
เหตุการณ์ปะทะกันของทหารไทยและกัมพูชาจุดกระแสชาตินิยมที่มีเชื้อไฟอยู่ก่อนแล้วให้แรงอีกครั้ง ในรอบนี้มันได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสื่อกระแสหลักและในโซเชียลมีเดียทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา แม้เพื่อนบ้านทั้งสองประเทศยังไม่ได้รบกันจริงๆ แต่สงครามในโลกออนไลน์ก็นำหน้าไปแล้ว
ไล่มาตั้งแต่ กระแสชาตินิยม ความเกลียดชังเพื่อนบ้าน ลามไปถึงการเชียร์ให้รบกันที่เราเห็นในโซเชียลมีเดีย สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อคนบนโลกออฟไลน์มากน้อยแค่ไหน ผู้สื่อข่าวประชาไทพูดคุยกับแรงงานกัมพูชาในไทยเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น ว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร หรือมีความกังวลใจอะไรหรือไม่
“ถ้า (ไทยกับกัมพูชา) รบกันจริงๆ ขึ้นมา สิ่งที่กลัวที่สุดคือเรื่องปากท้อง เรื่องการใช้ชีวิต กลัวไม่มีงาน ไม่มีเงิน แล้วยิ่งกัมพูชาตอนนี้ประสบปัญหาเศรษฐกิจหนักมาก”
พีท (นามสมมติ) ชาวกัมพูชาวัย 41 ปี ให้สัมภาษณ์กับประชาไทถึงข้อกังวลจากผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ทำให้สถานการณ์ชายแดนของสองประเทศร้อนต่อเนื่องมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
เขาเป็นพนักงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวทางภาคตะวันออกของไทย ก่อนหน้านี้ผ่านการทำงานมาแล้วหลายอย่าง ทั้งก่อสร้าง เย็บผ้า และล่าม เวลากว่า 20 ปีที่เขาอาศัยอยู่เมืองไทยทำให้เขาใช้ภาษาไทยได้คล่องแคล่ว เราจึงพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องใช้ล่าม
แรงงานกัมพูชาในไทยกังวลกระแสเกลียดชัง
“เพื่อนผมที่ทำงานที่กรุงเทพฯ เขามีความกังวลเรื่องที่มีคนไทยโพสต์ลงโซเชียลมีเดียบอกว่าถ้าเกิดมีทหารไทยบาดเจ็บคนหนึ่ง เขาจะไปทำร้ายคนกัมพูชาถ้าเจอ อะไรอย่างนี้ มันคือความคิดที่มันสุดโต่งเกินไปเนาะ มันต้องแยกแยะว่าไอ้การที่เขาเข้าสู้รบกันเนี่ย มันเป็นเรื่องของรัฐบาล ส่วนประชาชนเป็นแค่คนธรรมดา เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่เขาได้รับผลกระทบ” พีทเล่า
พีทกล่าวว่าย้อนไปเมื่อครั้งเกิดกรณีความขัดแย้งปราสาทพระวิหาร สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงบรรยากาศทางการเมืองโดยรวมก็ตึงเครียดคล้ายๆ กันกับยุคนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ไฟความขัดแย้งในรอบนี้โหมกระพือได้ไวขึ้น ขยายตัวในหมู่ประชาชนมากขึ้น คือ โซเชียลมีเดีย คอนเทนต์ที่มีแนวคิดชาตินิยมถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกออนไลน์ทั้งชาวเน็ตฝั่งไทยและกัมพูชา
ตัวอย่างคอนเทนต์ที่มีแนวคิดชาตินิยมและเกลียดชังเพื่อนบ้านกลายเป็นสิ่งที่แทบจะเห็นได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ตหลังเกิดการปะทะที่ช่องบก เช่นผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยรายหนึ่งที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพและเคยเคลื่อนไหวต่อต้านแรงงานข้ามชาติกับกลุ่มฝ่ายขวา ซึ่งโพสต์คลิปวีดิโอขู่ว่าจะทำร้ายคนกัมพูชาในประเทศไทย ถ้าเกิดว่าทหารไทยบาดเจ็บล้มเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว รวมทั้งมีการโพสต์เชิญชวนให้ทำร้ายคนกัมพูชา โดยเปรียบเปรยว่าพวกเขาเหมือน “กระสอบทรายชั้นดี” หรือโพสต์ที่ระบุว่าตนจะไปทำร้ายชาวกัมพูชาเพราะมาเหยียบธงชาติไทย
ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยโพสต์คลิปพูดขู่ว่าจะทำร้ายคนกัมพูชา ถ้าเกิดว่ามีทหารไทยแม้แต่คนเดียวบาดเจ็บล้มเสียชีวิตจากการปะทะ
ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชาทำคลิปตอบโต้คลิปข้างต้นของชาวไทยคนดังกล่าว โดยมีการแปะคลิปต้นทางไว้ในคลิปของตัวเองด้วย
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเพจร้านอาหารที่แห่งหนึ่งโพสต์ว่าได้แปะป้ายข้อความที่ระบุว่า “ร้านนี้ไม่รับ และไม่มีแรงงานจากประเทศกัมพูชา“ ไว้ที่ร้านของตัวเอง
ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์คลิปที่อ้างว่าเป็นคลิปชาวกัมพูชาเหยียบธงไทย โดยมีการเขียนข้อความในโพสต์ประมาณว่าหยามกันเกินไปแล้ว อย่าให้คนไทยเหยียบบ้างก็แล้วกัน หรือความคิดเห็นในโลกออนไลน์จำนวนหนึ่งที่เชียร์ให้ใช้อาวุธ หรือให้ผลักดันแรงงานกัมพูชากลับประเทศ
ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์คลิปที่อ้างว่าเป็นคลิปชาวกัมพูชาเหยียบธงไทย โดยมีการเขียนข้อความในโพสต์ประมาณว่าหยามกันเกินไปแล้ว อย่าให้คนไทยเหยียบบ้างก็แล้วกัน หรือความคิดเห็นในโลกออนไลน์จำนวนหนึ่งที่เชียร์ให้ใช้อาวุธ หรือให้ผลักดันแรงงานกัมพูชากลับประเทศ
เพจร้านอาหารที่แห่งหนึ่งโพสต์ว่าได้แปะป้ายข้อความที่ระบุว่า “ร้านนี้ไม่รับ และไม่มีแรงงานจากประเทศกัมพูชา“ ไว้ที่ร้านของตัวเอง
รูปภาพร้านค้าแห่งหนึ่งที่ติดป้ายห้ามแรงงานกัมพูชาเข้าร้านถูกแชร์กันไปถึงชาวเน็ตกัมพูชา หลังจากแรกเริ่มเดิมทีรูปนี้ถูกแชร์กันอยู่ในกลุ่มชาวไทย
แม้แต่คลิปการแสดงของวงโยธวาทิตของทหารกัมพูชาก็มีคนไทยเข้าไป ‘ทัวร์ลง’ ในลักษณะคอมเมนต์ว่าเล่นไม่ดีหรือเครื่องแบบไม่สง่างาม หลังมีเพจเกี่ยวกับดนตรีในไทยแชร์คลิปดังกล่าวไป
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีแคมเปญจากเพจเฟซบุ๊กของกองทัพบก ชวนชาวเน็ตติดแฮชแท็ก ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด โดยระบุว่า “เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่พี่น้องทหารเรา” หลังจากนั้นเพจเฟซบุ๊กของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ก็โพสต์ภาพกราฟิกเกาะกระแสซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” ซึ่งกำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ โดยมีเนื้อหาทำนองว่ากองทัพพร้อม “ส่งด่วน” อาวุธยุทโธปกรณ์และหน่วยรบต่างๆ พร้อมติดแฮชแท็ก ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด และ ทหารมีไว้ปกป้องอธิปไตย
ซีรีส์ดังกล่าวเป็นเรื่องของความดุเดือดในสมรภูมิของธุรกิจขนส่งพัสดุ แต่การที่เพจของทหารเลือกที่จะฉวยใช้คำว่า “สงครามส่งด่วน” ก็อาจแปลความได้ว่าเหล่าทัพต่างๆ กำลังแสดงออกว่าพร้อมปะทะ และปักธงว่าหน้าที่ของทหารคือทำสงครามเพื่อปกป้องอธิปไตย
อย่างไรก็ตาม แรงงานชาวกัมพูชาผู้นี้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า กัมพูชามีประเด็นพิพาทเรื่องดินแดนกับเวียดนามด้วย แต่เรื่องดังกล่าวกลับไม่ได้ถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองมากเท่ากรณีพิพาทที่เกิดขึ้นตรงชายแดนฝั่งไทย
พีทบอกว่าจากการที่เขาพูดคุยกับเพื่อนแรงงานและญาติๆ ในฝั่งกัมพูชา “70% ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงที่ชายแดน” ส่วนคนงานกัมพูชาในไทยแบ่งออกเป็น 2 ทางคือ เจรจากัน กับ นำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก
เขาบอกว่าเหตุผลที่คนงานกัมพูชามองว่าปลายทางของเรื่องนี้คือศาลโลก เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าสองรัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ แม้ว่าครอบครัวของผู้นำทั้งสองประเทศจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันก็ตาม
นักการเมืองกัมพูชาปลุก ‘ชาตินิยม’ เรียกคะแนน?
ในอีกมุมวิเคราะห์หนึ่ง การที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมยื่นฟ้องในประเด็นข้อพิพาทดินแดนต่อศาลโลกก็ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อเรียกคะแนนทางการเมือง
ขณะที่ สม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ออกมาใช้ความชาตินิยมเรียกคะแนนให้ตัวเองเช่นกัน โดยกล่าวหา ฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงพรรคประชาชนกัมพูชา ว่า ‘ขายชาติ’ จากการปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและไทยรุกล้ำดินแดน
สุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอทช์ โพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่งระบุว่า ฮุนเซนติดหนี้บุญคุณค้ำคอของเวียดนาม (ถึงแม้จะเสียดินแดนจริง) ก็เลยต้องหันมาเล่นงานไทยเพื่อเกทับฝ่ายค้านทุกครั้งที่วาทกรรมขายชาติเป็นประเด็นทางการเมือง ตอนนี้เงื่อนไขยิ่งซับซ้อนมากขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุน และตระกูลชินวัตร ซึ่งฝ่ายค้านท้าให้ฮุนเซน และฮุนมาเนต พิสูจน์ว่าไม่อยู่ใต้อิทธิพลของตระกูลชินวัตร
ผู้สื่อข่าวประชาไทสอบถามประเด็นนี้กับพีทเช่นกันว่าคนงานกัมพูชามองเรื่องนี้อย่างไร
เขาเล่าว่าตัวเขาเองมักแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในโซเชียลมีเดีย มีอยู่บ่อยครั้งที่ถูกคนชาติเดียวกันเข้ามาโจมตีว่าเป็น “คนขายชาติ”
“ฝั่งทหาร ฝั่งการเมืองเข้ามาตำหนิผมว่าเป็นคนขายชาติ หรือทำนองว่า เป็นคนที่ไปทำงานประเทศเขา (ไทย) แล้วถูกล้างสมอง”
เขาบอกว่าคนกัมพูชาที่มาเมืองอยู่ไทยนานๆ มักจะมีความคิดไปในทางเดียวกันว่า เรื่องข้อพิพาทชายแดนกลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองนั้น เป็นกลยุทธ์การเรียกคะแนนนิยมของผู้นำ ซึ่งมีแต่จะสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนด้วยกัน แต่สำหรับคนที่อยู่ในประเทศกัมพูชาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขามักถูกชักจูงได้ง่าย เมื่อเป็นประเด็นใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับชาตินิยม
“คนกัมพูชามันพูดอะไรไม่ได้ครับ ฝั่งนู้นเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรที่มันเป็นกลาง”
ในบริบททางการเมืองของกัมพูชา รัฐบาลควบคุมการแสดงความเห็นของประชาชนอย่างเข้มงวด แม้ประชาชนจะเห็นต่างจากรัฐก็อาจแสดงออกได้
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นพิพาทดินแดน ตัวเขาเห็นว่ารัฐบาลกัมพูชาหันมา ‘โชว์’ ใส่ไทยอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้แสดงออกกับเวียดนามในลักษณะเดียวกัน
“ถ้าพูดในมุมผมที่เป็นคนกัมพูชาแล้ว ผมมองว่ารัฐบาลลำเอียง เหมือนเวียดนามมีบุญคุณใหญ่หลวงกับเขา” รวมไปถึงรัฐบาลยังควบคุมไม่ให้ชาวกัมพูชาวิจารณ์เวียดนามด้วย ชนิดที่ว่า “ถ้าเกิดมีใครไปพูดถึงเวียดนาม เขาจะจับ เขาจะข่มขู่”
ดรามาระหว่างชาวเน็ตไทย-กัมพูชา ที่มีอยู่เนืองๆ ก่อนหน้านี้ ในประเด็นการ “เคลมวัฒนธรรม” ดูจะกลายเป็นเชื้อไฟอ่อนๆ ที่ส่งผลให้ความเห็นของชาวเน็ตทั้งสองประเทศต่อสถานการณ์ชายแดนเป็นไปอย่างสุดโต่ง
“ในยุคสมัยนี้โลกมันเปลี่ยนแล้ว เรามาคลั่งชาติ มาคลั่งเรื่องพวกนี้มันไร้สาระมากเลย ผมพูดกับคนกัมพูชาว่าถ้าเรากลัวเขามาเคลม มาเหยียดเชื้อชาติ มาดูถูก เราควรพัฒนาประเทศตัวเองให้เจริญ แต่ถ้าเราไม่พัฒนาประเทศตัวเอง มีครอบครัวครอบครัวเดียวที่ปกครองประเทศอย่างตอนนี้ มันได้ผลดีอะไร ประชาชนก็ต้องหนีออกนอกประเทศมาเป็นกรรมกรมาขายแรงงานที่ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น อะไรแบบนี้มันจะทำให้ชาติอื่นเขาดูถูกอยู่แล้ว ถ้าเราเข้มแข็งเราเหมือนคนญี่ปุ่นคนเกาหลีใครจะไปดูถูก” แรงงานชาวกัมพูชาแสดงความคิดเห็น
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )