
ระหว่างวันที่ 19-25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวอิสระได้มีโอกาสท่องเที่ยวในจังหวัดนราธิวาสและปัตตานีกับมิตรสหายในพื้นที่ ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่น่าจะเป็นการท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนใต้เป็นครั้งแรก หากไม่รวมความทรงจำอันพร่าเรือนในอดีต ซึ่งไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้
หลังมาถึงที่พักอย่างปลอดภัย มีรายงานในเช้าวันต่อมาว่าเกิดเหตุsะเบิดที่งานกาชาดปัตตานี และเหตุลอบวางsะเบิดตำรวจนราธิวาส หลังกลับมาถึงกรุงเทพแล้วก็มีเหตุความรุนแรงอีก ระหว่างเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ท้องถนนเต็มไปด้วยด่านตรวจ และโปสเตอร์หมายจับขนาดมหึมา บางครั้งมีการถ่ายภาพยานพาหนะของผู้สัญจรไปมาจากเจ้าหน้าที่ โดยไม่แจ้งล่วงหน้าใดๆ แต่บางครั้งก็ไม่พบเจ้าหน้าที่ มีเพียงด่านตั้งไว้ให้ยานพาหนะขับหลบสิ่งกีดขวางราวกับอยู่ในสถาบันสอนการขับขี่
การมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในระดับพื้นผิวทำให้อดถามไม่ได้ว่า “ปลอดภัยหรือไม่” เมื่อความไม่สงบเริ่มกลับมา หลังการเจรจาเข้าสู่ภาวะชะงักงัน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์รัฐบาลว่าขาดความชัดเจนในการดำเนินนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลสั่นคลอน ภายใต้ความไม่ปกติเช่นนี้ ผู้รับหน้าที่ในการสื่อสารกับผู้มาเยือนคือพลเมืองในท้องถิ่นที่คอยถามไถ่ว่ารู้สึกกังวลหรือไม่ และบอกให้อุ่นใจเสมอว่าที่นี่ปลอดภัย ไม่อันตรายอย่างที่คิด และชื่นชมในความกล้าหาญของผู้มาเยือนตลอดการเดินทาง
ภาพโดย เกาซัร
ศิลปะเพื่อสันติภาพ
De’Lapae Art Home เป็นพื้นที่ศิลปะร่วมสมัย ตั้งอยู่ที่บางนรา จังหวัดนราธิวาส ก่อตั้งโดย ผศ. คีต์ตา อิสรั่น และ ดร. ปรัชญ์ พิมานแมน ศิลปินและอาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) นอกจากเป็นพื้นที่ศิลปะยังมีส่วนที่เป็นร้านกาแฟชื่อว่า D’ Art Cafe & Espresso Lab หน้าร้านมีใบรับรอง Arabica Q Grader ตั้งอยู่ด้วย
“ทำไมดูเป็นภาษาฝรั่งเศสมากๆ (ทั้งที่ตั้งอยู่ภาคใต้) ขอตอบตรงนี้ว่านอกจาก De’ ที่นำหน้าชื่อแล้ว ชื่อหอศิลป์แห่งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับฝรั่งเศสเลยแม้แต่น้อย เพราะ “ลาแป” มาจากคำมลายูที่หมายถึงเลข 8 และความเป็นอนันต์ ซึ่งคำเดียวกันนี้ก็ยังพ้องเสียงกับคำว่า “ลาปัน” ที่แปลว่าพื้นที่กว้างใหญ่ หรือสเปซ อีกด้วย” ตามข้อมูลของนิตยสาร Art4D
แทนที่จะใช้กำลังประหัตประหารกัน De’Lapae Art Home นำเสนอเส้นทางสู่สันติภาพในลักษณะต่างออกไป กล่าวคือใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการสนทนา แทนที่จะปล่อยให้การคลี่คลายความขัดแย้งเป็นเพียงหน้าที่ของบรรดาผู้นำ
คุณลีน่า ผู้นำชมการจัดแสดงเล่าว่าสถานที่แห่งนี้มีการจัดแสดงงานศิลปะตลอดปี และมีผลงานใหม่ของศิลปินปีละ 2-3 ครั้งตามแต่โอกาส ศิลปินที่มาจัดแสดงมักเป็นศิลปินมลายู ผู้เยี่ยมชมมักเข้ามาเยี่ยมชมหนาแน่นกว่าปกติในช่วงที่มีการเริ่มจัดแสดง ประกอบด้วย ครู นักเรียน บุคคลทั่วไป ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ
งานศิลปะที่จัดแสดงในช่วงนี้ คือ “ฤดูกาลเบิกบาน” MUSIM BERBUNGA โดย อับดุลฮากีม ยูโซ๊ะ จัดแสดงระหว่าง 1มิ.ย. – 31 ส.ค. อาจตีความได้ว่าเป็นผลงานชุดนี้เป็นนวัตกรรมการอนุรักษ์ เมื่อเข้าไปในห้องนิทรรศการจะพบภาพงานออกแบบจำนวนมาก จำแนกเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบต่างๆ พร้อมกับภาพลวดลายดอกไม้ ซึ่งคุณลีน่าระบุว่าเป็นเอกลักษณ์ของมลายู
นอกจากนี้ยังมีบันทึกของศิลปินเกี่ยวกับชื่อโครงการที่คิดไว้ในใจ เช่น “วาดเมืองในความทรงจำ” “วาดอดีตที่สาปสูญ” “ช่วงหนึ่งของความรุ่งโรจน์” และ “บันทึกประวัติศาสตร์ผ่านงานวาดเส้น” ภายใต้แนวคิดคือ “การสื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ว่าครั้งหนึ่งเมืองอังกาสุกะมีอยู่ในดินแดนปาตานี ไม่ใช่อุปโลกหรือเรื่องเล่าชาดกที่เล่าต่อๆ กันมา”
ตัวอย่างผลงานชุด “ฤดูกาลเบิกบาน” 20 มิ.ย. 2568 ภาพจาก ‘เกาซัร’
ตัวอย่างผลงานชุด “ฤดูกาลเบิกบาน” 20มิ.ย. 2568ภาพจาก ‘อานีซะ’
นอกจากจัดแสดงงานศิลปะของศิลปินท้องถิ่น De’Lapae Art Home ยังมีบทบาทในการจัดงานนิทรรศการสำคัญในกรุงเทพฯ รวมถึงเปิดรับศิลปินจากต่างประเทศมาพำนักที่นราธิวาส และมีการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น การจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้กับเด็ก การรับบริจาคเสื้อผ้าเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเมื่อปลายปีที่แล้ว ไปจนถึงทำงานประสานกับเครือข่ายในแวดวงศิลปะอีกหลายแห่ง
ที่จะเห็นได้จับมือร่วมงานกันบ่อยๆ คือ P.artwork.y Gallery Pattani ก่อตั้งโดย ดร. ปรัชญ์ พิมานแมน ร่วมกับ ผศ. ดร. อัญชนา นังคลา และอาจารย์ณัฐพล พิชัยรัตน์ ซึ่งมาจาก มอ. เช่นกัน ชื่อโครงการ “มาจากการผสมคำเข้าด้วยกันระหว่าง P แทนคำว่า ‘Pattani’ ปัตตานี ‘ART’ ที่แปลว่าศิลปะ และ ‘Y’ ที่มาจาก Gen Y” ซึ่งเป็นรุ่นอายุของกลุ่มผู้ก่อตั้ง เป็นการ “ออกแบบและปรับปรุงพื้นที่โกดังเก่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้กลายมาเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะและคาเฟ่”
P.artwork.y Gallery Pattani มีโอกาสได้ต้อนรับบุคคลสำคัญ เช่น เอกอัครราชทูตสหรัฐ และอดีตสมาชิกวุฒิสภาปัจจุบันมีการจัดแสดงผ้าลวดลายต่างๆ รวมถึงพร้อมขายของที่ระลึกให้ผู้คนซื้อติดไม้ติดมือ ในร้านมีการ์ดเกมส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว และมีกาแฟที่ปัจจุบันค่อนข้างหาได้ยากตามท้องตลาดของไทย เช่น กาแฟสายพันธุ์ไลเบอริกาจากมาเลเซีย และกาแฟอาราบิกาจากเยเมน
โซนของที่ระลึกของ P.artwork.y Gallery Pattani 22 มิ.ย. 2568 ภาพจาก ‘อานีซะ’
Lyft: ธุรกิจครอบครัวสู่วิสาหกิจเพื่อสังคม
ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี มีร้านกาแฟแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมถนน AH18 ใกล้กับโรงพยาบาลยะหริ่ง และสนามกีฬาเทศบาลตำบลยะหริ่ง เดิมทีผืนดินที่ตั้งของร้านเคยเป็นที่นาของครอบครัวของไซยิดฮัดรีย์ อัลอิดรุส (ไซยิด) หลังจากจบการศึกษา ไซยิดตั้งใจกลับบ้านมาทำธุรกิจปลากระพง แต่เนื่องจากตลาดมีความผันผวนและปลากะพงมาเลเซียทะลักเข้าไทย เขาจึงตัดสินใจหันมาทำธุรกิจร้านกาแฟกับน้องชาย
ร้านแห่งนี้ชื่อว่า Lyft ซึ่งไซยิดตั้งตามชื่อพี่ชายผู้ร่วมก่อตั้งที่เสียไป เพื่อให้รู้สึกว่าเหมือนยังอยู่ด้วยกัน ร้านแห่งนี้เปิดมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว เริ่มต้นมาจากการได้แนวคิดจากพี่สาวว่าในรัศมี 10 กิโลเมตร ยังไม่มีใครเปิดร้านที่เป็นกาแฟสด บวกกับไซยิดสังเกตจากประสบการณ์ตอนที่เลี้ยงปลาว่าทิวทัศน์น่าจะเป็นจุดขายได้
“เรารู้สึกว่าวิวมันดีมาก เวลาลมมาปะทะหน้าหรือว่าอะไรแบบนี้ เรารู้สึกว่า เอ้ย ชอบ น่าจะมีคนชอบเหมือนเรา ก็เลยคิดไปเอง” ไซยิดพูดแล้วหัวเราะ
บรรยากาศที่ร้าน Lyft 21 มิ.ย. 2568 ภาพจากมิตรสหายผู้สื่อข่าว
ต่างจากที่รัฐและสังคมมองเข้ามา อุปสรรคของการประกอบกิจการสำหรับไซยิดไม่ใช่ปัญหาความไม่สงบ แม้อาจจะกระทบกับผู้ประกอบการรายอื่นบ้างทั้งในทางตรงและทางอ้อม
“ความจริงมันก็มีsะเบิดหลายที่ แต่ว่าก็ยังไม่กระทบ หมายถึงว่าเรื่องตัวเลขก็ยังเท่าเดิมอยู่ตลอด ไม่ว่าจะsะเบิดใกล้sะเบิดไกลก็ยังไม่กระทบ” ไซยิดพูดถึงสถานการณ์ของที่ร้าน
“คนในพื้นที่เขาน่าจะชินแล้วกับอะไรแบบนี้ อย่างล่าสุดที่sะเบิดที่ลาดโต้รุ่ง sะเบิดเสร็จปุ๊บวันต่อมาเขาก็มาตั้งขาย ปิดทางจอดรถไว้เลนนึง แต่อีกเส้นนึงยังสามารถจอดได้ พ่อค้าแม่ค้าก็ยังขายต่อ แต่ว่าลดจำนวนการขายลง”
น่าสนใจว่า สำหรับไซยิดแล้ว อุปสรรคใหญ่คือความผันผวนของสภาพอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อฐานลูกค้าโดยตรง ทั้งในแง่ของสถานการณ์เกี่ยวกับรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย และความสามารถในการแวะเวียนมาเข้าร้าน
“ที่กลัวอย่างเดียวคือฝนฟ้าอากาศมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนสมัยก่อน แต่ก่อนก็คือฝนมันจะตกแบบเป๊ะๆ ช่วงสมัยเลี้ยงปลา เราจะสามารถคำนวณได้ว่าช่วงเดือนนี้ ปุ๊บๆ มันจะเป็นอย่างนี้ เราจะวางแผนได้ แต่ว่าพอปัจจุบันก็คือฝนมาแล้วน้ำท่วม ก็คือไม่เหมือนเดิม เท่าที่รู้สึกนะ”
แม้มีอุปสรรค แต่ธุรกิจยังไปได้ ร้านมีแผนว่าจะโฆษณาบนโซเชียลมากขึ้น และกำลังสร้างอาคารอีกหนึ่งหลังอยู่ติดกัน เพื่อแยกเป็นโซนสำหรับเมนูอาหารใหม่ๆ นอกจากกาแฟและเครื่องดื่ม
นอกจากนี้ ไซยิดยัง “อยากจะให้ร้านกาแฟเป็นมากกว่าร้านกาแฟ” กล่าวคือเติมมิติของการบริการสังคม ด้วยการติดบอร์ดประกาศรับสมัครงานทั่วไป เช่น ตัดหญ้า ตัดไม้ หรือติวเตอร์ เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบอาชีพและผู้มองหาบริการต่างๆ
ไซยิดฮัดรีย์ อัลอิดรุส 21 มิ.ย. 2568ภาพจาก ‘อานีซะ’
ในอนาคต เขามีแผนจะริเริ่มโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคม กล่าวได้ว่าร้าน Lyft ของไซยิดต้องการจะ “elevate ยกระดับ” คุณภาพชีวิตของคนสามจังหวัดด้วย ไซยิดมีข้อสังเกตว่า ปัจจุบันในพิธีกุรบานหรือการเชือดสัตว์พลีทานของคนสามจังหวัดนั้น เนื้อจากการประกอบพิธีมักถูกส่งมอบให้กับคนที่รู้จักมักคุ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีอันจะกินอยู่แล้ว
“มันมีอีกเยอะเลย คนที่ว่าไม่มีไฟใช้ บางครอบครัว 70 บาทอยู่กัน 7-8 คน” ไซยิดกล่าว “ในตำบลหนึ่งเราสามารถลิสต์กลุ่มอ่อนแอพวกนี้เข้ามารับเนื้อได้ เพราะว่าแต่ละปีเนื้อเยอะมากๆ เราเชือดพลีแล้วก็กินกัน บางทีก็กินเพื่อให้มันหมด แต่เรารู้สึกว่ามันยังมีกลุ่มอ่อนแอที่ควรจะเข้าถึงเนื้อได้ตลอดทั้งปี”
“ยังมีอีกหลายคนที่เชือดพลีแต่ไม่รู้จะทำอะไร ล่าสุดผมก็เชือดพลีไป แล้วก็แบ่งให้ชาวบ้านไปจัดการ ซึ่งต่อให้เราทำอย่างนั้น ตู้เย็นของชาวบ้านเขาก็มีจำกัดในบางครัวเรือน ใส่ในตู้เย็นก็อาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 2-3 เดือน”
ไซยิดจึงฝันว่าอยากจะก่อตั้ง ‘ธนาคารเนื้อ' ประจำตำบล สร้างระบบแช่แข็งเพื่อเก็บไว้แจกจ่าย และสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้ให้และผู้รับ ซึ่งเป็นการยิvนัดเดียวได้นกถึง 3 ตัว
นอกจาก (1.) แก้ปัญหาอาหารเหลือทิ้ง และ (2.) แบ่งเบาภาระของกลุ่มเปราะบาง ให้มีเงินเหลือส่งเสียการศึกษาของลูกหลาน (3.) ยังเป็นโอกาสในดูดผู้ลงทุนจากต่างชาติ ที่กำลังมองหาสถานที่ประกอบพิธีกุรบานในราคาย่อมเยา สำหรับชาวมุสลิมในบางประเทศที่กฎหมายไม่อนุญาต เช่น กรณีของสิงคโปร์
เทียบกับประเทศอื่นแล้ว เนื้อในสามจังหวัดราคาถูกกว่า นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในดูดผู้ลงทุน แม้ดูเป็นโครงการใหญ่ แต่ไซยิดคำนวณต้นทุนมาแล้ว ไม่ได้แพงอย่างที่คิด เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ในปัจจุบัน
“ทุกวันนี้เรารู้สึกว่าที่นักการเมืองเขาเอาเงินไปใช้โดยเฉพาะ อย่างนักการเมืองท้องถิ่น ก็รู้สึกว่ามันไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าไหร่ เช่น เอาไปทำถนนที่มันมีอยู่แล้ว แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ จริงๆ แค่งบ 1 ล้าน เราสามารถจัดการทำให้มีธนาคารเนื้อ แล้วก็จัดหาให้กับคนขัดสนแบบนี้ได้อีกเยอะเลย”
นับเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ เมื่อพิจารณาว่าข้อจำกัดในการกระจายอำนาจทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีอำนาจอิสระในการจัดสรรงบประมาณ และดำเนินนโยบายตามทิศทางของตัวเองเท่าที่ควร ภายใต้กฎระเบียบอันรัดกุมของกระทรวงมหาดไทย
แม้จะเชื่อในการวางแผนอย่างระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน และการพยายามด้วยตัวเองอย่างถึงที่สุดก่อน แต่ไซยิดก็ยังอยากให้รัฐเข้ามาสนับสนุนมากกว่านี้ “ในส่วนของภาครัฐ จริงๆ อยากให้สนับสนุน เรื่องการท่องเที่ยวของสามจังหวัด อะไรพวกนี้จริงๆ มันมีเสน่ห์เยอะ”
“ยังมีอีกหลายคนที่เขาอยากจะทำร้าน หรือว่าเข้าถึงข้อมูลโดยการปฏิบัติจริง แต่ว่ามันไม่เอื้อ หรือที่เคยเจอก็คือภาครัฐให้งบมา ให้วิทยากรมาให้ข้อมูล ให้ความรู้ แต่ก็ไม่ได้ผ่านการคัดสรร”
Bangnara Delta: “อยากให้นรารู้จักคำว่าอาร์ต”
มูบารัด สาและ (ยะ) เป็นกวี ช่างภาพ และนักดนตรี เคยมีผลงานกับมติชนสุดสัปดาห์ ประชาไท และช่องยูทูปของตัวเอง มูบารัดเคยถูกเสนอชื่อเป็นผู้ท้าชิงรางวัลซีไรต์ตอนอายุ 28 มีผลงานออกมาแล้ว 4 เล่ม แต่ละเล่มระดับความหายากต่างกัน ผลงานล่าสุดคือ “ทุกสิ่งมิได้เป็นไปตามฤดูกาล” ซึ่งเขาเรียกมันว่า “พาวเวอร์เรนเจอร์สีเหลือง” ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมมติ
หลังผ่านมรสุมของการค้นหาตัวเอง จนเข้าโรงพยาบาลจิตเวชไปช่วงหนึ่ง มูบารัดนิยามอารมณ์ช่วงนี้ของชีวิตว่าเป็นสีฟ้าและสีเขียว เขาใช้ชีวิตกับครอบครัวและลูกและเขาเปรียบลูกเป็นเหมือน “ดอกไม้” มูบารัดให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจวัตรอย่างเชื่องช้าในยามเช้า หลังเคยผลิตผลงานอย่างอุตสาหะ ปัจจุบันเขาพยายาม “เค้น” งานออกมาน้อยลง และค่อยๆ ละเลียดเขียนมากขึ้น โดยอาศัยห้วงอารมณ์ตามช่วงเวลาต่างๆ ในแต่ละวัน
มูบารัดก่อตั้งร้าน Southern Espresso ที่ ต.บางนาค อ.เมือง จ. นราธิวาส “ไม่ได้ต้องการสร้างให้มันเป็นร้านกาแฟ แต่ต้องการสร้างให้มันเป็นห้องสมุดสาธารณะ หรือตั้งใจให้มันเป็นintellectual heart ศูนย์ระดมความคิด” ในร้านมีวรรณกรรมน่าสนใจให้หยิบอ่านหลายเล่ม เช่น สงครามและสันติภาพของดอสโตเยฟสกี้ หากสืบย้อนกลับไป ก็จะเห็นมุมมองของเขาเกี่ยวกับการอ่านของคนรุ่นใหม่ในรายงานเสวนาเมื่อ 8 ปีก่อนว่า “เราไม่สามารถทำให้หนังสือนั้นหาซื้อได้ง่าย ไม่เหมือนเวลาที่เราเดินไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ”
ระหว่างสัมภาษณ์ที่ Southern Espresso ขวา: มูบารัด สาและ (ยะ) กลาง: นูรียา วาจิ (จูนี่) ซ้าย: ผู้สื่อข่าว 23 มิ.ย. 2568 ภาพจาก ‘อานีซะ’
มูบารัดผันตัวมาทำงานเบื้องหลังมากขึ้น และมีโอกาสได้รับแขกศิลปินต่างชาติที่มาพำนักในนราธิวาสเป็นประจำ ในช่วงหลัง เขาให้ความสำคัญกับ Bangnara Delta โดย “บางนรา” เป็นชื่อของนราธิวาสในอดีต ส่วน “เดลตา” แปลว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่มาพร้อมกับความอุดมสมบูรณ์ มูบารัดใช้ชื่อนี้เป็นเวทีศิลปะสำหรับการเรียนรู้ของทุกคน เพราะเขา “อยากให้นรารู้จักคำว่าอาร์ต”
“ไม่ได้บอกว่านักวิชาการผิด แต่เราอยากให้มันมีชีวิตชีวา ตอนนี้สนใจความเป็นวัฒนธรรม” มูบารัดกล่าวถึงบางนราเดลตา
“ในความเป็นเรา มันเป็นออแกนิกมากกว่า เหมือนกับเรามีธุรกิจ ทุกคนในเครือข่ายเราเป็นนักธุรกิจหมดเลย เช่น ร้านกาแฟ ร้านข้าว ทุกคนมีอาชีพเป็นของตัวเอง ทุกคนมีเงินของตัวเอง แต่ทุกคนมีจุดร่วมตรงกลางก็คือแพชชั่นในสิ่งที่ชอบ ตรงนี้ที่เรามาสร้างร่วมกัน ทุกคนไม่มีผลประโยชน์ตรงนี้เลย ไม่มีการเงินเข้ามา”
“และสิ่งที่ได้คืออะไร คือเวทีสำหรับเยาวชน คุณจะร้องเพลง คุณจะถ่ายรูป คุณจะวาดรูป คุณได้หมดเลย ล่าสุดเพิ่งจัดไป เป็นกิจกรรม Sketch Drawing เราดึงคนกรุงเทพ ที่เป็นศิลปินวาดรูปเร็ว เป็นสถาปนิกก็มาวาด เอ็นจอยกัน ซึ่งเราไม่อยากให้มีเงินปะปน เราอยากให้ทุกคนได้ เพราะที่นี่มันไม่ใช่กรุงเทพ มันไม่ใช่เมืองใหญ่”
มูบารัดระบุว่าทุกอย่างราบรื่นดี แม้จะเคยร่วมงานกับภาครัฐตามโอกาสต่างๆ แต่เขาชอบที่จะจัดกิจกรรมกันเองมากกว่า
“ตอนนี้ก็รัฐไม่ได้จับจ้องอะไร เพราะเราแค่ทำงานอีเวนต์สนุกๆ ออแกนิก มันไม่ได้มีการข้ามหน้าข้ามตากัน มันไม่มีการโปรโมต มันไม่มีสปอนเซอร์”
“เราโดนมาเยอะ หน่วยงานรัฐหรือการได้หน้า” มูบารัดกล่าวถึงประสบการณ์ร่วมงานในอดีต
เมื่อถามถึงอัตลักษณ์ศิลปะของนราธิวาส เขาเล่าว่า “ที่นี่มันมีเรื่องเหตุการณ์ มีเรื่องของภูมิศาสตร์ มีเรื่องของความขัดแย้ง มีเรื่องของศาสนา คนที่นี่เองก็มีประเด็นเยอะที่จะเล่น ซึ่งอัตลักษณ์แท้จริง อัตลักษณ์ที่นี่ก็คือข้าวยำ แต่ไม่ค่อยมีใครเล่น เล่นเรื่องความไม่มั่นคง”
“ส่วนประเด็นอื่น เขาไม่ค่อยพูด ซึ่งมีเยอะ เราก็เลย…อยากเป็น sparkling side ด้านสว่าง ใช่ ก็เลยพยายามพูดถึงความสวยงาม พูดถึงการอนุรักษ์ ก็ไม่ได้อนุรักษ์มากหรอก แต่อย่างก็น้อยให้คุณได้รู้ไง ว่าที่นี่มันมีสิ่งนี้อยู่”
จังหวัดชายแดนใต้ถนนหนทางเต็มไปด้วยด่านตรวจ ลวดหนาม แนวคอนกรีตกันsะเบิด พร้อมข่าวความไม่สงบเป็นระยะ แต่เมื่อมาจริงๆ ภาพกลับต่างออกไป นราธิวาสและปัตตานีมีนวัตกรรมสังคมและเต็มไปด้วยงานศิลปะอย่างที่เมืองรุ่มรวยทางวัฒนธรรมควรจะเป็น คนท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนใต้พยายามสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาตามแนวทางของตนเอง ท้าทายต่อกรอบเรื่องเล่ากระแสหลักในการนำเสนอของสื่ออย่างยิ่ง
ความขัดกันของรั้วลวดหนามและความงามของเมือง มูบารัคให้ความเห็นว่า:
“เราเริ่มเบื่อแล้ว มันเป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนตั้งคำถาม
พอทุกคนมาเอง มันก็ทลายภาพเขาในหัว ก็โอเค สำเร็จแล้ว
แค่มาเถอะ ไม่มาคุณก็ไม่รู้ แค่นั้นเลย
เล่าได้ เขาไม่เชื่ออยู่ดี เขานึกภาพไม่ออก เขาไม่ผิด”
ภาพโดย เกาซัร
นูรียา วาจิ: ความท้าทายของศิลปินหญิง
นูรียา วาจิ (จูนี่) ศิลปินจาก อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และภรรยาของมูบารัด เล่าให้ฟังว่าเธอพยายามถ่ายถอดความรู้สึกของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ เธอมีผลงานจัดแสดงในอีเวนต์ที่่มีชื่อเสียงมาแล้วหลายครั้ง เช่น นิทรรศการ “วิถีแห่งสตรี: Muslimah” เมื่อปี 2560 ที่เธอและกลุ่มศิลปินหญิงมุสลิมได้จัดแสดงที่่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และนิทรรศการ “เลือนราง : Fade away” ซึ่งเธอแสดงเดี่ยวเมื่อปี 2562 ที่ YuYuan Art & Vintage ตั้งอยู่ใน LHONG 1919
จูนี่เล่าเกี่ยวกับ “ภาพชีวิต” ซึ่งเป็นชื่อผลงานวิทยานิพนธ์ของเธอ ขณะศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศิลปากร งานชิ้นนี้แสดงให้เห็นเอกลักษณ์งานศิลปะของเธอได้เป็นอย่างดี เธอเล่าว่าในงานชิ้นนี้ เธอได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดหลายคน และได้รับมอบเสื้อผ้าจากผู้ประสบเหตุโดยตรงเพื่อมาผลิตงานศิลปะ
จูนี่เล่าถึง “เสื้อในวันที่่เหตุการณ์เกิดขึ้นเลย มีทั้งคราบเลืoด มีทั้งคราบน้ำมัน” ของพิทยา จันทร์ทรัพย์ หรือจู่นี่เรียกว่าพี่ยา เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์sะเบิดหน้าบ้าน เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2555 บ้านของพี่ยาทำอาชีพอู่ซ่อมรถ “เสื้อตัวนั้นอ่ะ เหลือเพียงแค่ตัวเดียว ที่เขาเหลืออยู่เพราะว่าเขาใส่ในวันนั้น แล้วก็บ้านเขาถูกไฟไหม้ไปหมดเลย เพราะว่าเป็นวันที่เขาลงน้ำมันเข้าบ้านด้วย แล้วก็ยิ่งเป็นชนวนให้บ้านไฟไหม้”
“จูนี่ใช้กระบวนการแพทย์ ที่เย็บแผล เอาเสื้อเขากางออกให้ได้มากที่่สุด เราอยากสะท้อนว่าเขาก็คือคนบริสุทธิ์คนหนึ่ง ที่เปิดออก ฉีกออก มันก็ไม่มีอะไร ว่างเปล่า เราก็เย็บแบบวิธีการแพทย์เลย เรียนกับแพทย์เลยว่าเย็บอย่างไร แล้วก็เอามาย้อม เพื่อว่าแสดงถึงการชะล้างเรื่องราวเหล่านั้นให้เขา แล้วเอามาขึงลงบนเฟรม”
ด้วยพลังการถ่ายทอดอารมณ์ของผลงาน เธอจึงได้ไปจัดแสดงที่ ฺBangkok ฺArt Biennale และหลังจากสำเร็จการศึกษา จูนี่ก็ได้มีโอกาสไปเป็นศิลปินพำนักที่อินโดนีเซีย ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “คุณลุงกับคุณยาย” และผลิตผลงานเกี่ยวกับเชลยศึกในช่วงที่ดัชต์รุกรานออกมาอีกชิ้นหนึ่ง
“เศร้านะคะ” จูนี่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ส่วนใหญ่ก็ทำงานประมาณเรื่องเหตุการณ์นี่แหละ หลังๆ ก็เริ่มทลายตัวเองออกจากปัญหาเหล่านี้ด้วย”
“มาเจอมูบารัด เขาก็พยายามบอกกับเราว่า ถ้าเราพูดถึงเหตุการณ์อยู่ แล้วมันไม่ได้เปลี่ยนอะไร เราเลือกที่จะต่อสู้ในแบบอื่นไหม บางทีเรื่องพวกนี้มันก็ตอกย้ำเราเหมือนกันนะ มันก็ดิ่ง มันดาร์ค ยิ่งเราผู้หญิงสภาวะคนเป็นแม่อีก ฮอร์โมนอะไรแบบนี้อีก ก็เลยพักเรื่องพวกนี้ก่อน”
เสื้อตัวที่จูนี่พูดถึง ชื่อผลงาน: นายพิทยา จันทร์ทรัพย์ ผลิต พ.ศ. 2561
แหล่งที่มา: วิทยานิพนธ์ของนูรียา วาจิ ลิขสิทธิ์ของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร เข้าถึงเมื่อ 30 มิ.ย. 2568
แม้ผลงานของเธอจะทำให้คนในพื้นที่ได้เริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับผลกระทบทางอารมณ์จากเหตุการณ์ และหันมาดูแลความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น แต่เธอเห็นว่าการเป็นศิลปินในสามจังหวัดยังคงมีความท้าทายหลายประการ
“ผู้หญิงน้อย ถ้าพูดแต่เรื่องเหตุการณ์ ไม่ค่อยเยอะ” จูนี่กล่าว “เหมือนอย่างจูนี่วาดรูปคน ขนาดปัญหาของเรา มันก็มีการตั้งคำถามว่า เป็นมุสลิมวาดรูปคน”
“คือหลักศาสนาหรือความรู้ของคนในพิื้นที่ เขาจะจำกัดว่าห้ามวาดรูปคน หรือห้ามวาดรูปสัตว์ ซึ่งเราไม่ได้มองถึงข้อจำกัดตรงนั้น เราพูดถึงเจตนาเรามากกว่า ว่าเราถ่า่ยทอดไปเพื่ออะไร เราไม่ได้ต้องการให้คนมากราบไหว้ ซึ่งสมัยเรียนมันเกิดคำถามแบบนี้ใส่เราเยอะ”
“สำหรับเรา เรารู้สึกว่ามันตีความไม่แตก คำว่าศาสนาจำกัดว่าห้ามวาดรูปคน แต่มันจะมีบางสิ่งบางอย่างในพื้นที่ ที่เขาจำกัดขึ้นมาเอง มันมีบางอย่างที่มุสลิมทั่วโลกเป็นอีกแบบ แต่ในพืิ้นที่สามจังหวัดเขาจะเป็นอีกแบบหนึ่ง”
ยิ่งเป็นศิลปินหญิงใน 3 จังหวัดด้วยแล้ว ความท้าทายยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต
“เราในบทบาทตอนนี้เป็นแม่ด้วย มันไม่เชิงว่าอุปสรรคหรอก แต่ว่าเราจะต้องแบ่งเวลาหนึ่งให้ลูก สองเป็นภรรยาให้กับสามี … เราจะต้องทำให้มันอยู่ควบคู่ไปได้กับความสามารถหรือการงานที่เรารักด้วย ซึ่งอาจจะลดทอนบางอย่างลง ต้องให้เวลากับสิ่งนี้มากขึ้น”
“ด้วยความที่ว่าเราก็เป็นมุสลิมที่เชื่อคัมภีร์ มันเหมือนมีคู่มือหนึ่งที่บอกว่า เราจะต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนด้วย และเราจะอยู่อย่างไรกับความชอบของเรา … เรารักในการงานของเรา แต่หน้าที่ตรงนี้ก็ต้องทำ จะทำยังไงให้มันอยู่ด้วยกันได้”
“สมัยเรียนอาจารย์ก็มักจะพูดว่าเป็นศิลปินหญิงจะยากกว่าเป็นศิลปินชาย เพราะว่าหน้าที่่ความเป็นแม่มันก็หนัก แต่ว่าสำหรับเราเอง เราก็มองว่ามันคือสิ่งที่ดี บางทีมันไม่ทำให้เรามุ่งจนลืมครอบครัว หรือเหมือนวันหนึ่งเราสำเร็จแล้วคนข้างหลังเราอยู่ตรงไหน อันนั้นก็น่ากลัว”
ดูเหมือนว่าเธอจะรักษาสมดุลชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะเร็วๆ นี้เธอจะได้ไปจัดแสดงงานอีกครั้ง
“เดือนหน้ามีแสดงงานที่ BACC ไปดูกันได้นะ เป็นนิทรรศการกลุ่มค่ะ หลายๆ ภูมิภาค มีศิลปินจากอีสาน จากทางใต้ แล้วก็กรุงเทพบางส่วน”
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )