
ครม.เห็นชอบ ท่าอากาศยานไทยประมูล PPP โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ลุยเปิดประมูลได้ตัวผู้รับจ้างภายใน 5-6 เดือน ด้านรักษาการเอ็มดีบอกเปิดประมูลโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 และโครงการให้บริการคลังสินค้า ไม่เกิน ก.ค.นี้จบ
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 10 มิถุนายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) หรือ AOT (ท่าอากาศยานไทย) โดยเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในรูปแบบ PPP Rate มูลค่าของโครงการรวม 15,253 ล้านบาท
โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ท่าอากาศยานไทยจะดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกตามขั้นตอนพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพ.ศ. 2562 (พ.ร.บ.การร่วมลงทุน2562) มาตรา 36 ประกอบด้วย ผู้แทนเจ้าของโครงการ คือ ท่าอากาศยานไทย เป็นประธานกรรมการ ,ผู้แทนกระทรวงคมนาคม ,ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ,ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนยโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยตามขั้นตอน จะมีการจัดทำร่าง TOR และเปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน (Market Sounding) และประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมประมูล หลังจากได้ผู้ชนะการประมูลแล้ว จะเสนอคณะกรรมการ(บอร์ด) ท่าอากาศยานไทยเห็นชอบและเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอครม.ขออนุมัติต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน
นายสุริยะกล่าวว่าปัจจุบัน ผู้ให้ประกอบการบริการคลังสินค้า รายที่ 2 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (BFS Cargo) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนฯระหว่างบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กับสิงคโปร์ โดยสัญญาจะสิ้นสุดในเดือนต.ค.2569 ดังนั้น จึงต้องเปิดประมูลใหม่ โดยคาดว่าจะได้ตัวผู้ประกอบการใหม่ช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. 2569 เพื่อให้มีระยะเวลาเตรียมการประมาณ 6 เดือน ก่อนสัญญารายเดิมจะสิ้นสุด โดยบริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธิ์เข้าร่วมประมูลและหากได้รับคัดเลือกในฐานะเป็นผู้ประกอบการเดิมจะสามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง หากเป็นรายใหม่ ก็จะมีเวลาเตรียมการ 6 เดือน
“บริการคลังสินค้ารายที่ 2 ปัจจุบันมีศักยภาพรองรับสินค้าที่ 5 แสนตันต่อปีเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีของเมื่อ 20 ปีก่อน ขณะที่สัญญาใหม่ จะมีการปรับปรุงระบบการให้บริการ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และ AI เข้ามาช่วยในการบริการ จะทำให้เพิ่มศักยภาพการรองรับสินค้าในส่วนของผู้ให้บริการรายที่ 2 เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 2 เท่า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมระบุ
นายสุริยะกล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีผู้ให้ประกอบการบริการคลังสินค้าจำนวน 2 ราย ได้แก่ รายที่ 1 คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สัญญาสิ้นสุดปี 2583 และรายที่ 2 คือ บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด โดยมีขีดความสามารถรวมกันประมาณ 1.7 ล้านตันต่อปี โดยเมื่อได้สัญญาใหม่ของรายที่ 2 รวมกับ ผู้ประกอบการคลังสินค้ารายที่ 3 ที่ท่าอากาศยานไทยอยู่ระหว่างเปิดประมูลคัดเลือก จะทำให้เพิ่มศักยภาพรองรับสินค้าได้เป็น 2.5 ล้านตันต่อปี
ด้านนางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ท่าอากาศยานไทยกล่าวว่า ขณะนี้ ท่าอากาศยานไทยอยู่ระหว่างเปิดประมูลโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 และโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 โดยมีผู้ยื่นข้อเสนอแล้วอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯพ.ศ.2562คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนก.ค. 2568
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )