดียวกับที่ฉันศึกษาอยู่ เพียงแต่มองจากมุมที่ต่างออกไปเล็กน้อย นั่นก็คือการให้นิยามความหมายใหม่แก่คำว่า “ผู้หาเลี้ยงครอบครัว” (provider) รวมทั้งคำว่า “ผู้ปกป้องคุ้มครอง” (protector) ในแบบที่ต่างออกไปจากขนบธรรมเนียมดั้งเดิม เพราะความหมายแบบเก่ามีนัยที่ดับฝันและความทะเยอทะยานของผู้หญิงอยู่

กัลโลเวย์: ผมพยายามคิดใคร่ครวญอย่างระมัดระวังในเรื่องนี้ ผมว่าทุกคนต้องการกฎเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่คอยกำกับและชี้แนะแนวทางการตัดสินใจในทุกเรื่อง ทั้งในการงานอาชีพและเรื่องส่วนตัวในชีวิตประจำวัน บางคนอาจได้สิ่งนี้มาจากสถาบันทางศาสนาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ บางคนอาจได้มันมาจากสถาบันครอบครัว หรือทหารผ่านศึกหลายคนก็อาจได้มันมาจากกองทัพ ผมมองว่าคนหนุ่มสามารถจะปรับตัวเข้าหานิยามของความเป็นชาย (masculinity) ในรูปแบบใหม่นี้ได้ เพียงแต่เราต้องนิยามมันในแบบที่สามารถให้แรงบันดาลใจ โดยสามเสาหลักของความเป็นชายที่ต้องนิยามกันใหม่นี้ ได้แก่การเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว (provider), การเป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง (protector), และการเป็นผู้ให้กำเนิด (procreator)

ผมว่าผู้ชายทุกคนที่มีอาชีพการงานในสังคมทุนนิยม ควรตั้งเป้าหมายที่จะรับผิดชอบต่อฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวในภาพรวม ซึ่งในบางครั้งมันหมายถึงการยอมรับว่า คู่ครองของคุณหาเงินเข้าบ้านได้มากกว่า และคุณพร้อมที่จะสนับสนุนอาชีพการงานของเธออย่างเต็มที่ ตอนที่ผมกับแฟนมีลูก เธอยังทำงานอยู่ที่บริษัทโกลแมนแซกส์ (Goldman Sachs) ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจชื่อดัง โดยเธอมีเงินเดือนสูงกว่าผมหลายเท่า ดังนั้นผมจึงเริ่มเข้ามาช่วยรับภาระงานบ้านและการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น ผมรีบกลับบ้านทุกวันให้ทันเวลาอาบน้ำ ช่วยจัดระเบียบทำความสะอาดบ้าน เพราะผมตระหนักดีว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจที่พึงมีต่อครอบครัว

เคย์: คุณคิดว่าการทำแบบนั้น เท่ากับบั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นชายของตัวเองหรือเปล่า คุณรู้สึกว่าทำใจลำบากหรือไม่ เมื่อต้องละทิ้งบทบาทในการเป็นเสาหลักผู้หาเลี้ยงครอบครัว

กัลโลเวย์: ก็มีบ้างที่ผมรู้สึกแบบนั้น เราสามารถพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ได้ แต่ผมเกรงว่ามันเป็นความจริงที่ยอมรับได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ผมมักรู้สึกว่า ผู้หญิงจะมองเห็นผู้ชายของตัวเองมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศลดลง เมื่อพวกเขาสูญเสียความสามารถในการหาเงิน

สำหรับบทบาทการเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองนั้น กลไกพื้นฐานของผู้ชายบังคับอยู่แล้วว่า เขาควรจะเป็นผู้พิทักษ์รักษาความปลอดภัยให้ครอบครัว ดังนั้นผู้ชายจึงต้องมีความแข็งแกร่ง ทำอาชีพที่สมกับความเป็นชายอย่างนักผจญเพลิง ทหาร หรือตำรวจ ซึ่งพวกเขาล้วนทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองทั้งสิ้น ทว่าการเป็นผู้พิทักษ์นั้นไม่จำกัดอยู่แต่ความปลอดภัยทางกายภาพเท่านั้น ผมเสียใจมากเวลาที่ได้ยินผู้หญิงในนครนิวยอร์กบอกว่า รู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาโดยสารรถไฟใต้ดิน หรือเวลาที่เห็นกลุ่มผู้ชายเดินตรงมาหา พวกเธอก็จะรีบข้ามถนนหนีไป เราควรต้องฝึกฝนอบรมบรรดาลูกหลานผู้ชายเสียใหม่ตั้งแต่เด็กในเรื่องนี้

เคย์: นั่นเป็นเรื่องของการใช้กำลัง ฉันหมายความว่านั่นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเราหวาดกลัว

กัลโลเวย์: ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมคิดว่าการเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองนั้น มันมีอะไรที่มากกว่าการใช้กำลัง ผมว่าความเป็นชายยังรวมถึงสถานการณ์อีกแบบ อย่างเช่นเมื่อพบเห็นเพื่อนถูกนินทาลับหลัง กลไกพื้นฐานของความเป็นสุภาพบุรุษในตัวคุณ จะทำให้คุณออกมาปกป้องคนผู้นั้น

คุณอาจไม่เห็นด้วยกับชุมชนคนข้ามเพศ หรืออาจจะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายบังคับ เพื่อให้มีห้องน้ำของเพศที่สามในที่ทำงานและองค์กรต่าง ๆ แต่เมื่อคุณเห็นชุมชนของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกำลังถูกใส่ร้ายป้ายสี สัญชาตญาณความเป็นชายของคุณจะตอบสนอง ด้วยการลุกขึ้นมาปกป้องพวกเขา นั่นคือสิ่งที่ชายแท้สมควรทำ

ส่วนเสาหลักที่สามของความเป็นชาย หรือการเป็นผู้ให้กำเนิด (procreator) ผมมองว่าหากความต้องการทางเพศหรือความปรารถนาที่จะหาคู่ครองของผู้ชาย ได้รับการระบายออกในวิถีทางที่ถูกต้อง มันจะเป็นแรงจูงใจที่วิเศษในการทำให้เขาเป็นผู้ชายที่ดีขึ้น

แต่ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน ? ในยุคนี้เราพูดถึงเอไอ พูดถึงตัวเลขเศรษฐกิจอย่างจีดีพี (GDP) รวมทั้งพูดกันถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมของรายได้ โดยบอกว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมีลูกน้อยลง ทว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของสิ่งนี้ คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยความหมายมากที่สุดต่างหาก คนส่วนใหญ่ต่างก็บอกว่า ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยความหมายมากที่สุดที่พวกเขามี มาจากการแสวงหาคู่ครองและมีลูกด้วยกัน ผมขอถามหน่อยว่า อะไรคือสิ่งที่ถือเป็นรางวัลสูงสุดในชีวิตของคุณ ?

เคย์: ไม่ต้องสงสัยเลย ตัวฉันเองมีลูกสี่คน เรื่องนี้จึงไม่ควรต้องถามเลยด้วยซ้ำ สิ่งมีค่าที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับสามีและลูกสี่คนของเรา

กัลโลเวย์: เมื่อ 40 ปีก่อน 60% ของคนวัยสามสิบปี มีลูกกันแล้วอย่างน้อยหนึ่งคน แต่ตอนนี้อัตราการมีบุตรของคนวัยเดียวกันลดลงเหลือ 27% สาเหตุของปัญหานี้เป็นเพราะคนรุ่นใหม่เลือกที่จะไม่มีลูก หรือพวกเขาไม่มีเงินพอจะเลี้ยงดูลูกได้กันแน่ ? บางคนอาจโทษว่ามันเป็นผลพวงของการหาคู่ทางออนไลน์ด้วยซ้ำ แต่ผมขอเน้นย้ำให้ชัดเจนตรงนี้ว่า ผมชอบที่ผู้หญิงยุคใหม่เลือกที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน มากกว่าจะเลือกการแต่งงานและมีลูก ผมไม่ขอให้ผู้หญิงลดมาตรฐานของตัวเองลง แต่ขอให้สังคมช่วยกันยกระดับความสามารถทางเศรษฐกิจให้แก่คนหนุ่มสาวทั้งหมด

เคย์: ฉันรู้สึกชื่นชมที่คุณสามารถพูดถึงการแก้ปัญหาน่ากระอักกระอ่วน ซึ่งทั้งหญิงและชายต่างลำบากใจที่จะพูดถึงมัน แต่ตอนนี้มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่ดีหลายคน แสดงออกว่าไม่พอใจเรื่องที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวยุคใหม่ ประสบความสำเร็จในระดับที่ไม่เท่าเทียมกัน คนเหล่านี้บิดเบือนให้มันกลายเป็นเรื่องที่เพศชายตกเป็นเหยื่อ หรือแม้กระทั่งปลุกปั่นให้ผู้ชายเกลียดชังและแก้แค้นผู้หญิงด้วยซ้ำ

เพื่อนผู้หญิงของฉันหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่า ต่างเล่าให้ฟังในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ว่า “พระเจ้า…คุณรู้ไหมว่าพวกเราต่างรู้สึกเหมือนมีความเสียเปรียบ 2,000 ปี ฝังติดแน่นอยู่ในตัวเอง แม้ในที่สุดเราจะก้าวไปข้างหน้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะถูกดึงให้กลับลงมาอยู่ในกล่องอีกครั้ง คุณมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้ ?

กัลโลเวย์: อันดับแรกเราต้องยอมรับว่า ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติอย่างการคลื่นไส้อาเจียนเมื่อล้วงคอนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติและสามารถเข้าใจได้ การที่ผู้ชายอเมริกันต่อต้านความสำเร็จของผู้หญิงก็เช่นกัน นั่นเป็นเพราะช่วงระหว่างปี 1945-2005 สหรัฐฯ มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสะสมความมั่งคั่งไว้ได้ในระดับสูงอย่างเหลือเชื่อ ทว่าความมั่งคั่งร่ำรวยกลับกระจุกตัวอยู่แต่ในกลุ่มประชากรเพียง 1 ใน 3 ของทั้งประเทศ ซึ่งก็คือคนผิวขาวเพศชายที่รักเพศตรงข้ามมาแต่กำเนิด ดังนั้นคนรุ่นผมจึงประสบกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ชายอย่างผมก็เห็นว่าความสำเร็จส่วนใหญ่ของตนเอง ไม่ได้มาจากการทำอะไรผิด เราจึงพอจะเข้าใจได้ว่า ผู้ชายที่ได้เปรียบและออกวิ่งก่อนผู้หญิงมานานถึง 3,000 ปี ตอนนี้กลับรู้สึกร้อนรนทนไม่ได้เป็นพิเศษ เพราะพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จเหนือกว่าผู้หญิงอีกต่อไป

สิ่งที่ผมอยากจะขอให้เข้าใจกันก็คือ ความเห็นอกเห็นใจที่เรามีต่อผู้อื่นนั้น ไม่ใช่เกมผลรวมเป็นศูนย์ (zero-sum game) มันไม่ใช่ว่าเมื่อผู้หญิงชนะแล้วผู้ชายจะต้องแพ้เสมอไป เมื่อคุณเดินเข้าไปในห้องดับจิตแล้วพบว่า มีศwอยู่ 5 ร่าง ที่เสียชีวิตเพราะฆ่-าตัวเสียชีวิต และในจำนวนนั้นถึง 4 ศw เป็นเพศชาย คุณอาจโทษผู้หญิงในทันทีว่า ทำให้ผู้ชายที่ไม่อาจเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจและมีอารมณ์ไม่มั่นคง ต้องมาจบชีวิตลงเพราะไม่เป็นที่ต้องการ แต่อันที่จริงแล้ว ประเทศของเราและหญิงอเมริกันไม่อาจจะประสบความสำเร็จหรือรุ่งเรืองเฟื่องฟูต่อไปได้ หากสังคมของเราไม่เพิ่มจำนวนผู้ชายที่ประสบความสำเร็จให้มากขึ้น

ลองคิดดูว่าชายหนุ่มอายุ 19 ปี ในทุกวันนี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง แม่ของเขาอาจติดยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (opioids) พ่ออาจติดคุก ครอบครัวเจอปัญหาเศรษฐกิจของคนชั้นกลาง เขาอาจมีพฤติกรรมแยกตัวจากสังคม บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่พยายามชักจูงให้เขาติดเกมพนันออนไลน์และเว็บไซต์ลามกอนาจาร ซึ่งยิ่งทำให้สมองของเขาชอบความเสี่ยงและก้าวร้าวมากขึ้นไปอีก เราควรจะเห็นอกเห็นใจคนกลุ่มนี้ สิทธิพลเมืองเพื่อคนผิวดำไม่ได้ทำร้ายคนผิวขาว การสมรสระหว่างคนเพศเดียวกัน ไม่ได้ทำลายการแต่งงานของชายจริงหญิงแท้ แต่ปัญหาอยู่ที่คนหนุ่มของเรากำลังตกที่นั่งลำบากโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ

ตอนที่ผมเริ่มพูดเรื่องเหล่านี้เมื่อ 5 ปีก่อน มีคนเรียกผมว่าเป็นแอนดรูว์ เทต ที่จบปริญญาโท ซึ่งหมายถึงพวกเกลียดผู้หญิงที่มีการศึกษาสูง แต่หลังจากนั้น การพูดคุยในประเด็นดังกล่าวเริ่มพัฒนาไปในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น เพราะผู้หญิงที่เคยนำการอภิปรายในเรื่องนี้ต่างกลายเป็นแม่คน ผมมักจะชี้แนะคนหนุ่มอายุน้อยเสมอว่า คุณเริ่มล้มเหลวในความเป็นชาย ก็ต่อเมื่อคุณเริ่มกล่าวโทษผู้อื่น คุณกล่าวโทษผู้หญิงเมื่อตัวเองหาคู่ไม่ได้ คุณกล่าวโทษผู้อพยพเมื่อไม่มีงานทำและฐานะการเงินเริ่มฝืดเคือง นั่นหมายความว่าคุณเริ่มตกต่ำและหลงประเด็นไปไกลแล้ว

ผมขอกล่าวสรุปว่า ยังคงมีความเป็นชายในรูปแบบที่พึงปรารถนาอยู่ และผมว่ามันสามารถเป็นแนวคิดหรือจรรยาบรรณที่ช่วยชี้ทางสำหรับคนหนุ่มรุ่นใหม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้เริ่มจากการที่เราต้องมีความเห็นอกเห็นใจก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงไม่ใช่เกมผลรวมเป็นศูนย์ ผู้หญิงยังคงต้องเผชิญอุปสรรคและความท้าทายต่าง ๆ ที่ใหญ่หลวงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเราต้องตระหนักด้วยว่า คนหนุ่มเองก็กำลังลำบากและต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา