
‘สภาผู้บริโภค’ ยื่นคำร้อง ‘รอบ 3’ ขอ ‘ศาลปกครอง’ ไต่สวนฉุกเฉินฯ-ทุเลาบังคับประกาศ ‘กสทช.’เปิดประมูลคลื่นฯ อ้างอาจเกิดความ ‘เสียหาย’ ยากจะเยียวยาในภายหลัง
……………………………..
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายวศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาผู้บริโภคได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลฯไต่สวนฉุกเฉินและทุเลาการบังคับใช้ประกาศของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลในย่าน 2100 MHz และ 2300 MHz เป็นครั้งที่ 3
“การยื่นคำร้องซ้ำหลายครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความห่วงใยต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากมีการประมูลคลื่นทั้ง 2 ย่านความถี่ โดยไม่ได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน ซึ่งอาจผูกพันสัญญาใช้งานนานถึง 15 ปี สร้างภาระระยะยาวแก่ผู้บริโภคและประเทศ เปรียบเสมือนไฟไหม้บ้านทั้งหลัง ที่ยากจะเยียวยาในภายหลัง” นายวศิน กล่าว
ก่อนหน้านี้ สภาผู้บริโภค ยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ในย่าน 2100 MHz และ 2300 MHz เนื่องจากเห็นว่า เป็นประกาศฯที่อาจขัดต่อหลักกฎหมาย และทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งเกิดการผูกขาดตลาด เนื่องจากมีผู้ให้บริการโทรคมนาคมเพียง 2 รายเท่านั้น เข้าร่วมการประมูลฯ
พร้อมกันนั้น สภาผู้บริโภค ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง โดยขอให้ศาลฯเปิดไต่สวนฉุกเฉินและทุเลาการบังคับใช้ประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลในย่าน 2100 MHz และ 2300 MHz แต่ศาลฯยกคำร้องทั้ง 2 ครั้ง เนื่องจากศาลฯเห็นว่า กรณีดังกล่าวยังไม่ปรากฏกรณีเร่งด่วนเพียงพอที่ศาลจะต้องดำเนินการไต่สวนฉุกเฉินตามคำร้องฯ
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค รักษาการแทน เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ประกาศ กสทช. ที่กำหนดให้ผู้ชนะประมูลต้องมีโครงข่ายครอบคลุมในระดับตำบล เป็นเงื่อนไขที่ขัดต่อหลักการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ ตาม พ.ร.บ.กสทช. พ.ศ. 2553 และแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2567- 2571) ซึ่งเน้นยุทธศาสตร์การส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และเปิดกว้างแก่ผู้ประกอบการหน้าใหม่
นอกจากนี้ การกำหนดให้วางเงินประกันสำหรับการเข้าร่วมประมูลในแต่ละกลุ่มความถี่ และการไม่อนุญาตให้ประมูลข้ามกลุ่ม เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายย่อยหรือรายใหม่ ที่อาจมีข้อจำกัดด้านเงินทุน ส่งผลให้ตลาดโทรคมนาคมยังคงตกอยู่ในมือของผู้เล่นรายใหญ่เท่านั้น
“ถ้าหากการประมูลครั้งนี้มีการวางเงื่อนไขที่ปิดกั้นผู้เล่นรายใหม่ตั้งแต่ต้น การประมูลคลื่นครั้งนี้คงไม่ใช่การประมูล แต่เป็นการประมูลคลื่นให้กับสองรายใหญ่มากกว่า” นายอิฐบูรณ์ กล่าว
ขณะที่ นางประจวบ ทิทอง ตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคจากศูนย์คุ้มครองผู้บริโภค เขตบึงกุ่ม ระบุว่า การที่ประกาศ กสทช. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ฯในรอบนี้ กำหนดอายุใบอนุญาตใช้คลื่นฯ 15 ปี โดยไม่กำหนดเพดานราคาค่าบริการนั้น ทำให้กังวลว่าในอนาคตประชาชนอาจต้องจ่ายแพ็กเกจแพงขึ้น ทั้งยังมีบริการแถมที่ไม่จำเป็น เช่น ประกัน หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ใช้จริง จึงอยากให้ศาลฯมองเห็นว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ที่กระทบผู้บริโภคในระยะยาว
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )