จีนไม่มา แข่งประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ ท่องเที่ยวไทย “เสื่อมมนต์ขลัง” แล้วหรือยัง ?

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

Article Recordsdata

    • Creator, วัชชิรานนท์ ทองเทพ
    • Characteristic, ผู้สื่อข่าว .

“เสื่อมมนต์ขลัง” “กินบุญเก่า” “ขาดความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย” “พึ่งพาแต่นักท่องเที่ยวจีน” เป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีหลังที่เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจสำคัญของไทย กำลังอยู่ในช่วงที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลดลงอย่างฮวบฮาบ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน

ข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในช่วง 5 เดือนแรก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมด 14.36 ล้านคน ลดลง 2.70% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้วที่มีอยู่ 14.76 ล้านคน

ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและท่องเที่ยวตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งนี้สะท้อนว่า “กินบุญเก่า” ไม่เพียงพอ เช่นเดียวกันกับ มาตรการต่าง ๆ ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว มาตรการฟรีวีซ่า 93 ประเทศ ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2567 เพื่อหวังกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังไม่ได้ผล

หากมองไปข้างหน้า ศูนย์วิจัยทางเศรษฐกิจหลายสำนักต่างเห็นตรงกันว่า โดยภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีอาจจะหดตัวลงจากที่เคยคาดไว้ อย่างศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยวิเคราะห์ไว้เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา มองว่า จำนวนนักท่องเที่ยวไทยอาจจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.8% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี

จากแนวโน้มดังกล่าว .ชวนนักวิชาการด้านการตลาดและผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวมาวิเคราะห์สภาพปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น และอะไรคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้เสาค้ำยันทางเศรษฐกิจของไทยนี้กำลังอยู่เข้าสู่จุดเสื่อมถอยลง

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Finish of ได้รับความนิยมสูงสุด

ไทยถึงจุดอิ่มตัวทางการท่องเที่ยวแล้วหรือยัง

38 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยหันมาใช้ทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติ สังคมและวัฒนธรรมเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวจนกลายเป็นต้นแบบความสำเร็จให้กับอีกหลายประเทศ ด้วยแคมเปญ “ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย” หรือ “Seek the advice of with Thailand Year 1987”

รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้จัดให้เป็นวาระแห่งชาติในวาระสำคัญที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ จึงทำให้ทุกภาคส่วนผนึกกำลังส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยมีภาคเอกชนทุกภาคส่วน ผู้ประกอบการโรงแรม สายการบิน บริษัทนำเที่ยวร่วมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งปี ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ในปีนั้นคือ การเติบโตของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นราว 23% จากเดิมที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 2.82 ล้านคน มาเป็น 3.Forty eight ล้านคน

จากวันนั้น ผ่านมาแล้วเกือบ 40 ปี แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 10 เท่า ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 35.54 ล้านคน แต่เมื่อพิจารณาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 อัตราการเติบโตก็ไม่ได้มากนัก ยิ่งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนซึ่งถือว่าเป็นตลาดหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึง 21.56% ในปี 2567 หรือกว่า 1 ใน 5 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด หายไป ยิ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

“ผมประเมินว่า การท่องเที่ยวไทยในขณะนี้มีแนวโน้มถึงจุดอิ่มตัว” อาจารย์ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกกับ.

เขากล่าวว่า จุดอิ่มตัวเป็นทั้งในแง่แหล่งท่องเที่ยวหรือซัพพลายที่ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลัก อาจจะด้วยเหตุผลของโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่ไม่สะดวก ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางมากับบริษัททัวร์ก็เริ่มลดลงตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ที่คนเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยระยะหลังมักจะเป็นนักท่องเที่ยวด้วยตนเอง และเป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์แปลกใหม่ ดังนั้น แหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม ๆ อาจจะดึงดูดให้พวกเขาเข้ามาเยี่ยมเยือนได้เพียงแค่ครั้งสองครั้ง พวกเขาจึงต้องการหาแหล่งท่องเที่ยวและประสบการณ์ใหม่

ขณะเดียวกัน ในด้านความต้องการจากนักท่องเที่ยว นับตั้งแต่ก่อนช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 นักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มเข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางของการท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รายนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อตลาดหลักนี้หายไป ย่อมกระทบภาพรวมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดให้บริการเพื่อรองรับกระแสดังกล่าว

“ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนก็มีการลดลงค่อนข้างมาก และยังมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวจีนอาจจะมีจำนวนไม่ถึง 5 ล้านด้วยซ้ำ อาจจะลดลงไปถึง 2 ล้านคน นอกจากจีนแล้วยังมีตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทยอย่าง มาเลเซีย และเกาหลีใต้ที่หดตัวด้วยเช่นกัน” เขาอธิบายและตั้งคำถามว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจจะหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดนักท่องเที่ยวตลาดใดตลาดหนึ่งในอนาคต

ความไม่เชื่อมั่นความปลอดภัย-ฉ้อโกงนักท่องเที่ยว ปัญหาเที่ยวไทยที่ยังแก้ไขไม่ได้

ข่าวครึกโครมที่เกิดขึ้นกับ หวัง ซิง หรือ ซิง ซิง นักแสดงชาวจีนถูกลวงลวงให้มาแคสติ้งบทนักแสดงในไทย แต่ถูกส่งต่อไปโดยกระบวนการค้ามนุษย์ในเมืองสแกมเมอร์ติดชายแดน จ.ตาก ที่เป็นที่พูดกันอย่างกว้างขวางในเว่ยป๋อ สื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมในจีนเมื่อช่วงต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา กลายเป็นภาพสะท้อนถึงปัญหาด้านความปลอดภัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางการท่องเที่ยวและส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักท่องเที่ยวชาวจีน

บทวิเคราะห์จากสำนักวิจัยหลายสำนักสะท้อนปัจจัยที่มีผลต่อการท่องเที่ยวได้ในแง่มุมต่าง ๆ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่บทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.พ. ปีนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับด้านความปลอดภัย หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดาราจีน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่มีผลต่อนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียด้วย

ที่มาของภาพ : BBC Thai/STR

นายหวัง ซิง ดาราจีนที่มีรายงานว่าหายตัวไปจากชายแดนไทย ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา กลายเป็นผลกระทบเชิงลบต่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีน ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

อีกปัจจัยที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหานี้คือส่วนหนึ่งของรายงานของสถาบันเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ในหัวข้อที่ว่า Scamper back and forth Vogue 2025 ซึ่งเผยแพร่ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ระบุถึงการฉ้อโกงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยระบุว่ากรุงเทพมหานครมีรายงานการถูกฉ้อโกงเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในระดับสูงกว่าหลายเมืองท่องเที่ยวชั้นนำอย่างเช่น นครซานฟรานซิสโก ของสหรัฐฯ กรุงดับลิน ของไอร์แลนด์ กรุงโซลของเกาหลีใต้ กรุงบูดาเปสต์ของฮังการี และเมืองเอดินบะระของสกอตแลนด์

ในข้อมูลดังกล่าวระบุด้วยว่า รูปแบบการฉ้อโกงที่พบมากที่สุดของกรุงเทพมหานครคือ หมวดรถแท็กซี่และรถเช่า (Forty eight%) ตามมาด้วยหมวดบริการด้านอาหาร (34%) และบริษัททัวร์ (9%)

ก่อนหน้านั้นในเดือน เม.ย. ผลการสำรวจของดรากอน เทรล อินเตอร์เนชันแนล รายงานว่า ชาวจีนมีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 19% ขณะที่ 51% มองว่าประเทศไทยมีความไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นอันดับที่ลดลงจากการสำรวจในเดือน ส.ค. ปี 2567

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

อาจารย์ภากร ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเพจ “อ้ายจง” ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจีน อธิบายว่า กระแสพูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์ของจีนเกี่ยวกับไทยก็มีผลต่อการตัดสินใจการท่องเที่ยวของชาวจีน และยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ามาในไทยโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ ข่าวที่ว่า คือ การลวงลวงฉ้อโกงนักท่องเที่ยว รวมถึงคลิปวิดีโอต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวจีนจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ไทยเพื่ออำนวยความสะดวกแบบบุคคลสำคัญ หรือ วีไอพี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ใครก็ตามมีเงินก็สามารถทำอะไรต่าง ๆ ได้ ยิ่งเป็นภาพสะท้อนปัญหาว่าอาจจะมีช่องว่างที่กลุ่มทุนสีเทาสามารถเข้ามาปักหลักทำกิจกรรมต่าง ๆ ในไทยได้

เขามองว่า การทำหน้าที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการกู้ภาพลักษณ์ประเทศผ่านกลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ สามารถสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกได้ แต่หากว่า นักท่องเที่ยวเดินทางมาด้วยตนเอง แต่กลับเจอประสบการณ์แย่ ๆ จากผู้ประกอบการไทย ก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก

“ปัญหาหลัก ๆ คือ หน่วยงานบังคับกฎหมาย จัดการด้านความปลอดภัย ควบคุมกลไกราคาของผู้ประกอบการต่าง ๆ และการเดินทางที่ปลอดภัย จึงอยากให้หน่วยงานรัฐทำหน้าที่ให้ครบสมบูรณ์ทั้งหน่วยงานส่งเสริม และฝ่ายปราบปรามการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวให้เด็ดขาด” ผู้ก่อตั้งเพจอ้ายจง อธิบาย

ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลด -5 เดือนแรกปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวเวียดนามแซงไทย

วาริธร ศิริสัตยะวงศ์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกกับ.ว่า ปัจจัยสำคัญอีกประการอาจจะอธิบายให้เห็นภาพชัดว่า “การกินบุญเก่าไม่ได้อีกแล้ว” นี่คือ สัญญาณเตือนอันตราย (Be-cautious name) ถึงขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยลดลง ในขณะที่ประเทศคู่แข่งมีพัฒนาการที่สวนทางกับไทย

เธอยกตัวอย่าง ดัชนีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของไทยประจำปี 2567 ที่จัดทำขึ้นโดย สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Dialogue board – WEF) ทุก ๆ สองปี ซึ่งภาพรวมของไทยลดลงจากอันดับที่ 35 ในปี 2564 มาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2567 ถือว่าเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะ ในส่วนมิติความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยว ที่หล่นจากลำดับ 71 ในปี 2564 มาอยู่ที่อันดับ 107 ในปี 2567 จากทั้งหมด 119 ประเทศ

“สิ่งที่สะท้อนให้เห็นผลพวงจากสภาพการณ์ดังกล่าวในปีที่แล้ว ก็คือ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ” เธออธิบายและเสริมว่าเป็นภาพแตกต่างจากที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นและเวียดนาม ที่ยังคงมีอัตราการเติบโตจากตลาดนักท่องเที่ยวจีน

ที่มาของภาพ : Thai Recordsdata Pix

ถนนบรรทัดทอง ซึ่งเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นถนนที่ “คูล” ที่สุดอันดับ 14 ของโลกประจำปี 2024 โดยนิตยสาร Time Out ปัจจุบันกลับเงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด จากข้อมูลของผู้ประกอบการในพื้นที่ ระบุว่า ร้านอาหารกว่า 300 แห่งในย่านนี้กำลังเผชิญกับยอดขายที่ลดลงราว 40-50% ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงถึง 80-90% จากช่วงก่อนโควิด

ที่มาของภาพ : Thai Recordsdata Pix

ครั้งหนึ่งย่านถนนบรรทัดทองเคยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ในวันนี้ บรรยากาศที่ซบเซาลง แม้ว่าจะพบมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เท่ากับเมื่อปีก่อน โดยผู้ประกอบการบอกว่า ยอดนักท่องเที่ยวลดลงราว 30-40% หลังจากมีรายงานว่า ราคาอาหารแพงและคุณภาพไม่เป็นอย่างที่มีการรีวิวทางสื่อสังคมออนไลน์ จึงทำให้ผู้ประกอบการบางรายตัดสินใจถอนตัวไป

ที่มาของภาพ : Watchiranont Thongtep/BBC Thai

อมรรัตน์ เก้าเอี้ยน ผู้จัดการร้านหมูกระทะ “ตั้งอยู่” บอกกับ.ว่า เมื่อปีที่แล้วช่วงต้นปีถึง พ.ค. มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยที่ร้านมีลูกค้าต่างชาติราว 60% กว่าครึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่พอมาปีนี้ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้หายไปเลย จึงทำให้ทางร้านต้องปรับเวลาทำงานพนักงาน 10 คน ให้เหมาะสมกับการควบคุมต้นทุนไปพร้อม ๆ กับรายได้ที่อาจจะลดลง รวมทั้งการเพิ่มการโปรโมตให้ลูกค้าคนไทยเข้ามาใช้บริการมากขึ้น

ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น ระหว่าง ม.ค.- เม.ย. ปีนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน 3.13 ล้านคน เติบโตถึง 68.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และถือว่าตลาดที่เติบโตสูงสุด ขณะที่ข้อมูลสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม ระบุว่าในช่วง ม.ค. – พ.ค. ปีนี้ มีนักท่องเที่ยวชาวจีนราว 2.36 ล้านคน เติบโตถึง 47.2% จากตัวเลขดังกล่าวถือว่าแซงหน้าไทยแล้ว

เพราะจากข้อมูลของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงท่องเที่ยวฯ ของไทย ได้คาดการณ์ว่า 5 เดือนแรก มีนักท่องเที่ยวชาวจีน (จากจีนแผ่นดินใหญ่ มาเก๊า และฮ่องกง) 2.21 ล้านคน ซึ่งลดลงราว 32.72% จากปีที่แล้ว ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยว 3.24 ล้านคน

ที่มาของภาพ : Thai Recordsdata Pix

ธีร์ วัฒน์เสถียร ผู้จัดการร้านสว่าง บะหมี่ก้ามปู บรรทัดทอง เสนอแนะว่า อยากให้ร้านค้าต่าง ๆ รักษาคุณภาพและรสชาติของอาหาร เพื่อรักษาฐานลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ ส่วนนักท่องเที่ยวที่หายไป ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาได้มาเยือนมาเช็คอินและถ่ายรูปตามกระแสไปแล้ว จึงต้องการมีประสบการณ์ท่องเที่ยวย่านอื่น ๆ อย่างในปัจจุบันคือ ย่านทรงวาด

คู่แข่งเร่งเครื่อง-จีนโปรโมตเที่ยวในประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังประเมินอีกว่า การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูงขึ้น รัฐบาลในหลายประเทศมีการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น เกาหลีใต้ เตรียมเสนอมาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยวในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยวจีน มาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย ขณะที่เวียดนามเตรียมออกมาตรการวีซ่าระยะยาว 10 ปี (10-year Golden Visa) ดึงดูดชาวต่างชาติและกระตุ้นการลงทุน

วาริธร จากศูนย์วิจัยกสิกรไทย อธิบายเสริมโดยยกตัวอย่างเวียดนามว่า ข้อได้เปรียบของเวียดนามเมื่อเปรียบเทียบกับไทยคือ ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่ถูกและคุ้มค่ากว่าในไทย เนื่องจากหลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ค่าครองชีพในไทยก็เพิ่มสูงขึ้น ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้้นที่ได้รับผลกระทบ นักท่องเที่ยวก็ไม่มีข้อยกเว้น

ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวชาวจีนรุ่นใหม่เป็นกลุ่มรายได้ระดับปานกลาง จึงเน้นการท่องเที่ยวตามกระแส แต่ก็เลือกสถานหรือกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก ซึ่งดูเหมือนเวียดนามจะเป็นจุดมุ่งหมายใหม่สำหรับพวกเขา

อาจารย์ภากรจาก ม.เชียงใหม่ ให้ทัศนะเพิ่มเติมจากประสบการณ์ตรงที่เคยพบเห็นว่า ที่เชียงใหม่ก็เคยพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ตอนนี้ก็ซบเซา เขาตั้งข้อสังเกตว่า หากพิจารณาเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนโดยย้อนกลับไปก่อนที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะกลายเป็นกระแสธารหลักของการท่องเที่ยวไทย จริง ๆ แล้วก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการลงทุนจากจีนเช่นกัน

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

บรรยายกาศคึกคักที่สนามบินในนครโฮจิมินห์ในช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

“หากพิจารณาสถานการณ์ของไทยในช่วงก่อนการระบาดโรคโควิด-19 ขณะนั้น ไทยและจีนดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน บรรยากาศเช่นนั้นทำให้สามารถดึงดูดทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยว อย่างเช่น โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจีน ลาว และไทย” เขาอธิบาย

.ย้อนดูข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโควิด-19 พบว่า ประเทศจีนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุดเป็นครั้งแรกและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และในปี 2019 มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 2.9 แสนล้านบาท ในกว่า 270 โครงการ ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไทยเริ่มเป็นเป้าหมายการลงทุนและการท่องเที่ยวของจีนในขณะนั้น ขณะที่ในปี 2567 จีนอยู่ในลำดับสองที่ขอรับการส่งเสริมสูงสุด 810 โครงการ ด้วยมูลค่า 1.74 แสนล้านบาท

อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ม.เชียงใหม่ ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะดังกล่าวคล้ายคลึงกับสถานการณ์ในตอนนี้ที่เวียดนาม ซึ่งกำลังเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวที่สดใหม่ โดยไม่ใช่เพียงโอกาสทางการค้าการลงทุนเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย

ยิ่งหากมองในแง่ภูมิรัฐศาสตร์แล้ว อ.ภากร มองว่า เวียดนามมีจุดเด่นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีเสน่ห์ในด้านการลงทุน ยิ่งทำให้คนอยากเดินทางไปท่องเที่ยว ที่สำคัญทางการเวียดนามเองก็แนวนโยบายต่างประเทศแบบไผ่ลู่ลม ซึ่งยังคงมีความสัมพันธ์อันดีกับจีนเพื่อดึงดูดนักลงทุน ในขณะที่ความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาก็ไม่ทิ้ง

“สิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ชัดคือ ผู้นำต่าง ๆ ของโลกต่างเดินทางเยือนเวียดนามไม่ว่าจะเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกา ล่าสุดก็ผู้นำฝรั่งเศส แม้แต่ผู้นำจีนก็ยังเดินทางไปเยือน เป็นการตอกย้ำว่า เวียดนามมีจุดเด่นอะไรบ้างมากกว่าเราในตอนนี้” เขายกตัวอย่าง

ที่มาของภาพ : Getty Pictures

“เขาไม่ได้ห้ามนักท่องเที่ยวออกเที่ยวในต่างประเทศ แต่เขากลับมากระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ…” อ.ภากร อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ม.เชียงใหม่ อธิบาย

“ยิ่งหากพิจารณาถึงรูปแบบการบริหารประเทศซึ่งจีนเป็นสังคมนิยม จะเป็นในลักษณะภาครัฐนำ ภาคเอกชนตาม ดังนั้นเราสามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า ถ้าในยุคไหนทางรัฐบาลจีนจะพยายามเบนเข็มไปที่ไหน ก็มักจะมีในส่วนของการลงทุน รวมถึงการไหลของผู้คนไปพื้นที่นั้นด้วย”

นักวิชาการรายนี้เน้นย้ำอีกว่า นอกจากประเทศในภูมิภาคนี้จะเป็นคู่แข่งของไทยที่ต่างก็ปรับตัวแล้ว การที่จีนกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเองก็ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนมายังไทยด้วย

“เขาไม่ได้ห้ามนักท่องเที่ยวออกเที่ยวในต่างประเทศ แต่เขากลับมากระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ (home consumption) เพื่อนำมาชดเชยภาคการผลิตและการส่งออกที่กำลังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ” เขาอธิบาย

เสนอเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสพักฟื้นทางการท่องเที่ยว

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าจำนวนท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 39-40 ล้านคน สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์อาจจะไม่เป็นอย่างที่คาด หลังจากนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัว มีผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสงครามภาษีทรัมป์

ด้วยปัจจัยดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า รายได้ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติที่กระจายสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.62 ล้านล้านบาท หดตัว 3% จากปี 2567 คาดว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี

ก่อนหน้านั้นในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ก็ออกบทวิเคราะห์ปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลดลงจาก 40 ล้านคน มาอยู่ที่ 35 ล้านคน

อาจารย์ภากร เสนอแนะว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสพักฟื้น” โดยกลับมามองว่าจะเพิ่มขีดความสามารถด้านท่องเที่ยวได้อย่างไรให้เติบโตยั่งยืนในระยะยาว เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อย่างโครงข่ายด้านคมนาคมในเมืองรอง ๆ เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวไม่ให้กระจุกตัวอยู่เพียงเมืองหลัก รวมทั้งสะสางเรื่องที่เป็นปัญหาหลัก ๆ อย่างเช่น ประเด็นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว กวาดล้างทุนเทา เพราะลำพังการโปรโมตการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่สามารถช่วยได้

ที่มาของภาพ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

“โจทย์ใหญ่สำคัญของการท่องเที่ยวไทยในตอนนี้คือ เราจะทำอย่างไรจึงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ใช้จ่ายมากขึ้น เดินทางซ้ำ และมีระยะเวลาพักผ่อนมากขึ้น” วาริธร ตั้งคำถาม

“บทเรียนสำคัญที่ได้รับจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนทำให้เราต้องหลีกเลี่ยงการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่ง หากลองมาพิจารณาดูตลาดระยะไกล ก็มีแนวโน้มบวก เฉพาะตลาดอย่างยุโรป คำถามใหญ่คือ เราจะขยายเวลาพักผ่อนของพวกเขาและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากขึ้นอย่างไร” เขาตั้งคำถาม

อย่างไรก็ตาม ตามมุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองประเด็นนี้ว่า ตลาดหลัก ๆ ที่กำลังเติบโตในปีนี้ มาจากนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป เช่น รัสเซีย เยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสายการบินยุโรปมีการขยายเส้นทางการบินตรงและเพิ่มความถี่มาไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของตลาดเหล่านี้ น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะจีนได้

“โจทย์ใหญ่สำคัญของการท่องเที่ยวไทยในตอนนี้คือ เราจะทำอย่างไรจึงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่ใช้จ่ายมากขึ้น เดินทางซ้ำ และมีระยะเวลาพักผ่อนมากขึ้น” วาริธร ตั้งคำถามทิ้งท้าย