
รัฐบาลเผยเหตุปะทะชายแดน คนไทยเสียชีวิต 12 ราย ด้านกัมพูชาขอยูเอ็นเรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงด่วน

ที่มาของภาพ : HANDOUT/กองทัพภาคที่ 2
กองทัพบกรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาหลายพื้นที่ในช่วงเช้าวันนี้ (24 ก.ค.) โดยอ้างว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิvก่อน ล่าสุดเหตุปะทะลุกลามไปใน 6 พื้นที่ตามแนวชายแดน รวม 4 จังหวัด และกองทัพไทยเริ่ม “ใช้กำลังทางอากาศ โจมตีเป้าภาคพื้นดินหมายตามแผน” แล้ว
จากเหตุปะทะที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมในช่วงเช้า สถานการณ์ได้ขยายพื้นที่ออกไปตามแนวชายแดนต่าง ๆ โดยเกิดการปะทะในอีก 6 พื้นที่ ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์
กองทัพบก (ทบ.) ระบุว่า มีพื้นที่พลเรือนตกเป็นเป้าหมายของอาวุธยิvสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 14 รายจากเหตุปะทะตลอดครึ่งวันเช้า
ต่อมาในช่วงบ่าย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แถลงว่า มีคนไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ชายแดนรวม 12 ราย แบ่งเป็นประชาชน 11 ราย และทหาร 1 นาย บาดเจ็บอย่างน้อย 30 ราย
รมว.สาธารณสุข เปิดเผยด้วยว่า กระทรวงได้สั่งให้โรงพยาบาลชายแดน 5 แห่งใน จังหวัดศรีสะเกษ และ จ.สุรินทร์ อพยพผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์โดยด่วน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Close of ได้รับความนิยมสูงสุด
เหตุปะทะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ก่อนขยายวงไปอีกหลายจุด
นอกเหนือจากการปะทะของทหารทั้งสองฝ่าย ความรุนแรงยังขยายวงมาในพื้นที่พลเรือนของฝั่งไทย โดยเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดอีสานตอนล่างติดชายแดนกัมพูชาอย่างน้อย 4 จังหวัดใน 5 อำเภอ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ (อ.กันทรลักษ์), จ.สุรินทร์ (อ.กาบเชิง, อ.พนมดงรัก), จ.บุรีรัมย์ (อ.บ้านกรวด) และ จ.อุบลราชธานี (อ.น้ำยืน) ซึ่งพื้นที่เหล่านี้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
คลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยกองทัพภาคที่ 2 แสดงถึงความเสียหายร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งจุดนี้เหตุโจมตีส่งผลให้มีประชาชนชาวไทยเสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บ 10 ราย
ขณะที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายใน อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โพสต์ภาพและวิดีโอความเสียหายของบ้านเรือนที่ถูกจรวดตกใส่เสียหายทั้งหลัง
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) เปิดเผยว่า กองทัพบกโดยกองทัพภาคที่ 2 และกำลังสนับสนุนจากกองทัพอากาศ ยังคงยึดหลักปฏิบัติการตอบโต้ในลักษณะจำกัดวง ซึ่งเป้นการปฏิบัติต่อเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก เคร่งครัดในกฎกติกา ตามหลักสากล เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเลือกเดินในทางตรงกันข้ามใช้อาวุธโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือนอย่างไร้ความปราณี
โฆษก ทบ. ระบุว่าการกระทำของกัมพูชายังถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจนจากการใช้อาวุธหนักโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือน และสถานที่ทางประวัติศาสตร์
“การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ โดยเฉพาะการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตทรัพย์สินพี่น้องประชาชนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร”

ที่มาของภาพ : HANDOUT/กองทัพบก
เกิดอะไรขึ้นบริเวณปราสาทตาเมือนธม จุดปะทะจุดแรก
เอกสารข่าวจากกองทัพบก (ทบ.) ที่แจกจ่ายให้สื่อมวลชนเช้านี้ ระบุว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 07.35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนรายงานว่า ได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
กองทัพบกระบุ ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้งอาร์พีจี เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ แต่ได้เกิดการเปิดฉากยิvของฝ่ายกัมพูชาเข้ามาบริเวณตรงข้ามกับฐานฝั่งไทย
“เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิvเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร” เอกสารข่าวจาก ทบ. ระบุ
บริเวณที่ทหารฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิvคือบริเวณตรงข้ามฐานหมูป่า ทางทิศตะวันออก ห่างจากปราสาทตาเมือนธมประมาณ 200 เมตร ซึ่งฝ่ายทหารไทยได้ยิvตอบโต้
อย่างไรก็ตามจุดปะทะแรกที่ปราสาทตาเมือนธม ปรากฏการให้ข้อมูลการเปิดการโจมตีที่ขัดแย้งกันของฝ่ายไทยและกัมพูชา
พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาเกี่ยวกับเหตุปะทะบริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ จ.อุดรมีชัย (Oddar Meanchey) ของกัมพูชา โดยยืนยันว่า กองทัพไทยได้เปิดการยิvโจมตีกองทัพกัมพูชาก่อน
“กองทัพไทยได้เปิดการยิvโจมตีกองทัพกัมพูชาก่อน กองทัพกัมพูชาได้ใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของตนเอง”

ที่มาของภาพ : Getty Photographs
ต่อมา พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก แจ้งว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บ 2 นาย จากอาวุธยิvสนับสนุนในพื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์
ขณะเดียวกัน กองทัพบกพบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร โดยฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิด นอกจากนี้มีการใช้อาวุธจรวด BM21 จำนวน 2 นัด ยิvเข้ามาในพื้นที่ชุมชนภายในศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เมื่อเวลา 09.40 น. ส่งผลให้ราษฎรได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ซึ่งฝ่ายไทยได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ทันทีเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
“กองทัพบกขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา กรณีใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือนในเขตไทย” รองโฆษก ทบ. ระบุ

ที่มาของภาพ : HANDOUT/กองทัพภาคที่ 2
ไทย “ใช้กำลังทางอากาศ” โจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินของกัมพูชา
พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.กองทัพอากาศ) อนุมัติเครื่องบินเอฟ-16 จำนวน 6 ลำ สนับสนุนกองทัพบกปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดการปะทะตลอดแนวชายแดนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
ตามการยืนยันของรองโฆษกกองทัพบก และกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า เครื่องบินเอฟ-16 ของไทย ได้เริ่มยิvเป้าหมายทางทางทหารภาคพื้นดินในเวลา 10.58 น.
รองโฆษกกองทัพบก ระบุด้วยว่า เป้าหมายภาคพื้นดินที่กองทัพโจมตีคือกองบัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 8 , 9 ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับชายแดนไทย
“เป็นการ ใช้กำลังทางอากาศ โจมตีเป้าภาคพื้นดินหมายตามแผน” พ.อ.ริชฌา ระบุเมื่อเวลา 11.27 น.
ทั้งนี้ ตามการให้ข้อมูลของเพจเฟซบุ๊กของกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าบริเวณที่เครื่องบินเอฟ-16 เตรียมตอบโต้ คือใกล้กับพื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ด้านความมั่นคง แถลงข่าวสถานการณ์ปะทะที่ชายแดนเมื่อ 12.05 น. ระบุว่า เหตุปะทะที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมในช่วงเช้าในเวลา 08.20 น. “ฝ่ายกัมพูชาเริ่มเปิดฉากยิvบริเวณตรงข้ามฐานหมูป่าทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธม ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้” จากนั้น สถานการณ์ได้ขยายพื้นที่ออกไปตามแนวชายแดนต่าง ๆ โดยเกิดการปะทะในอีก 6 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย, ช่องบก, เขาพระวิหารบริเวณห้วยตามาเรีย-ภูมะเขือ, ช่องอานม้า และช่องจอม
โฆษก ศบ.ทก. ด้านความมั่นคง เปิดเผยอีกว่า ปัจจุบันฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธหนัก เช่น BM-21 และปืนใหญ่ขนาด 122 มม. ทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนประชาชนฝ่ายไทย รวมทั้งการสูญเสียชีวิตของประชาชนฝ่ายไทย และนอกจากบ้านเรือนประชาชนได้มีการโจมตีพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และข่าวล่าสุดก็ได้ทราบมาว่าได้ทำการโจมตีของโรงพยาบาลฝั่งไทยด้วยเช่นกัน
“ฝ่ายไทยได้มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย แต่ก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 3คน หนึ่งในจำนวนนั้น เป็นเด็กชายอายุ 5 ขวบ และมีผู้เสียชีวิต 1 คนในพื้นที่ชุมชนบริเวณชายแดน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์” พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าว
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเหตุปะทะมีการรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง การเปิดเผยข้อมูลหลักมาจากเพจเฟซบุ๊กของกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งรองโฆษกกองทัพบก ยืนยันว่าเป็นเพจทางการของหน่วยทหารหน่วยนี้ โดยกองทัพภาคที่ 2 ได้เปิดเผยข้อมูลการโจมตีในแต่ละจุด ได้แก่
- 11.54 น. โพสต์ข้อความระบุ กัมพูชาโจมตีโรงพยาบาลกัมพูชาโจมตีโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ
- 11.37 น. โพสต์ข้อความระบุ กระเช้าขึ้นภูมะเขือ ของทหารกัมพูชา ถูกทหารไทยทำลาย
- 11.30 น. โพสต์คลิปเหตุการณ์ร้านสะดวกซื้อภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่งเกิดไฟลุกไหม้ โดยระบุว่า กระสุน BM-21 จากฝ่ายกัมพูชา ตกใส่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นักเรียนและประชาชนบาดเจ็บจำนวนมาก
ความเคลื่อนไหวของฝั่งไทย ยังรวมถึงการออกคำแนะนำต่อคนไทยจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กเมื่อเวลา 10.22 น. แนะนำให้คนไทยที่พำนักหรือพำนักชั่วคราวในประเทศกัมพูชาและไม่มีความจำเป็นเดินทางออกจากประเทศโดยเร็วที่สุด พร้อมขอความร่วมมือคนไทยงดการเดินทางมายังกัมพูชาในช่วงนี้หากไม่มีความจำเป็น
ในโพสต์ดังกล่าว ทางสถานทูตไทยฯ ชี้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา “ได้ยกระดับความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง” และ “มีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อและขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น”
เวลา 12.30 น. นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวกรณีเหตุปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชาบริเวณพื้นที่ชายแดนใน 4 ประเด็น ได้แก่ ประณามการกระทำของกองทัพกัมพูชาที่ละเมิดอธิปไตยของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ, ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ให้เอกอัครราชทูตของทั้งสองประเทศกลับประเทศตัวเอง, เรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซ้ำ และเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบ ยุติการโจมตีเป้าหมายทางทหารและพลเรือน และยุติการละเมิดอธิปไตยของไทย
อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าวนายนิกรเดชเน้นย้ำว่า มาตรการทางการทูตที่ไทยมีต่อกัมพูชายังไม่ถึงขั้น “ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต” ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำยาก เพราะหากตัดความสัมพันธ์ไปเลย ก็จะทำให้การเจรจาหาจุดร่วมหรือให้เกิดความสงบเป็นไปได้ยากขึ้น
“การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นเรื่องยาก เพราะเมื่อตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ช่องทางในการติดต่อ และ de-escalate หรือลดแรงกดดันที่มีอยู่ระหว่างสองฝ่ายจะถูกปิดประตูออกไป หรือทำให้การเจรจาหาจุดร่วม หรือให้มีสงบเกิดขึ้น เป็นไปได้ยากขึ้น ดังนั้นเรายังไม่ไปถึงจุดนั้น” นายนิกรเดช ระบุ
ทบ. สรุปพื้นที่มีคนไทยบาดเจ็บ-เสียชีวิต
ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 13.30 น. กองทัพบกสรุปตัวเลขความเสียหายตลอดครึ่งวันเช้า โดยได้รับรายงานเบื้องต้นจากส่วนราชการในพื้นที่ว่ามีพื้นที่พลเรือนตกเป็นเป้าหมายของอาวุธยิvสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา ทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย รวมถึงมีประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตใน 4 จังหวัด แบ่งเป็นเสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 14 ราย ดังนี้
1. พื้นที่บริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บ 10 ราย
2. พื้นที่บ้านโจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 2 ราย (ในจำนวนนี้เป็นเด็กชายอายุ 8 ปี) และบาดเจ็บ 2 ราย
3. พื้นที่บ้านกุดเชียงมุน, บ้านจันลา, บ้านโพนทอง ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย
4. พื้นที่บ้านขี้เหล็ก ต.บ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ส่งผลให้บ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงทางการเกษตรได้รับความเสียหาย
5. พื้นที่หมู่ 16 ต.บ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พบผู้บาดเจ็บ 1 ราย
6. พื้นที่บ้านหนองแรด ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ส่งผลให้บ้านเรือนได้รับความเสียหาย
7. พื้นที่บ้านนายบุญล่วม ทองวิเศษ หมู่ 9 ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืย จ.อุบลราชธานี ส่งผลให้บ้านเรือนได้รับความเสียหาย
รมช.กลาโหมลั่น “จะไม่อดทนแล้ว”
เหตุปะทะเช้านี้เกิดขึ้นหลังจากไทยลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา โดยเรียกทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศไทย และส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ หลังเย็นวันที่ 23 ก.ค. มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับsะเบิดระหว่างการลาดตระเวนแนวชายแดนของทั้งสองประเทศในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
พร้อมกันนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบตามที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสนอยกระดับการตอบโต้กัมพูชาด้วยการปิดจุดด่านผ่านแดน 4 จุดตามจังหวัดชายแดน ได้แก่ ช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม ช่องสายตะกู พร้อมปิดปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย โดยไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าเด็ดขาด
“ถ้าถึงขั้นนี้ก็คงไม่คุยกันแล้ว” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังได้รับรายงานเหตุปะทะของทหาร 2 ประเทศช่วงเช้าวันนี้ และวิจารณ์ว่า “จากประสบการณ์ผม ทหารกัมพูชาค่อนข้างไม่มีวินัย และยั่วยุ แต่ทางฝ่ายผู้บังคับบัญชาบอกว่ายึดแนวทางสันติ เพราะฉะนั้นผมก็มอง 2 อย่างคือ ถ้าผู้บังคับบัญชาจริงใจ ไม่ดำเนินการสอบสวนความเป็นจริง หรืออีกอย่างคือรัฐบาลไม่จริงใจ”
รมช.กลาโหมกล่าวว่า จากเหตุการณ์เมื่อ 23 ก.ค. ได้หารือกับกองทัพ และตกลงใจมอบอำนาจให้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในการอำนวยการต่อไป ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาตรา 39
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.20 น. ของวันนี้ ทางฝ่ายไทยได้ไปวางลวดหนาม แล้วฝ่ายกัมพูชาก็ยิvกลับมา
รมช.กลาโหม ขอให้ประชาชนคนไทยมั่นใจว่ากองทัพไทยจะปกป้องอธิปไตย ไม่ให้ใครมาล่วงล้ำดินแดนได้เป็นอันขาด และต้องกราบขออภัยและให้กำลังใจประชาชนตามแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบ
“ทางกองทัพไทยอดทนอดกลั้นมาถึงที่สุดแล้ว ต่อไปเราจะไม่อดทนแล้ว เพราะมันเป็นการปฎิบัติของทหารกัมพูชาที่เรารับไม่ได้ ฝากพี่น้องประชาชนให้กำลังใจกำลังพลที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2” พล.อ.ณัฐพลกล่าว
อย่างไรก็ตาม รมช.กลาโหม บอกว่า จะยังไม่ใช้แผนจักรพงษ์ภูวนารถที่กองทัพบกแจ้งไปเมื่อ 23 ก.ค. “ใช้เมื่อสั่ง แผนนี้ก็ต้องมาพูดคุยกันก่อน แต่วันนี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะเชิญ ผบ.เหล่าทัพมาหารือ”
ตั้ง ผบ.ทบ. เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
สำหรับการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.การจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาตรา 39 และดำเนินการตามแผนจักรพงษ์ภูวนารถ ได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมโดย พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย สรุปใจความสำคัญได้ว่า
พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการทางทหาร
- ผบ.ทสส. สั่งการให้กองทัพบกใช้แผนจักรพงษ์ภูวนารถ ซึ่งเป็นแผนเผชิญเหตุตามแผนป้องกันประเทศฝั่งตะวันออก มีผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
- ผบ.ทบ. มีอำนาจในการบัญชาการและการใช้กำลังทางบก และร้องขอการสนับสนุนกำลังทางอากาศและทางเรือเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติของกำลังทางบกตามแผนเผชิญเหตุ
- การปฏิบัติการทางทหารมี 2 ขั้นคือ ขั้นปกติ ขั้นปฏิบัติการ
- ปัจจุบันอยู่ในขั้นการปฏิบัติการ โดยใช้อาวุธยิvสนับสนุนของกองทัพภาคที่ 2 และการยิvสนับสนุนทางอากาศจากกองทัพอากาศ โดยมีเป้าหมายคือ ที่ตั้งกองกำลังทหารฝ่ายกัมพูชาเพื่อระงับเหตุการณ์
“ไม่มีการใช้อาวุธต่อเป้าหมายฝ่ายพลเรือนกัมพูชาแต่อย่างใด ทั้งนี้หากไม่สามารถระงับสถานการณ์ความรุนแรงหรือการใช้กำลังของฝ่ายตรงข้าม กองทัพจะพิจารณายกระดับการใช้กำลังสู่ขั้นการป้องกันประเทศในระดับต่อไป” โฆษกกองทบัญชาการกองทัพไทยแถลงเมื่อเวลา 15.30 น.
ทักษิณอ้าง “ฮุนเซนบัญชาการการยิvเข้ามาในเขตไทย”
ด้านความเคลื่อนไหวของ 2 พ่อลูกตระกูลชินวัตร หลังเกิดเหตุปะทะรุนแรงที่ชายแดน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ถูกสั่งพักงาน ออกมายืนยันว่า ฝ่ายกัมพูชาเริ่มยิvก่อน แต่ก็เหมือนเดิมเขาจะพูดว่าฝั่งเรายิvก่อน ซึ่งโลกสมัยนี้มีเครื่องมือมากมาย ส่วนตัวคิดว่าเรื่องเครดิตที่ทั่วโลกจะเชื่อถือกัมพูชาคงลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยชัดเจนแล้วว่าเขาเริ่มที่จะยิvมา
น.ส.แพทองธาร บอกด้วยว่า ได้พูดคุยกับนายภูมิธรรม พล.อ.ณัฐพล และกองทัพ ทราบว่าได้เตรียมความพร้อมแล้วที่จะดูแลประชาชน หากเทียบกับปี 2554 กองทัพไทยมีความพร้อมมากกว่า 2-3 เท่า และต้องขอส่งกำลังใจให้รัฐบาล กองทัพ เจ้าหน้าที่ รวมถึงประชาชน ขอให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้โดยเร็วที่สุด ถ้ามีอะไรที่ช่วยได้ก็จะทำให้เต็มที่ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง
จากนั้นเธอได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวระบุว่า ขอประณามกัมพูชาต่อการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย ตามข้อเท็จจริงว่าทางฝ่ายกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน และมีการยิvในวิถีไกลเข้าสู่เขตแดนไทย ถือว่าเป็นการละเมิดหลักปฏิบัติสากลตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักสิทธิมนุษชนและจริยธรรมอันดีอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
น.ส.แพทองธารบอกด้วยว่า ขอสนับสนุนทุกมาตรการตอบโต้ของรัฐบาล กองทัพ และกระทรวงการต่างประเทศภายใต้กรอบของกฎหมาย และหลักการสากล
เช่นเดียวกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบิดาของนายกฯ สื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเอกซ์ ระบุว่า วันนี้ฮุนเซนได้บัญชาการการยิvเข้ามาในเขตไทยแต่เช้า โดยเป็นฝ่ายยิvก่อนหลังจากที่วางกับดักsะเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งถือว่าได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และจริยธรรมของการอยู่ร่วมกันฉันท์เพื่อนบ้านที่ดี จนมีทหารไทยได้รับบาดเจ็บขาขาดถึง 2 คน รวมถึงประชาชนได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
“ไทยเราได้ใช้ความอดทน อดกลั้น เดินตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและการทำหน้าที่เพื่อนบ้านที่ดีครบถ้วนแล้ว ต่อไปนี้ทหารไทยสามารถตอบโต้ตามแผนยุทธการ และกระทรวงการต่างประเทศสามารถกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้ด้วยความชอบธรรม” นายทักษิณระบุผ่านเอกซ์
กัมพูชาตอบโต้ว่าอย่างไร

ที่มาของภาพ : ประชาสัมพันธ์กองทัพบก
ทางด้านความเคลื่อนไหวของกัมพูชา เช้านี้ (24 ก.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 08.40 น. รัฐบาลกัมพูชาออกมาประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยในระดับต่ำสุด (ระดับเลขานุการโท) เพื่อตอบโต้กรณีที่ทางการไทยเรียกทูตกลับ และให้ทูตกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ
คำสั่งดังกล่าวยังมีผลให้เจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในสถานเอกอัครราชทูตของกัมพูชาประจำประเทศไทย ต้องถอนตัวและเดินทางกลับกัมพูชา โดยห้วงเวลาเดียวกันนี้ยังกำหนดให้นักการทูตของไทยเดินทางออกจากกัมพูชาด้วย
แถลงการณ์สำนักงานคณะรัฐมนตรีของกัมพูชายังกล่าวต่อว่าการประกาศขับไล่นักการทูตไทยเกิดขึ้นหลังรัฐบาลไทยมีมาตรการตอบโต้ทางการทูตต่อกัมพูชา โดยนำเรื่องปมทุ่นsะเบิด “มาเป็นข้ออ้าง”
“ข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริงเช่นนี้ของไทย ถูกมองว่าเป็นความพยายามของไทยที่จะโยนความผิดมาให้กัมพูชา เพื่อทำให้การตอบสนองทางการทูตดูไม่สมเหตุสมผล การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดเจตจำนงที่ดีในการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจา และเลือกที่จะเผชิญหน้ากัน” แถลงการณ์ ระบุ

ที่มาของภาพ : Press OCM
เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. เพจเฟซบุ๊กของสำนักโฆษกสำนักคณะรัฐมนตรีกัมพูชา (Save of industrial of the Council of ministers) เผยแพร่แถลงการณ์ของ พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา มีเนื้อความระบุว่า ได้เกิดการปะทะด้วยการยิvระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชา บริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ จ.อุดรมีชัย (Oddar Meanchey) ของกัมพูชา โดยยืนยันว่า กองทัพไทยได้เปิดการยิvโจมตีกองทัพกัมพูชาก่อน
“กองทัพไทยได้เปิดการยิvโจมตีกองทัพกัมพูชาก่อน กองทัพกัมพูชาได้ใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของตนเองในการต่อต้านการคุกคามจากกองทัพไทยที่ละเมิดบูรณภาพดินแดนของกัมพูชา” แถลงการณ์ระบุ
ต่อมาหลังจากกองทัพไทยระบุถึงปฏิบัติการใช้เครื่องบินเอฟ-16 โจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินของกัมพูชา กระทรวงกลาโหมของกัมพูชาระบุว่า เครื่องบินรบได้ทิ้งsะเบิดสองลูกลงบนถนน และระบุว่า “ขอประณามการรุกรานทางทหารที่ประมาทและโหดร้ายของราชอาณาจักรไทยต่ออธิปไตยและความสมบูรณ์ของดินแดนของกัมพูชา”
นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ยังออกมาประณามไทยอย่างรุนแรง
“ขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ต่อการกระทำที่ไม่ยั้งคิดและมุ่งร้ายของไทย”
กัมพูชากล่าวว่า ทหารไทย “ได้เปิดการโจมตีโดยไม่มีการยั่วยุ จากฝ่ายกัมพูชา เป็นการโจมตีที่มีการวางแผนล่วงหน้าและจงใจต่อตำแหน่งของกัมพูชาตามพื้นที่ชายแดน” เมื่อเช้าวันพฤหัสบดี
“การรุกรานทางทหารที่ไม่มีการยั่วยุก่อนเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสันติภาพและความมั่นคงตามชายแดนที่เราร่วมกันเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการไม่เคารพในบรรทัดฐานทางภูมิภาคและภาระผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ” แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชากล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการทำสงครามใด ๆ และหลีกเลี่ยงการยั่วยุเพิ่มเติม
นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังส่งจดหมายถึงนายอาซิม อิฟติคาร์ อาหมัด ประธานคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เพื่อขอให้สหประชาชาติเปิดประชุมคณะมนตรีความมั่นคง “เร่งด่วน” เพื่อหยุดการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา
“พิจารณาจากการรุกรานที่ร้ายแรงโดยประเทศไทย ซึ่งได้คุกคามอย่างรุนแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้ท่านจัดประชุมเร่งด่วนของคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อหยุดการรุกรานของประเทศไทย” เนื้อความในจดหมายจากนายกฯ กัมพูชาระบุ
คนไทยชายแดนเร่งอพยพ
สุเทียน ผิวจันทร์ ชายวัย 49 ปี ซึ่งอยู่ที่บ้านด่านกลาง อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยกับ.ว่า ผู้คนในพื้นที่เริ่มอพยพแล้ว รวมถึงครอบครัวของเขาด้วย ซึ่งเขากำลังพาครอบครัวอพยพไปที่ศูนย์อพยพ อ.เบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
“หนักเลยครับ กำลังอพยพอยู่” สุเทียน กล่าว “ใส่กันตรงนั้นเลย ใส่กันตรงนั้น ใกล้ชายแดนที่มีคน ตอนนี้เด็ก ๆ ที่โรงเรียน ทุกคนกลัวกันมาก”
เมื่อถูกถามว่าเหตุการณ์นี้แย่กว่าครั้งก่อนหรือไม่ เขาตอบว่า “รอบนี้หนักไหม หนักครับ เพราะว่าไม่ได้ออกมาแค่ปืนเล็ก เอาของใหญ่มาเลย”
ที่มา BBC.co.uk